ความสูญเสียและการทำลายล้างที่เกิดจากคลื่นยักษ์สึนามิในมหาสมุทรอินเดียเมื่อเดือนธันวาคม
2547
ได้มีผลกระทบทางร่างกายและอารมณ์อย่างรุนแรงต่อมนุษย์นับไม่ถ้วน
แต่เรื่องราวที่น่าโดดเด่นของพฤติกรรมแบบไร้ซึ่งตัวตนและความรัก
ก็ได้ปรากฏขึ้นจากภัยพิบัติ
ตัวอย่างเช่น
คนจำนวนมากมีปฏิกิริยาต่อสึนามิด้วยความฉลาดหลักแหลม
ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากพระเจ้าโดยช่วยชีวิต ไม่เพียงแต่ชีวิตของพวกเขาเอง
แต่ยังได้ช่วยชีวิตของคนอื่น ๆ จำนวนมากด้วยเช่นกัน
อย่างในกรณีหนึ่งในเช้าวันที่
26
ธันวาคม พระชาวศรีลังกาพร้อมกับเด็กกำพร้าในบ้านของท่าน
ได้ยินเสียงเรียกที่เป็นทุกข์ของภรรยาของเขา
และเมื่อได้เห็นคลื่นยักษ์กำลังเข้ามา ท่านก็จัดการพาเด็ก
28
คนขึ้นเรือมอเตอร์ขนาดเล็กภายในเวลาน้อยกว่า
30
วินาที
ด้วยความที่รู้ว่า เครื่องยนต์ของเรือไม่ค่อยจะติดในการติดเครื่องครั้งแรก
พระองค์นี้จึงได้สวดถึงพระเจ้าอย่างหนัก และเป็นที่น่ามหัศจรรย์
ที่มอเตอร์ก็ติดขึ้นมา หลังจากการดึงเชือกเพียงครั้งเดียว
พระและผู้ช่วยของท่านจึงนำเรือฝ่าคลื่นยักษ์ที่อันตราย
และในที่สุดก็ได้นำเด็ก ๆ ไปสู่ความปลอดภัย
(โปรดดู
ที่นี่
)
ชายชาวศรีลังกาอีกคนหนึ่ง สามารถเตือนคนถึงคลื่นยักษ์สึนามิ
ก่อนที่คลื่นจะมา ผู้ชายคนนี้รักการอ่านมาตลอดชีวิต และรักที่จะเรียนรู้
อันที่จริง แม่ของเขามักจะดุเขาอยู่เสมอ เพราะเธอรู้สึกว่า
การอ่านหนังสือของเขาเป็นการเกียจคร้านในรูปแบบหนึ่ง
แต่นิสัยที่ถูกเรียกว่าไม่ดีนี้ กลับกลายเป็นการช่วยชีวิตในเช้าวันที่
26
ธันวาคม เมื่อเขาเห็นเรือที่กำลังแล่นเข้ามา โคลงเคลงบนผิวน้ำอย่างผิดปกติ
แม้ว่าจะไม่มีคลื่นใหญ่ใด ๆ ที่มองเห็นได้
แต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรือ และในทันใดนั้นเอง
เขาก็จำที่เคยอ่านได้ว่า
ปรากฎการณ์เช่นนี้เป็นเครื่องหมายของคลื่นยักษ์สึนามิที่จะเกิดขึ้น
ชายผู้นี้จึงวิ่งและตะโกนเสียงดังเท่าที่จะดังได้ให้คนวิ่งตามเขา
หลังจากนั้น ผู้คนก็แสดงความขอบคุณ สำหรับการกระทำรวดเร็วของเขา
ที่ได้ช่วยชีวิตพวกเขาไว้
บางทีเรื่องราวที่น่ามหัศจรรย์ที่สุดบางเรื่องเกี่ยวกับภัยพิบัติ
อาจเป็นเรื่องขัดแย้งภายในอันมีมายาวนานในศรีลังกาและอินโดนีเซีย
โดยที่ฝ่ายตรงข้ามที่ทำสงครามกันมา นานจู่ ๆ
ก็วางอาวุธและรวมกันด้วยเป้าหมายเดียวกันในการเยียวยาและสร้างชาติของพวกเขาขึ้นมาใหม่
ในศรีลังกา กลุ่มทมิฬเสือ
ซึ่งเป็นกลุ่มปฏิวัติเริ่มทำงานเคียงข้างเจ้าหน้าที่รัฐบาลเป็นครั้งแรกในช่วงหลายปีมานี้
(โปรดดู
"สันติสุขชั่วครู่")
และในเมืองอาเจะห์ของอินโดนีเซีย
กลุ่มกบฏก็มีการสั่งให้หยุดยิงในทำนองเดียวกันนี้
เพื่อพวกเขาจะได้ทำงานร่วมกันได้
(โปรดดูอินโดนีเซียหยุดยิง:
Indonesia
cease fire )
องค์กรต่าง ๆ อันเป็นที่รู้จักในด้านการกุศล
ได้ขยายเวลาอ้าแขนต้อนรับบุคคลและครอบครัวที่ ตัวอย่างเช่น ซาร์โวดายา
กลุ่มศรีลังกาที่ให้การอุปถัมภ์เด็กกำพร้าก่อนเกิดขึ้นคลื่นยักษ์สึนามิ
ตัดสินใจที่จะขยายเวลาทำพันธกิจต่อไป
“ซาร์โวดายาได้ปฏิญานที่จะรับเด็กและช่วยเหลือเด็ก
ๆ ทุกคนที่อายุ
11
ขวบและต่ำกว่า
ซึ่งได้กลายเป็นเด็กกำพร้าเพราะคลื่นยักษ์สึนามิ นอกจากนั้น
ซาร์โวดายายังจะดูแลผู้หญิงและเด็กทุกคนที่อายุต่ำกว่า
19
ปี เขาได้เริ่มร่างแผนการแล้ว
ที่จะสร้างบ้านพักถาวรและโรงเรียน”
(โปรดดู
:
http://www.sarvodaya.org/)
นอกเหนือจากนั้น
ชายชาวมาเลเซียได้รับการช่วยชีวิตโดยไม่บาดเจ็บ หลังจากถูกแยกจากเพื่อน ๆ
ของเขาจากคลื่นยักษ์สึนามิ ใช้เวลา
2
สัปดาห์อยู่คนเดียวกลางทะเล สวดมนต์อย่างไม่หยุดหย่อน
ตามที่เขากล่าวว่า
“ผมสวดและสวด
ผมบอกพระเจ้าว่า
‘ผมไม่ต้องการตาย’” (โปรดดู:
ที่นี่
)
ในค่ายผู้ลี้ภัยบนเกาะที่อยู่ห่างจากชายฝั่งอินเดีย
มีเรื่องราวของพระและชายตาบอด ที่ช่วยเหลือผู้รอดชีวิตให้พบความหวัง
หลังจากที่พวกเขาถูกคลื่นยักษ์สึนามิพัดพาไป ชายตาบอดได้ทำตามเสียงของพระ
และทั้งสองได้ปีนต้นไม้เพื่อไม่ให้จมน้ำ ขณะที่น้ำเริ่มลด
พระก็ใช้เศษรากไม้เพื่อสร้างสะพานเพื่อผู้รอดชีวิตจะได้เดินไปยังพื้นดินที่สูงกว่า
ท่านจูงแขนชายตาบอดก่อน แล้วพาพวกเขาไปยังที่ที่ปลอดภัย
ต่อมา ชายตาบอดได้บอกว่า
ประสบการณ์นี้ได้ให้ความเข้มแข็งใหม่แก่เขา
และเขาไม่สิ้นหวังหรือรู้สึกช่วยตัวเอง
ต่อมา ชายตาบอดได้พูดว่า
ประสบการณ์นี้ได้ให้ความเข้มแข็งใหม่แก่เขา และเขาไม่สิ้นหวัง
หรือรู้สึกช่วยตัวเองไม่ได้อีกต่อไป เกี่ยวกับการเป็นคนตาบอดและสำหรับพระ
เกี่ยวกับคำถามที่ว่า ทำไมพระเจ้าจึงส่งความหายนะเช่นนี้มายังมนุษยชาติ
ท่านพูดว่า ท่านคิดว่า พระเจ้าไม่เคยโกรธเรา
ไม่ว่าเราจะนับถือศาสนาอะไร ท่านกล่าวเพิ่มเติมว่า
“นี่คือบททดสอบ”
(โปรดดู:
ที่นี่)
ท้ายสุด
นักหนังสือพิมพ์ในแคนาดาได้แสดงทัศนะที่แตกต่างออกไปแต่เป็นในเชิงบวก
โดยกล่าวว่า สึนามิเป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มด้านบวกในท่าทีและเหตุการณ์ต่าง
ๆ ของโลก ตัวอย่างเช่น ผลลัพธ์อย่างหนึ่งคือ การเทเงินจากทั่วโลก
โดยผู้คนรู้สึกได้รับแรงบันดาลใจมากกว่าในการบริจาคเงิน เพราะพวกเขาเห็นว่า
การบริจาคของพวกเขามีจุดมุ่งหมายที่แท้จริง
มากกว่าเพียงแค่ถูกใช้ไปในการค้ำจุนเศรษฐกิจที่มีปัญหา
นอกจากนี้ การเลือกตั้งเสรีเป็นครั้งแรกเมื่อเร็วๆ นี้
ในประเทศ อย่างเช่น อินโดนีเซีย อัฟกานิสถาน ยูเครน และปาเลสไตน์
บ่งชี้ให้เห็นการกำเนิดของประชาธิปไตยทั่วโลก
ในฐานะที่เป็นแนวโน้มที่สร้างสมดุลให้กับความแตกต่าง
การเคลื่อนไหวนี้ถือได้ว่าเป็นด้านบวกของสึนามิในทางการเมือง
ในท่ามกลางความกลัว ก็ได้มีความหวังเกิดขึ้น
(โปรดดู:
ที่นี่)
เป็นที่เห็นได้ชัดว่า โดยปราศจากงานที่กำลังดำเนินอยู่
และการเข้าไปยุ่งเกี่ยวของท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ในนามของมนุษย์ทุกคน
ภัยพิบัติสึนามิในมหาสมุทรอินเดียอาจจะแย่ยิ่งไปกว่านี้
และวิญญาณที่ได้จากไป
ขณะนี้ก็ได้พักผ่อนอยู่ในความดูแลตลอดไปของท่านอาจารย์
การได้เห็นศรัทธาเกิดขึ้นในผู้คนจำนวนมาก ทั้ง ๆ
ที่มีเหตุการณ์อันน่าเศร้าสลดเช่นนี้
นับเป็นการตอกย้ำถึงทิศทางด้านบวกของมนุษยชาติ ที่ท่านอาจารย์ได้พูดไว้ว่า
“เราสามารถพัฒนามันได้
ณ ที่นี้ จนกระทั่งคนอื่นๆ ทุกคนต้องการพัฒนาตัวของพวกเขาเอง
เราสามารถทำมันต่อไป จนกระทั่งคนอื่นๆ.ทุกคนตื่นขึ้นเพียงพอที่จะรู้แจ้ง”
(คัดจากดีวีดี#730
สื่อสารด้วยความรัก)
ขอให้ความรักและการกระทำอันบริสุทธิ์ของเราเป็นเครื่องสนับสนุนการรู้แจ้งของโลกที่ดำเนินต่อไป
เพื่อว่า ทุกคนจะได้ก้าวข้ามธรณีประตูเข้าสู่ยุคทอง