English

 หน้าแรก | ธรรมวิถีกวนอิม | อนุตราจารย์ชิงไห่ | ปาฐกถาธรรม | ถาม-ตอบ | ไข่มุกแห่งปัญญา | อาจารย์เล่าเรื่องตลก | อาจารย์เล่านิทาน | รูปภาพ
 สิ่งพิมพ์ | เทปคาสเซทและซีดี | ดีวีดี | บทกวี | ศิลปะสูงสุด | ประสบการณ์มหัศจรรย์ | รายงานพิเศษ | ธรรมสาร | สูตรอาหาร
  ชีวประวัติโดยสังเขปของท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ - - อาจารย์ผู้รู้แจ้งจากเทือกเขาหิมาลัย

ท่านอาจารย์ชิงไห่เกิดในประเทศเอาแลค (เวียดนาม) บิดาของท่านเป็นนายแพทย์แผนโบราณที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งซึ่งชอบศึกษาหนังสือวรรณกรรมของโลกและมีความสนใจทางด้านปรัชญามากเป็นพิเศษ หนังสือที่บิดาของท่านชอบอ่านมากได้แก่ ข้อเขียนของเล่าจื๊อและจวงจื๊อ จึงทำให้ท่านอาจารย์ชิงไห่ได้สัมผัสสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่เยาว์วัย ท่านอาจารย์ได้มีโอกาสอ่านหนังสือเหล่านี้รวมทั้งตำราทางปรัชญาทั้งของตะวันออกและตะวันตกตั้งแต่ก่อนเข้าโรงเรียนประถมศึกษา ท่านอาจารย์ชิงไห่ไม่ได้มีลักษณะเหมือนเด็กทั่วไป มีผู้พบเห็นท่านอ่านวรรณกรรมทางปรัชญาอยู่บ่อยๆ ในขณะที่เด็กอื่นๆ ทำการบ้านและวิ่งเล่นสนุกสนานกัน ซึ่งทำให้บิดาของท่านเกิดความกังวลและถามท่านว่าอ่านหนังสือเหล่านี้เข้าใจด้วยหรือ ท่านก็ตอบบิดาของท่านว่า “ถ้าหนูไม่เข้าใจหนูคงไม่สนใจอ่านหรอกค่ะ” ถึงแม้ว่าบิดาของท่านจะยังคงมีความกังวลอยู่แต่เนื่องจากท่านอาจารย์เรียนหนังสือในโรงเรียนได้ผลดีเยี่ยม บิดาของท่านจึงให้การสนับสนุนความสนใจอันผิดธรรมดาของท่านอาจารย์ต่อไป

 

ถึงแม้ว่าบิดามารดาของท่านจะนับถือศาสนาคาทอลิก แต่ก็มีจิตใจอันเปิดกว้างต่อพุทธศาสนา คุณย่าของท่านซึ่งนับถือพุทธและเป็นบุคคลที่ท่านอาจารย์ชอบคลุกคลีใกล้ชิด ได้สอนให้ท่านรู้จักคัมภีร์ต่างๆ รวมทั้งการบูชาไหว้พระตามแบบพุทธศาสนา ดังนั้น ท่านอาจารย์ชิงไห่จึงมีโอกาสได้พัฒนาทัศนคติอันเปิดกว้างต่อศาสนา ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากพื้นฐานทางครอบครัวของท่านนั่นเอง ท่านจะไปร่วมพิธีที่โบสถ์ของคาทอลิกในตอนเช้า ไปวัดพุทธในตอนบ่ายและฟังพระเทศน์ในตอนเย็น ทำให้ท่านมีคำถามทางด้านจิตวิญญาณเกิดขึ้นหลายข้อ เป็นต้นว่า “เรามาจากไหน? ชีวิตหลังความตายจะเป็นอย่างไรต่อไป? ทำไมผู้คนจึงมีความแตกต่างกันมากมายเช่นนี้?

 

ในระหว่างสงคราม เกิดการขาดแคลนแพทย์และพยาบาลในเมืองที่ท่านอาศัยอยู่ ดังนั้น เมื่อมีเวลาว่างจากการเรียนที่โรงเรียน ท่านก็จะไปช่วยงานที่โรงพยาบาล ท่านช่วยทำความสะอาดร่างกายให้คนป่วย เทโถขับถ่ายของคนป่วยและทำงานจิปาถะต่างๆตามกำลังความสามารถของท่านเพื่อช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมานของพวกเขา เพื่อนๆ ของท่านซึ่งอยู่ในประเทศต่างๆ มักจะเรียกท่านว่า “พุทธะที่ยังมีชีวิต” หรือ “นักบุญผู้มีอารมณ์ขัน” ทั้งนี้ก็เพราะความมีอารมณ์ขันและความกรุณาของท่านที่มีต่อทุกๆ คนนั่นเอง  ท่านเป็นผู้ที่มีจิตใจเมตตากรุณาต่อสัตว์ทั้งหลาย และเป็นที่รู้กันดีว่า ท่านมักจะนำสัตว์ที่ได้รับบาดเจ็บกลับมาที่บ้าน, ให้การดูแลรักษามันแล้วก็ปล่อยมันไป หากท่านเห็นสัตว์ถูกฆ่าท่านก็จะร้องไห้ ท่านตั้งความปรารถนาไว้ว่า ท่านอยากจะสามารถป้องกันมิให้เกิดความทุกข์ยากขึ้นในโลกนี้ ท่านเป็นมังสวิรัติมาตลอด และทุกครั้งที่เห็นการฆ่าสัตว์ หรือเห็นเนื้อสัตว์ ท่านจะเกิดความรู้สึกขยะแขยงมาก

 

ตอนที่ท่านอาจารย์ชิงไห่ยังเป็นเด็กอยู่นั้น มีผู้ทำนายคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า ท่านเป็นเด็กที่ผิดธรรมดา มีความฉลาดหลักแหลมมาก รวมทั้งมีคุณลักษณะและศีลธรรมเหนือกว่าคนทั่วไป และได้ทำนายเอาไว้ว่า ท่านจะได้รับการรู้แจ้ง และหากท่านแต่งงานก็จะมีชีวิตสมรสที่มีความสุขและมีสามีที่มีเกียรติน่ายกย่อง ในเวลาต่อๆมา ท่านก็ยังได้รับคำทำนายเช่นเดียวกันนี้อีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า (แม้กระทั่งในประเทศต่างๆ หลายประเทศที่ท่านเดินทางไป)

เมื่อท่านอาจารย์ชิงไห่จากบ้านของท่านไปยังเทือกเขาหิมาลัยนั้น มารดาของท่านได้ไปที่วัดแห่งหนึ่งเพื่อสวดอธิษฐานขอคำแนะนำ วัดที่มารดาของท่านเลือกไปนั้นกล่าวกันว่า พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร จะตอบคำถามทุกข้อแก่ผู้ที่มีความศรัทธาอย่างจริงใจ คำตอบที่มารดาของท่านได้รับก็คือ “ท่านอาจารย์เป็นบุคคลผู้สูงส่งซึ่งหาได้ยาก เป็นหนึ่งในพันล้าน ท่านมายังโลกนี้ เพื่อปฏิบัติภารกิจร่วมกับท่านกวนอิม เพื่อช่วยสรรพสัตว์ให้รอดพ้นจากความทุกข์"

 

ท่านทำงานเป็นล่ามให้แก่สภากาชาดในเยอรมันอยู่ระยะหนึ่ง และยังอาสาสมัครทำงานเป็นเวลาหลายชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้บริการแก่ผู้อพยพชาวเอาแลค ซึ่งทำให้ท่านต้องเหน็ดเหนื่อย และสุขภาพทรุดโทรมลงมาก จากการที่ท่านอาจารย์ชิงไห่ได้ทำงานในสภากาชาดนี้เอง ท่านจึงได้ทราบถึงความยากลำบากของผู้อพยพจากประเทศต่างๆ ท่านได้พบเห็นความทุกข์ทรมาน และความสับสนอลหม่านอันเนื่องมาจากสงครามและภัยพิบัติตามธรรมชาติมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อได้เห็นความเจ็บปวดของผู้คนที่ท่านให้ความช่วยเหลือ ท่านก็รู้สึกทุกข์ใจมากและเริ่มตระหนักว่า ช่างเป็นเรื่องสุดวิสัยจริงๆ ที่คนๆ หนึ่งจะสามารถหยุดยั้งความทุกข์ของมนุษยชาติไว้ได้ จุดนี้เองที่เป็นแรงผลักดันสำคัญให้ท่านมุ่งแสวงหาการรู้แจ้ง  เพราะท่านทราบว่านี่คือหนทางเดียวที่จะช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมานของมนุษย์ ดังนั้น ในช่วงที่ท่านพักอาศัยอยู่ในยุโรป ท่านจึงบำเพ็ญสมาธิอย่างจริงจังมากกว่าแต่ก่อนขึ้นไปอีก และออกแสวงหาอาจารย์ใหม่ๆ อ่านหนังสือทุกชนิดที่สามารถจะหาได้ รวมทั้งฝึกปฏิบัติธรรมวิถีต่างๆ มากมาย แต่ท่านมักจะรู้สึกอยู่บ่อยๆ ว่าวิธีการนี้ใช้ไม่ได้ผล ไม่ได้รับประสบการณ์ทางจิตวิญญาณเหมือนที่ท่านอ่านพบในคัมภีร์ต่างๆ รวมทั้งไม่ได้ทำให้ท่านได้รับภาวะแห่งการรู้แจ้งเลย ซึ่งทำให้ท่านรู้สึกท้อแท้อย่างมาก

 
 

ท่านอาจารย์ชิงไห่มีทรรศนะที่กว้างขวางอย่างผิดธรรมดาต่อศาสนาทุกศาสนา ท่านได้ศึกษาและสั่งสอนผู้คนเกี่ยวกับคำสอนต่างๆของพระเยซู, พระพุทธเจ้า, เล่าจื๊อ, และบรรดามหาอาจารย์อื่นๆอีกมาก ท่านได้แสดงให้เห็นถึงความคล้ายคลึงกันของคำสอนอันยิ่งใหญ่เหล่านี้ และช่วยให้เราเข้าใจโดยอาศัยสายตาอันแหลมคมของท่านว่าบรรดามหาอาจารย์เหล่านี้ล้วนสอนสัจธรรมอันเดียวกัน ท่านมักจะอธิบายให้ฟังอยู่บ่อยๆว่า ความคิดเห็นที่แตกต่างกันทางศาสนานั้น เกิดขึ้นเนื่องจากความคิดเห็นที่แตกต่างกันของผู้คนต่างๆซึ่งอาศัยอยู่ในดินแดนที่แตกต่างกัน ในยุคสมัยที่แตกต่างกันได้อย่างไร

 
 

ณะที่อยู่ในประเทศเยอรมัน ท่านอาจารย์ชิงไห่ได้แต่งงานอย่างมีความสุขกับศัลยแพทย์ชาวเยอรมัน ซึ่งจบปริญญาสูงสุดถึง 2 สาขา สามีของท่านเป็นผู้มีใจกรุณาดูแลเอาใจใส่และให้การสนับสนุนท่านอย่างดียิ่ง ทั้งยังทานมังสวิรัติและร่วมเดินทางแสวงบุญไปกับท่านอาจารย์ตามที่ต่างๆ รวมทั้งให้การสนับสนุนงานกุศลของท่านอย่างดีตลอดมา อย่างไรก็ดี ท่านรู้สึกว่าท่านต้องการจะสละชีวิตครอบครัวของท่านเพื่อมุ่งแสวงหาเป้าหมายทางด้านจิตวิญญาณตามที่ได้ตั้งใจไว้ จึงได้ปรึกษาพูดคุยกับสามีของท่านอยู่เป็นเวลานานมาก และด้วยความยินยอมของสามี ทั้ง 2 จึงแยกจากกันซึ่งนับว่าเป็นการตัดสินใจอันยากยิ่งสำหรับบุคคลทั้ง 2  แต่ท่านอาจารย์มีความรู้สึกแน่วแน่ว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง และเป็นสิ่งที่ท่านจำเป็นต้องทำเพื่อติดตามแสวงหาการรู้แจ้ง   หลังจากสละชีวิตแต่งงานของท่านแล้วท่านอาจารย์ชิงไห่ก็เสาะแสวงหาธรรมวิถีอันสมบูรณ์เพียบพร้อมซึ่งสามารถทำให้หลุดพ้นได้ในชาติเดียว แต่ไม่มีอาจารย์ของท่านคนใดรู้จักธรรมวิถีดังกล่าวนี้เลย ท่านออกเดินทางค้นหาไปทุกหนทุกแห่งและในที่สุดหลังจากใช้เวลานานหลายปี ท่านก็ได้พบกับอาจารย์แห่งเทือกเขาหิมาลัยท่านหนึ่งซึ่งได้ทำการประทับจิตท่านให้เข้าสู่ธรรมวิถีกวนอิม (แสงและเสียงภายใน) และถ่ายทอดธรรมะสูงสุดที่ท่านเฝ้าแสวงหามาเป็นเวลายาวนาน หลังจากฝึกปฏิบัติธรรมวิถีกวนอิมได้ระยะหนึ่งท่านก็ได้รู้แจ้งอย่างสมบูรณ์ และบำเพ็ญปฏิบัติต่อไปเพื่อพัฒนาความเข้าใจของท่านให้ลึกซึ้งมากขึ้น ระหว่างนั้นท่านบำเพ็ญอยู่เงียบๆ ที่บริเวณเทือกเขาหิมาลัยและยังคงปฏิบัติต่อไปทุกๆ วัน

 
 
 

ในที่สุด ท่านอาจารย์ชิงไห่ก็ได้เดินทางไปยังฟอร์โมซา  คืนหนึ่ง ขณะที่กำลังมีพายุไต้ฝุ่นและฝนตกอย่างหนัก ท่านกำลังนั่งสมาธิอยู่ในห้องด้านหลังวัดเล็กๆ แห่งหนึ่งในฟอร์โมซา ก็มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งมาเคาะประตูห้องของท่าน เมื่อท่านอาจารย์สอบถามเหตุผลการมาของคนกลุ่มนั้น ก็ได้คำตอบว่า “เทพเจ้าแห่งความเมตตาได้ตอบสนองคำสวดอธิษฐานของพวกเรา และได้บอกพวกเราเกี่ยวกับตัวท่านว่า ท่านเป็นมหาอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ พวกเราควรจะสวดอธิษฐานต่อท่านให้ได้รับธรรมวิถีแห่งการหลุดพ้นนั้น” ท่านอาจารย์ก็พยายามบอกให้พวกเขากลับไป แต่พวกเขาก็ไม่ยอมกลับ ในที่สุดท่านอาจารย์ก็รู้สึกซาบซึ้งในความจริงใจและความศรัทธาของพวกเขา จึงตกลงใจประทับจิตให้แก่บุคคลกลุ่มนั้น หลังจากที่พวกเขายึดมั่นในการปฏิบัติตนอย่างสะอาดบริสุทธิ์เป็นเวลานานหลายเดือน และตกลงยินยอมเป็นมังสวิรัติอย่างเคร่งครัด

 
 

ท่านอาจารย์ชิงไห่ มีธรรมชาติเป็นคนขี้อาย ท่านไม่เสาะหาผู้คนให้มาเรียนเป็นศิษย์ของท่าน ตรงกันข้าม ท่านกลับหลบหน้าผู้คนที่พยายามแสวงหาตัวท่าน ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในประเทศอินเดีย เยอรมัน ฟอร์โมซา และสหรัฐอเมริกา ซึ่งท่านใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายอยู่ในวัดหลังเล็กๆ ต่อมาท่านก็ถูกตามตัวพบอีกเป็นครั้งที่สามในฟอร์โมซา ท่านจึงตระหนักชัดว่า ท่านจะต้องไม่หลบหนีจากภาระหน้าที่อันหลีกเลี่ยงมิได้ซึ่งรออยู่ข้างหน้า จึงเริ่มถ่ายทอดสิ่งต่างๆให้แก่ทุกๆคนที่ปรารถนาจะได้ยินข่าวสารแห่งสัจธรรมของท่าน และเริ่มประทับจิตให้แก่ลูกศิษย์ที่มีความจริงใจให้เข้าสู่ธรรมวิถีกวนอิม

งานของท่านอาจารย์ชิงไห่เริ่มแพร่หลายจากปากต่อปากจากกลุ่มเล็กๆ กลุ่มแรกในฟอร์โมซา จนมีผู้เลื่อมใสจำนวนหลายแสนคน  ศิษย์ประทับจิตของท่านส่วนใหญ่อยู่ในฟอร์โมซาเพราะท่านพักอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานที่สุด ในปีหลังๆ ท่านเดินทางไปสอนตามที่ต่างๆ ทั่วเอเซีย, สหรัฐ, ลาตินอเมริกา, ออสเตรเลีย, แคนาดา, เม็กซิโก, และยุโรป มีผู้คนจำนวนมากซึ่งมีวิถีชีวิตแตกต่างกันและมีพื้นฐานทางศาสนาแตกต่างกัน ได้รับความก้าวหน้าทางด้านจิตวิญญาณเป็นอย่างมากด้วยความช่วยเหลือของท่าน ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีองค์กรที่เผยแพร่คำสอนของท่านอย่างเป็นทางการ บรรดาเพื่อนๆ และลูกศิษย์ผู้ชื่นชมในตัวท่านก็มีมากมายทั่วโลก ซึ่งต่างก็พร้อมและเต็มใจให้คนอื่นๆได้มีโอกาสเรียนรู้จากอาจารย์ผู้เป็นที่รักของพวกเขา

นอกจากจะให้ความช่วยเหลือผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนด้วยการเทศน์สอนและการประทับจิตแล้ว ท่านอาจารย์ชิงไห่ยังทุ่มเทพลังงานอันไม่มีขอบเขตของท่านในการช่วยเหลือผู้ได้รับความทุกข์ยากหรือผู้ขาดแคลน จนในระยะหลังๆ นี้ ความพยายามทุ่มเทงานด้านมนุษยธรรมของท่านเป็นที่ซาบซึ้งใจของผู้คนจำนวนหลายล้านคนทั่วโลก ท่านอาจารย์ไม่ได้แบ่งแยกระหว่างความทุกข์ยากที่เกิดจากอวิชชาหรือความไม่รู้ทางด้านจิตวิญญาณ หรือจากทรัพย์สมบัติทางด้านวัตถุ หรือเหตุการณ์สภาวะแวดล้อม  ดังนั้นไม่ว่าที่ใดมีความทุกข์ยากเกิดขึ้นท่านก็จะให้ความช่วยเหลือทั้งนั้น

 
 

ตัวอย่างกิจกรรมด้านมนุษยธรรมซึ่งท่านอาจารย์ชิงไห่ได้กระทำไปในอดีตที่ผ่านมาไม่นานนี้ได้แก่ การช่วยเหลือผู้ไร้ที่อยู่อาศัยทั่วสหรัฐอเมริกา ผู้ประสบอัคคีภัยในแคลิฟอร์เนียตอนใต้ ผู้ประสบภัยน้ำท่วมในแถบตะวันตกตอนกลางของสหรัฐอเมริกา และที่จีนแผ่นดินใหญ่ตอนกลางและตะวันออก รวมทั้งในมาเลเซีย เอาแลค ฮอลแลนด์ เบลเยียม และฝรั่งเศส ผู้สูงอายุใน บราซิล ผู้ไร้ที่อยู่อาศัยจากการระเบิดของภูเขาไฟปินาตูโบในฟิลิปปินส์ ผู้ประสบภัยในภาคเหนือของประเทศไทย ครอบครัวที่แร้นแค้นในฟอร์โมซาและสิงคโปร์ ผู้ป่วยโรคเรื้อนบนเกาะโมโลไก ฮาวาย กลุ่มผู้บำเพ็ญในอินเดีย, เยอรมันและอูกันดา ครอบครัวของเด็กปัญญาอ่อนในฮาวาย ผู้เคราะห์ร้ายจากแผ่นดินไหวในลอสแองเจลิส ทหารผ่านศึกในสหรัฐอเมริกา เด็กกำพร้าในเอาแลค สถาบันวิจัยด้านการแพทย์เกี่ยวกับโรคเอดส์และโรคมะเร็งในสหรัฐอเมริกา และยังมีที่ต่างๆอีกมากมาย ซึ่งงานของท่านยังคงดำเนินอยู่ต่อไปเรื่อยๆ และแน่นอน เราต้องกล่าวถึงการทุ่มเทอันมิรู้เหน็ดเหนื่อยและไม่รู้จบของท่านอาจารย์ชิงไห่ ในการให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวเอาแลค ทั้งที่อยู่ภายในและภายนอกค่ายผู้ลี้ภัยอีกด้วย

 
 
 

ถึงแม้ว่าท่านจะไม่เคยแสวงหาชื่อเสียงเกียรติยศอย่างใดอย่างหนึ่งเลย แต่ท่านอาจารย์ชิงไห่ก็เป็นที่รู้จักและได้รับการยกย่องในงานด้านมนุษยธรรมของท่านจากเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างๆ ทั่วโลก ตัวอย่างเช่น เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2536 ก็ได้รับการประกาศให้เป็น "วันอนุตราจารย์ชิงไห่" โดยนายกเทศมนตรีของฮอนโนลูลู รัฐฮาวาย และวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2537 ก็ได้รับการประกาศเช่นเดียวกัน โดยผู้ว่าการอิลลินอยส์ ไอโอวา วิสคอนซิน แคนซัส มิสซูรี และมินเนโซต้า  ท่านยังได้รับ "รางวัลสันติภาพโลก" ในฮอนโนลูลู  รางวัล "ผู้นำทางจิตวิญญาณโลก" ในงานพิธีที่ชิคาโก เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2537 และมีหนังสือแสดงความยินดีส่งมาร่วมในงานพิธีที่ชิคาโกจากเจ้าหน้าที่รัฐบาลมากมายทั่วโลก ซึ่งรวมถึงประธานาธิบดีคลินตัน ประธานาธิบดีบุช และประธานาธิบดีเรแกน นอกจากนี้ท่านยังได้รับเกียรติให้เป็น "พลเมืองกิตติมศักดิ์ของอเมริกา" อีกด้วย

ในระยะหลังๆ ท่านอาจารย์ชิงไห่ยังได้อุทิศตัวในการสร้างสรรค์ผลงานด้านความงาม ซึ่งท่านชื่นชอบอยู่ภายใน งานเหล่านี้ได้แก่ ภาพเขียน พัดซึ่งใช้ประดับ โคมไฟ การตกแต่งภายใน งานออกแบบสวน การออกแบบเสื้อผ้า บทกวี การแต่งทำนองและบทเพลง สิ่งต่างๆ เหล่านี้หลายสิ่งได้รับการจัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหาเงินช่วยในการกุศลต่างๆ

ท่านอาจารย์ชิงไห่บอกพวกเราว่าท่านไม่ได้รู้แจ้งมาตั้งแต่ต้น ท่านเคยดำเนินชีวิตทางโลกเหมือนคนทั่วไปและได้เรียนรู้ปัญหาต่างๆ ของเรา รวมทั้งความปวดร้าวในใจ กิเลส ตัณหา และข้อสงสัยต่างๆ ของเราจากประสบการณ์ของท่าน ท่านยังรู้จักอาณาจักรสวรรค์แห่งความเป็นพุทธะ และรู้วิธีที่จะไปสู่จุดนั้น ชีวิตในตอนนี้ของท่านมีหน้าที่เหลืออยู่เพียงอย่างเดียวคือ ช่วยเราในการเดินทางจากความทุกข์ทรมานและความสับสนของสภาวะที่ยังหลับใหลอยู่ไปสู่ความสุขและความกระจ่างที่แท้จริงแห่งการตระหนักรู้ในสิ่งสูงสุดอย่างสมบูรณ์ ถ้าหากท่านผู้อ่านพร้อมแล้วท่านก็พร้อมที่จะนำกลับไปสู่บ้าน

ท่านอาจารย์ชิงไห่จะบรรยายธรรมให้แก่ผู้ที่สนใจศึกษา ตามลักษณะพื้นฐานและวัฒนธรรมของผู้ฟังไม่ว่าจะเป็นชาวคริสต์ มุสลิม พุทธ หรือเต๋า ฯลฯ  ท่านสามารถพูดภาษาอังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, จีน และเอาแลค ผู้ที่ประสงค์จะเรียนและฝึกบำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิมกับท่านอาจารย์ชิงไห่ สามารถมารับการประทับจิตจากท่านได้ การเข้าฟังการบรรยายธรรมและการประทับจิตจากท่านนั้นไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น

 
ชมวิดีทัศน์ประวัติท่านอาจารย์ชิงไห่
อ่านรายงานจากสื่อมวลชน : เรื่องราวการแสวงหาสัจธรรมของอาจารย์ที่เทือกเขาหิมาลัย
ความลี้ลับของโลกเหนือโลก (ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่  26 มิถุนายน 2535 ที่องค์การสหประชาชาติ กรุงนิวยอร์ก)