[รายงานข่าว]
ทุกวันนี้สนามบินเมดาน อินโดนีเซีย จะเห็นผู้ประสบภัยที่หนีออกจากเมืองอาเจะห์
สถานที่เกิดเหตุที่เสียหายหนักที่สุด เมื่อได้พบญาติ ก็เหมือนตายแล้วเกิดใหม่
เข้ากอดกันร้องไห้หลังจากเกิดเหตุคลื่นยักษ์จนถึงทุกวันนี้
เมืองอาเจะห์ก็ยังตัดขาดจากโลกเหมือนเดิม
สิ่งของไม่สามารถส่งไปถึงมือผู้ประสบภัยได้
อาสาสมัครที่นำสิ่งของส่งถึงเมืองอาเจะห์ รายแรก
เล่าถึงเหตุการณ์อันน่ากลัวที่เห็นในวันนั้นว่า เสมือนวันสุดท้ายของโลก
หลี่เจี้ยน อายุ
43 ปี
เชื้อสายจีน เติบโตที่เมืองเมดาน อาชีพทำประกัน
เป็นสมาชิกสาขาอินโดนีเซียของ
“สมาคมนานาชาติอนุตราจารย์ชิงไห่”
ซึ่งเป็นองค์กรบำเพ็ญจิตวิญญาณ เขากล่าวว่า
วันรุ่งขึ้นหลังจากเกิดเหตุคลื่นยักษ์สึนามิ
(วันที่
27
ธันวาคม)
สมาคมของพวกเขานำสิ่งของจำนวน
5
ตัน ประกอบด้วย อาหาร เสื้อผ้า กับยารักษาโรค
บรรทุกไปที่เมืองโลคซิวมาวี ซึ่งอยู่ระหว่างเมืองเมดาน กับเมืองอาเจะห์
เขากับอาสาสมัครขนสิ่งของใส่รถบรรทุกส่งไปยังสถานที่เกิดเหตุทันที
หลี่เจี้ยนกล่าวว่า ขณะนั้นไม่ได้คิดว่า
เหตุการณ์จะหนักหนาสาหัสขนาดนั้น
รถบรรทุกขับไปสู่เมืองอาเจะห์ประมาณครึ่งชั่วโมง
เริ่มเห็นมีศพประปรายตามข้างทางกับผู้ประสบภัยจำนวนน้อย
พวกเขารีบลงจากรถเพื่อจะแจกจ่ายสิ่งของ แต่ผู้ประสบภัยบอกว่า ไม่ต้องการ
บอกให้พวกเขารีบเดินทางเข้าสู่เมืองอาเจะห์ ให้เร็วที่สุดว่า
ที่นั่นเหตุการณ์หนักมาก
เมื่อเห็นคนมีชีวิต กลับตื่นตกใจ
พวกเขาเดินทางเข้าสู่เมืองอาเจะห์ คืนนั้นเวลา
4 ทุ่ม ขณะนั้น
บริเวณรอบ ๆ มืดสนิท แสงไฟจากหน้ารถส่องไปที่พื้น พวกเขาเห็นแต่ศพเท่านั้น
เมื่อมองขึ้นไปบนต้นไม้ บนหลังคาบ้าน สิ่งที่ห้อยลงมาก็คือศพ พวกเขามองไปรอบ ๆ
ไม่เห็นคนมีชีวิตเลย ดังนั้น จึงต้องขับรถต่อไปข้างหน้า จนถึงเวลา ตี
3
ของวันใหม่ คืนนั้นแสงจันทร์สว่างมาก แต่แสงจันทร์ส่องไปที่ไหน
ก็เห็นแต่ศพเป็นกองๆ
รถแล่นไปอีกครึ่งชั่วโมง พวกเขาจึงเห็นมีผู้ประสบภัยอยู่
5-6
คน จึงได้เข้าไปดูว่า จะช่วยเหลืออะไรได้บ้าง
แต่พอพวกเขาเห็นมีคนมา กลับตกใจมาก ต่อมา ผู้ประสบภัยพาพวกเขาไปที่บ้านเล็ก ๆ
หลังหนึ่ง ที่มีสภาพพังเกือบหมด ในบ้านมีผู้ประสบภัยอยู่หลาย
10
คน มีจำนวนไม่น้อยที่บาดเจ็บ พวกเขารีบไปตามหาทหารมาเพื่อขอน้ำมัน
โดยอาศัยรถทหารนำคนเจ็บส่งไปที่สนามบิน แล้วส่งต่อไปรักษาที่เมืองเมดาน
หลี่เจี้ยนกล่าวว่า สภาพเหตุการณ์ที่เห็นขณะไปช่วยเหลือ ทำให้เขาไม่ลืมชั่วชีวิต