รายงานจากสื่อมวลชน

เรื่องราวของอาจารย์ผู้รู้แจ้งจากเทือกเขาหิมาลัย - อนุตราจารย์ชิงไห่

 
 

ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ เป็นที่รู้จักทั่วโลกด้วยผลงานการกุศลของท่านๆ ได้ช่วยเหลือผู้อพยพลี้ภัย คนยากจนและไร้ที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการช่วยเหลือโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ แก่ผู้ประสบภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็นคนเชื้อชาติใด หรือนับถือลัทธิศาสนาใด ดังปรากฏเรื่องราวของท่านในหนังสื่อชื่อ "สตรีแห่งจิตวิญญาณ : หนังสือรวบรวมเรื่องนักบุญ ครู นางฟ้า และบ้านพี่เมืองน้อง-ตะวันออก กับตะวันตก" เป็นหนังสือที่รวบรวมเนื้อหาต่างๆ อย่างละเอียดสมบูรณ์ ซึ่งได้สงวนหน้ากระดาษไว้เป็นพิเศษเพื่อลงพิมพ์เรื่องที่เกี่ยวกับท่าน บทนิพนธ์ต่อไปนี้คัดมาจากหนังสือ "สตรีแห่งจิตวิญญาณ" เกี่ยวกับท่านอนุตราจารย์ชิงไห่

 

 

การเสาะแสวงหาอาจารย์ผู้รู้แจ้งของท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ซึ่งสามารถแสดงให้ท่านเห็นหนทางโดยตรงที่สุดเพื่อไปสู่พระเจ้า ทำให้ท่านต้องเดินทางไปมากกว่า 30 ประเทศในระยะเวลาประมาณ 7 ปี ท่านได้เยี่ยมสถานที่และอาศรมที่สำคัญทางจิตวิญญาณมากมาย โดยหวังอยู่เสมอที่จะได้พบมหาอาจารย์ ซึ่งบางทีท่านจะได้ตระหนักอยู่ภายในว่ากำลังรอท่านอยู่

ในที่สุดท่านก็ได้มาถึงอินเดีย แผ่นดินซึ่งมีมหาอาจารย์ยิ่งใหญ่มากมายนับเป็นศตวรรษ เมื่อพูดถึงการเดินทางของท่านในดินแดนที่ลี้ลับนี้ ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ก็ให้ความเห็นว่า "มีผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณในอินเดียมากมาย ซึ่งกินวันละมื้อเดียวเท่านั้น พวกเขาบำเพ็ญธรรมวิถีมากมาย แทนที่จะเป็นธรรมวิถีที่เลือกสรรแล้วธรรมวิถีเดียว พวกเขาไม่มีบ้านอยู่เป็นหลักแหล่ง พวกเขาเดินเท้าไปทุกหนแห่ง เพื่อสืบแสวงมหาอาจารย์และหนทางการบำเพ็ญ พวกเขาไม่ได้นั่งสมาธิสั้นๆ เพียงแค่ 1 นาที คุณคงจะจินตนาการออกได้พลังภายในของพวกเขานั้นเยี่ยมแค่ไหน พวกเขาบางคนสามารถเดินลุยไฟโดยไม่ไหม้ อย่างไรก็ตามเรื่องเช่นนี้ เป็นแค่ชั้นเชิงเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งไม่สามารถนำไปสู่ระดับสูงสุดได้ การได้รับปัญญาและการหลุดพ้นนั้นสำคัญมากกว่า เรามีพลังทียิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่ ถ้าเราบำเพ็ญอย่างดี และมีศรัทธาเต็มที่ในตัวเราไม่มีอะไรที่เกินเอื้อม

ศรัทธาของท่านการอุทิศอย่างไม่มีตัวตนที่จะรับใช้ผู้อื่นได้ปรากฏให้เห็นเด่นชัด เมื่อท่านได้บรรยายถึงการใช้เวลาของท่าน ณ อาศรมแห่งหนึ่งในหลายๆ อาศรม ที่ท่านได้เยี่ยมเยือน "เมื่อฉันมีเวลา ฉันทำทุกอย่างที่จำเป็นจะต้องทำ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ไม่ชอบงานบ้าน ล้างจานและขัดพื้น ฉันก็ทำงานเหล่านี้ แม้เจ้าหน้าที่อย่างพวกเราปกติจะได้รับการยกเว้นจากงานใช้แรงงาน ฉันเป็นคนทำงานเร็ว และถ้าฉันได้พบข้าวของโปรยไปทั่วทุกแห่งเมื่อฉันทำงานในสำนักงานเสร็จ ฉันก็จะรีบทำความสะอาดทันที เพราะฉันไม่ชอบความไม่เรียบร้อย ฉันรู้ว่าจะจัดของให้เข้าที่เข้าทางอย่างไร ฉันจึงทำมันได้อย่างรวดเร็วมาก"

"ยิ่งเราทำงานเราก็ยิ่งรู้แจ้งมากขึ้น พูดอย่างเปิดเผยมันเป็นงานที่ยิ่งใหญ่สำหรับฉันที่ได้ขัดบันไดและพื้นในอินเดีย ฉันพูดกับตัวฉันอย่างร่าเริงว่า โอ ฉันรู้สึกเป็นเกียรติมากที่มีโอกาสได้ทำความสะอาดบันไดให้นักบุญเหล่านี้ เท้าของพวกเขาได้เดินผ่านที่แห่งนี้ทุกวัน มันคล้ายกับว่าฉันได้กำลังล้างเท้าของพวกนักบุญ ฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูง ความคิดนี้เป็นความคิดที่เกิดขึ้นมาเอง ไม่มีใครสอนฉันในเรื่องนั้น เพียงแค่การล้างบันไดที่เหยียบย่ำโดยลูกศิษย์ก็พอเพียงที่จะทำให้ฉันรู้สึกมีเกียรติมาก ฉันจะยิ่งรู้สึกเป็นเกียรติมากขึ้นสักเท่าไร  ถ้าฉันได้รู้สึกว่ามันเป็นบันไดที่เคยใช้โดยมหาอาจารย์ มันจะเป็นการดีกว่าสำหรับเราที่จะทำงานโดยปราศจากเงื่อนไข รับใช้ผู้อื่นแล้วเธอก็จะได้ทุกอย่าง"

"ในช่วงเวลาที่ฉันอยู่ในอาศรม ฉันไม่เคยติดสอยห้อยตามมหาอาจารย์ผู้รู้แจ้ง หรือขอให้เขามองดูฉันในขณะที่ฉันทำงาน ฉันเพียงแต่รับใช้เท่านั้น ฉันเพียงแต่ขัดถูขั้นบันได ทำความสะอาดพื้น รดน้ำต้นไม้และทำสิ่งต่างๆ ที่ไม่มีใครต้องการทำ ฉันล้างภาชนะที่ใช้กินเพราะมันเป็นสิ่งสุดท้าย ซึ่งคนต้องการที่จะทำหลังจากอาหารในแต่ละมื้อ ภาชนะที่ใช้กินและใช้ทำอาหารกองสุมกันเหมือนภูเขา แม้กระนั้นฉันก็รู้สึกมีความสุขในการล้างมันทุกวัน"

 

 

 
 

หลังจากทำงานอย่างที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในอาศรมมากมาย ในการเสาะแสวงหาแท้จริงอันน่าทึ่งของท่านก็จบลงด้วยบทสุดท้าย ณ ภูเขาหิมาลัย ที่เป็นภูเขาซึ่งสูงสุดและลี้ลับที่สุดในโลกเป็นสถานที่นับเป็นศตวรรษมาแล้ว ที่ชาวอินเดียได้เชื่อว่าเป็นที่อยู่อาศัยของเทพเจ้า ด้วยเหตุผลนี้ผู้แสวงบุญที่เลื่อมใสนับล้านๆ คน ได้เสี่ยงภัยเข้าไปในภูเขาหิมาลัยในแต่ละปี เพื่อเยี่ยมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มากมาย และอาจจะได้พบผู้รู้แจ้งที่หายากซึ่งผู้คนได้บอกว่าอาศัยอยู่โดเดี่ยว ในถ้ำลึกลับห่างไกล เป็นที่น่าเศร้าใจที่ผู้แสวงบุญมากมายได้ตายไปในระหว่างทาง เนื่องมาจากสภาพอากาศที่เลวร้าย ภูเขาถล่ม หรือภูมิประเทศที่มีน้ำแข็งอันตราย มีความสะดวกสบายเพียงเล็กน้อย ดังนั้นบางคนจึงอดอาหาร ความกลัวทำให้ผู้แสวงบุญส่วนใหญ่ไม่กล้าที่จะเสี่ยงเข้าไปไกลเกินไป มีเพียงมนุษย์ที่หายากยิ่งเท่านั้น ที่มีศรัทธาอันไม่สั่นคลอนในพลังแห่งจักรวาล และความกล้าหาญอย่างใหญ่หลวง ซึ่งจะเพิกเฉยต่ออันตรายอันเห็นเด่นชัด

 

 เมื่อพูดถึงเรื่องการท่องไปในเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งทำให้ท่านเข้าไปในที่สูงขึ้นและลึกขึ้น ในบริเวณที่มีหิมะ ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้กล่าวว่า "เมื่อตอนที่ฉันอยู่ในหิมาลัย ฉันไม่มีเงินพอที่จะจ้างม้าหรือกุลี ฉันไม่มีอะไรเลย ดังนั้น ฉันก็ได้แต่เดินไปเท่านั้น บางทีการเดินไปเรื่อยๆ ของฉันทำให้ฉันรู้สึกอุ่นและคงจะแข็งเป็นน้ำแข็ง เนื่องจากฉันใส่รองเท้าและเสื้อผ้าที่เปียกท่ามกลางสายฝนและหิมะในเทือกเขา บางยอดก็สูงตระหง่านและดูน่ากลัว ในตอนนั้นฉันคงจะบ้าเหมือนกับคู่หนุ่มสาว ซึ่งหลงรักกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา และไม่คำนึงถึงทุกสิ่งทุกอย่าง คู่รักตาบอดในเรื่องการเสี่ยงและภาระในการแต่งงาน และชีวิตครอบครัวและพวกเขาก็ไม่คิดถึงอนาคต พวกเขาเป็นทาสของความรักซึ่งกันและกัน และมีชีวิตอยู่ในชั่วขณะเวลานั้นเท่านั้น"

 

"อย่างไรก็ตาม พระเจ้าก็ให้พรคนโง่ๆ อย่างฉัน เมื่อตอนที่ฉันกำลังตามหามหาอาจารย์ผู้รู้แจ้ง ฉันมีเสื้อผ้าเพียง 2 ชุดเท่านั้น แต่ฉันก็ไม่เคยเป็นหวัด เมื่อต้องเดินฝ่าฟันภูเขาหิมาลัย บางครั้งฉันไม่มีเงินแม้กระทั่งที่จะซื้อไม้ฟืนเพื่อที่จะทำให้เสื้อผ้าฉันแห้ง ดังนั้น ฉันจึงเข้าใกล้แค้มป์ไฟของคนอื่น และถือมันเอาไว้ในมือของฉัน ความร้อนทำให้เสื้อผ้าแห้งได้เร็วกว่า และฉันก็สามารถทำให้ตัวฉันอบอุ่นได้ด้วยเช่นกัน ฉันคงจะตาบอดไปแหละและ "คลั่งในพระเจ้า" ตอนนี้ฉันคงจะไม่กล้าที่จะทำเช่นนั้นอีก

ในขณะนั้น สิ่งที่ฉันมีอยู่ในสมองของฉันก็คือพระเจ้า และทั้งหมดที่ฉันเห็นได้ก็คือพระเจ้า ไม่มีที่ว่างสำหรับครอบครัวหรือเงินทอง ฉันโง่พอแต่ไม่มีสิ่งใดที่สามารถสอดแทรกเข้ามาในสมองของฉันได้ เพราะฉันมีเพียงพระเจ้าในใจของฉันเท่านั้น มันก็เหมือนกับที่เราตกอยู่ในความรัก เราตาบอดอย่างสิ้นเชิง ต่อความผิดของคู่รักของเรา และเราปฏิเสธที่จะฟังคำพูดที่ไม่น่ายินดีที่ขัดกับตัวเขา บางทีนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมพระเจ้าจึงให้ความคุ้มครองแก่ฉัน ไม่เช่นนั้นแล้วฉันคงจะตายไปนานแล้ว"

 
 
 

การอุทิศตนต่อพระเจ้าของท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ทำให้ท่านก้าวข้ามความยากลำบากมากมาย ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางคนเดียว แล้วสภาพแวดล้อมแห่งเทือกเขาอันเป็นที่ไม่น่าต้อนรับซึ่งท่านได้ประสบมาในบางส่วนของหิมาลัย "ความกดอากาศต่ำยากที่จะทำให้อาหารสุก ฉันทำได้แต่เพียงล้างอาหารในแม่น้ำคงคาและกินมันดิบๆ และกระนั้นมันก็อร่อย หิมาลัยเป็นสถานที่ๆ น่าอัศจรรย์ที่สุด ฉันอยู่ได้โดยไม่มีน้ำร้อน มันสนุกที่ได้จุ่มในน้ำเย็น มันเย็นมากเหลือเกิน จนรู้สึกเหมือนว่าร่างกายของฉันได้หดลงไป ฉันจะนับ 1-5 แล้วกระโดดออกมาจากน้ำที่เย็นเหมือนน้ำแข็ง ตอนนั้นร่างกายของฉัน คล้ายกับว่าเบ่งบานเหมือนดอกไม้เป็นพันๆ ดอก และฉันรู้สึกร่าเริงมาก"

บนเส้นทางที่จะเป็นการเดินทางสุดท้ายไปยังที่อยู่อาศัยของพระเจ้า ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้เริ่มต้นเหมือนกับที่ท่านทำเสมอมาแต่ก่อนด้วยเสื้อผ้า 2 ชุด รองเท้ากีฬาคู่หนึ่ง ถุงนอน ขวดน้ำ หนังสือ 2-3 เล่ม และไม้เท้า ท่านเกือบจะเปียกอยู่ตลอดเวลาและหนาวจนขนาดที่ท่านปีนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ยิ่งท่านไปไกลมากขึ้น ท่านก็ทิ้งของส่วนตัวมากขึ้นเพื่อประหยัดพลังงาน เมื่อได้ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไปหมดแล้ว ก็ปล่อยให้ชีวิตของท่านอยู่ในหัตถ์ของพระเจ้า

 

ทุกสิ่งทุกอย่างจะมาหาผู้ที่ค้นพระเจ้า และพระเจ้าเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่พ้นที่วันหนึ่งท่านจะพบมหาอาจารย์ ซึ่งท่านได้ใฝ่กระหายอย่างไม่หยุดหย่อน มหาอาจารย์ท่านนั้นก็คือ อาจารย์ คู ด าจี ผู้ยิ่งใหญ่ อาศัยอยู่ในหิมาลัยที่โดดเดี่ยวและลึก อาจารย์ คู ดา จี มีอายุ 450 ปี เมื่อท่านประทับจิตให้กับท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ สื่อศิลปะโบราณแห่งการบำเพ็ญสมาธิด้วยเสียงและแสงแห่งสวรรค์ ท่านได้อยู่หิมาลัยด้วยความอดทน เพื่อรอท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ท่านจะเป็นลูกศิษย์คนแรกและคนเดียวเท่านั้นของอาจารย์คูดาจี แม้ว่าท่านได้เคยบำเพ็ญการนั่งสมาธิเช่นนี้มาก่อน แต่อาจารย์คูดาจี จะต้องถ่ายทอดทางจิตวิญญาณขั้นสุดท้ายซึ่งเป็นแก่นของการประทับจิต มีมหาอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ไม่กี่ท่านเท่านั้น ซึ่งได้บรรลุถึงขั้นสุดท้ายนี้ ซึ่งสามารถให้การประทับจิตได้

ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่แทบจะไม่เอ่ยถึงอาจารย์คูดาจี ผู้ซึ่งได้จากโลกนี้ไปทันทีหลังจากหน้าที่อันสูงส่งของท่านได้เสร็จสิ้นลง ท่านขอบคุณอาจารย์ทั้งหลายที่ได้สอนท่านระหว่างการค้นหา แต่ท่านได้ให้เกียรติสูงสุดต่อพระเจ้า "ฉันมีอาจารย์หลายท่าน ทั้งที่สัมผัสได้และสัมผัสไม่ได้ และแต่ละท่านก็ได้สอนฉันในสิ่งต่างๆ กัน ความจริงก็คือ พระเจ้าเป็นมหาอาจารย์ผู้รู้แจ้งองค์เดียวของฉันเท่านั้น" อย่างไรก็ตาม ครั้งหนึ่งเมื่อลูกศิษย์ประทับจิตของท่านคนหนึ่ง ได้ถามท่านถึงเรื่องมหาอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเทือกเขาหิมาลัยของท่าน ท่านก็ได้พูดว่า "โอ ฉันได้เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ผู้รู้แจ้งยิ่งใหญ่ท่านหนึ่ง! อย่างไรก็ตามท่านได้ตายไปแล้ว ท่านมีลูกศิษย์คนเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือฉันและฉันจะต้องทำหน้าที่ของท่านต่อไป"

 
 
 

ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ อยู่ในหิมาลัยเป็นเวลาหลายเดือน หลังจากได้ประสบการณ์ของท่านกับท่านอาจารย์ คู ดา จี และได้สำเร็จศิลปะโบราณแห่งการบำเพ็ญสมาธิอย่างสมบูรณ์ ทั้งๆ ที่ได้พบกับสภาพที่สุดๆ และความยากลำบากมากมาย ท่านก็รู้สึกได้เชื่อมต่ออย่างแปลกประหลาดกับจิตวิญญาณอันพิเศษนี้ โดยที่ครั้งหนึ่งท่านได้พูดว่า "ในเทือกเขาหิมาลัย เธอสามารถรู้สึกได้ถึงสัตว์และพืชทั้งหลาย ได้ส่งบรรยากาศที่เป็นมิตรและอ่อนโยนออกมา ท้องฟ้าสงบและไร้ขอบเขต ต้นสนเป็นมิตรมาก ฉันอาศัยอยู่ในที่สูง และรู้สึกได้ถึงเมฆสีขาวที่ล่องลอยอยู่รอบๆ ตัวฉัน มันคล้ายกับว่าฉันกำลังเดินอยู่บนก้อนเมฆ ฉันไม่ได้เรียกก้อนเมฆมาให้ฉันขี่ พวกมันมาเอง คุณอาจเคยเห็นภาพวาดที่เคยขี่ก้อนเมฆ นั่นคือสิ่งที่ฉันกำลังพยายามบรรยายให้ฟัง มันไม่ใช่ปรากฏการณ์แห่งสวรรค์ แต่มันเป็นภาพที่ปกติทั่วไปในหิมาลัย"

เมื่อได้กลับมายังที่ราบแล้ว ท่านก็ได้ไปเยี่ยมหนึ่งในอาศรมที่ท่านเคยอยู่มาก่อน ขณะที่ท่านกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ที่ทิ้งแล้วนั้น หนึ่งในลูกศิษย์ของอาศรมที่อยู่มายาวนานมากที่สุด ซึ่งได้ฝึกภายใต้อาจารย์ผู้ซึ่งได้สืบทอดเชื้อสายกันมา 3 ท่าน ได้ทิ้งตัวลงกราบต่อหน้าท่านอย่างเปิดเผยต่อหน้าฝูงชนรอบๆ และแตะเท้าและแม้กระทั่งจูบเท้าของท่าน แน่นอนท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ตกตะลึงงัน ตามที่ท่านได้อธิบายต่อมาภายหลังว่า

 

"นั่นไม่ใช่เป็นครั้งแรกที่เราได้พบกัน เราได้เคยทำงานร่วมกันเป็นเวลาหลายเดือนและดื่มชาด้วยกัน อย่างไรก็ตามเขาก้มกราบฉัน หลังจากที่ฉันกลับมาจากการเดินทางไปยังหิมาลัยของฉัน ฉันกลัวว่าอัตตาของฉันอาจจะโตสูงเท่ากับภูเขา เหมือนกับที่ทุกคนรอบๆ เราในตอนนั้น ฉันรู้สึกตะลึงงันจริงๆ ฉันรู้สึกตกใจจนคิดอะไรไม่ออก สมองฉันว่างเปล่าและคิดอะไรต่อไปไม่ออก ฉันรู้แต่ว่าฉันควรจะจากไป" แล้วท่านก็จากไปโดยทันที

 

ท่านพยายามอย่างสุดกำลังที่จะไม่ให้เป็นที่โดดเด่นในขณะที่ท่านเดินทางไปทั่วอินเดีย อย่างไรก็ตามแสงภายในอันประเสริฐของท่านก็ไม่สามารถจะปกปิดได้  เทศกาล MAHA KUMBH MELA ในอินเดียซึ่งจัดขึ้นทุกๆ 12 ปี ณ HARDWAR ริมฝั่งแม่น้ำคงคาใน UTTAR PRADESH ชาวฮินดูจำนวนล้านๆ คน จากทุกส่วนของประเทศชุมนุมกันเป็นเวลาหนึ่งเดือน เป็นการชุมนุมที่หายากมากกับอาจารย์ทางจิตวิญญาณ ซึ่งหลายคนนั้นได้เสี่ยงภัยเดินลงมาจากหิมาลัยเพื่อโอกาสนี้เท่านั้น ดังนั้นผู้แสวงบุญ จึงไปถามคำถามและถวายของสารพัดชนิดให้กับอาจารย์เหล่านั้น บางทีอาจจะไม่น่าประหลาดใจที่การมาเยือนของท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ก่อให้เกิดความเกรียวกราวทีเดียว "ตอนที่ฉันอยู่ KUMBH MELA คนจำนวนมากมายตามฉัน ในอินเดียถ้าผู้หญิงออกไปข้างนอกคนเดียว คนก็จะโยนก้อนหินใส่ เขาคิดว่าเป็นผู้หญิงไม่ดี อย่างไรก็ตามแม้ว่าฉันจะเดินทางคนเดียวคนก็คำนับฉันและมอบเครื่องเทศ มะพร้าว ดอกไม้ และอาหารให้ฉัน แม้กระทั่งให้เต็นท์ที่ดีที่สุดแก่ฉัน ซึ่งเป็นชนิดที่เก็บเอาไว้ให้กับมหาอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ เขาให้ฉันใช้เต็นท์ใหญ่คนเดียว ในขณะที่อาจารย์คนอื่นๆ ต้องเบียดเสียดกันในเต็นท์ๆ เดียว

 
 

ไม่มีอะไรในตัวฉันที่จะดึงดูดความสนใจ ฉันไม่ได้ตอกตะปูตัวฉันหรือไว้เครา หรือทาตัวฉันให้ดำด้วยเถ้า หรือฉันผอมเหมือนโครงกระดูก เธอรู้จักนักบุญได้ในทันทีเมื่อเธอเห็นเขา พวกเขาตากแดดตลอดทั้งวัน ดังนั้นผิวชองเขาจึงดำ พวกเขาไว้เคราเพราะไม่มีเวลาที่จะโกน พวกเขามีผมยาวด้วย เธอสามารถรู้ได้ทันทีว่าพวกเขาเป็นอาจารย์ หรือนักบุญผู้รู้แจ้ง ฉันดูไม่เหมือนพวกเขาเลย"

 

ในที่สุดท่านก็จากอินเดีย แต่ไม่ว่าที่ไหนที่ท่านไปคนก็รู้จากภายในถึงความยิ่งใหญ่ทางจิตวิญญาณของท่าน ท่านไม่มีความปรารถนาที่จะดึงดูดลูกศิษย์ แต่ไม่ว่ากี่ครั้งกี่หนที่ท่านหนีจากพวกที่พบท่าน พวกเขาก็เฝ้ามาหาท่านอยู่เรื่อยๆ ในที่สุดในไต้หวันเหมือนกับที่ได้เกิดขึ้นมากลายครั้งในอินเดีย ในนิวยอร์ก และในส่วนหนึ่งของโลก ท่านก็ได้ถูกค้นพบโดยกลุ่มผู้แสวงหาทางจิตวิญญาณ ซึ่งได้รับการชี้นำจากพระเจ้าให้มาหาท่าน ในขณะนั้นท่านใช้ชีวิตอย่างลับๆ หลังวัดเล็กๆ ที่ไม่เป็นที่รู้จัก ท่านรู้สึกซาบซึ้งใจในความจริงใจของพวกเขา และตระหนักว่าท่านไม่สามารถหลีกเลี่ยงหน้าที่ของท่านได้อีกต่อไป ผู้แสวงหาการประทับจิตอย่างจริงใจ ดังนั้น ในที่สุดท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ จึงให้การประทับจิตกับพวกเขา และได้เริ่มต้นชีวิตที่เปิดเผยต่อสาธารณชนในฐานะอาจารย์

     
 

ในขณะที่หน้าที่อันดับแรกของท่านคือทางด้านจิตวิญญาณ กระนั้นก็ดีท่านก็ได้ให้ความช่วยเหลือทางด้านวัตถุที่จำเป็นแก่คนที่ต้องการเมื่อเป็นไปได้ ผลก็คือในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ท่านได้รับรางวัลมากมาย ซึ่งตะหนักถึงภาระหน้าที่รับผิดชอบทางด้านมนุษยธรรม ซึ่งท่านได้ช่วยเหลือผู้คนนับล้านๆ คนทั่วโลกในการเผชิญกับธรรมชาติ ความยากจนและโรคภัยไข้เจ็บจนถึงขณะนี้เรื่องที่โดดเด่นที่สุด รางวัลผู้นำทางด้านจิตวิญญาณโลก 1994 ซึ่งมอบให้โดยผู้ว่าการรัฐ 6 รัฐในสหรัฐอเมริกา (วิสคอนซิน อิลลินอยส์ ไอโอวา แคนซัส มิซซูรี และมินิโซตา) สำหรับความช่วยเหลืออย่างใจกว้างหลังจากน้ำท่วมมิสซิปซิปปี้ 1993 ความช่วยเหลืออื่นๆ ของท่านส่วนใหญ่นั้น ไม่เป็นที่รับรู้เนื่องจากผ่านทางรัฐบาล ความเมตตาอันไม่มีการแบ่งแยกของท่าน เช่น ความอดทน ความตั้งใจและความอุตสาหะ พากเพียร ซึ่งท่านได้แสดงออกตลอดชีวิตของท่าน เป็นคุณสมบัติอันสำคัญสำหรับผู้ใฝ่กระหายทางจิตวิญญาณทุกคน สิ่งเหล่านี้เป็นคุณสมบัติซึ่งถูกสอนและทำเป็นตัวอย่าง โดยมหาอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ในอดีต เช่น พระเยซู พระศากยมณีพุทธเจ้า กฤษณะ เล่าจื๊อ โมฮัมเหม็ด กูรูนานัก และท่านอื่นๆ แม้ชีวิตมหาอาจารย์แต่ละคนนั้น มีความเป็นพิเศษไม่เหมือนใคร แต่หนทางการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณพวกเขานั้น เป็นหนทางเดียวกัน หนทางนี้ก็คือการบำเพ็ญสมาธิด้วยแสงและเสียงแห่งสวรรค์ ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ได้เรียกสิ่งนี้ว่าธรรมวิถีกวนอิม เพราะท่านได้สอนต่อสาธารณชนแห่งแรกในฟอร์โมซา กวนอิมเป็นภาษาจีนซึ่งหมายถึง การเพ่ง การสั่นสะเทือนภายใน

 
 

การสั่นสะเทือนดั้งเดิมหรือเสียงนี้อยู่เหนือพ้นความเข้าใจทางธรรมชาติ ดังนั้น จึงต้องรับรู้ในความเงียบ ลูกศิษย์ของพระเยซูเรียกมันว่า "จิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์" หรือ "พระวจนะ" (ซึ่งมาจากคำภาษากรีก "โลกอซ" หมายถึงเสียง) "ในตอนแรกเริ่มนั้นมีพระวัจนะ และพระวจนะนั้นอยู่กับพระเจ้า และพระวจนะนั้นคือพระเจ้า" หลังจากที่ศากยมุณีพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้ว พระองค์ก็ได้พูดถึงเสียงนี้ด้วยเช่นกัน โดยเรียกมันว่า "กลองแห่งความอมตะ" พระกฤษณะทำตัวท่านให้เท่าเทียมกับ "เสียงในอีเทอร์" โมฮัมเหม็ดรับรู้ถึงเสียงนี้ในถ้ำที่กาลีเฮร่า เมื่อท่านได้เห็นภาพนิมิตหัวหน้าสวรรค์กาเบล และเล่าจื๊อบรรยายเต๋าว่าเป็น "เสียงอันยิ่งใหญ่"

 

แสงทางจิตวิญญาณเป็นการแสดงออกถึงการปรากฏของพระเจ้า ดังนั้นมหาอาจารย์ผุ้ยิ่งใหญ่จึงถ่ายทอดทั้งแสงและเสียงของธรรมชาตินี้ อย่างที่ท่านอนุตราจารย์ได้อธิบายไว้ว่า "เราติดต่อกับจิตวิญญาณนี้ ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงแสงและการสั่นสะเทือนของพระเจ้าและด้วยการทำเช่นนี้ เราก็รู้จักพระเจ้า อันที่จริงแล้วมันไม่ได้เป็นธรรมวิถี มันเป็นพลังของมหาอาจารย์ ถ้าเธอมีมันเธอก็สามารถถ่ายทอดมันได้ ธรรมวิถีนั้นอยู่เหนือความเข้าใจซึ่งไม่สามารถบรรยายออกมาด้วยภาษาของเราได้ เมื่อใครบางคนบรรยายให้เธอฟัง เธอก็ไม่ได้รับแสงและการสั่นสะเทือน ความสงบสุขภายในและปัญญาทุกอย่างถูกถ่ายทอดในความเงียบ และเธอจะเห็นอาจารย์เก่าๆ ของเธอ เช่น พระเยซู หรือพระพุทธเจ้า เธอจะได้รับทั้งหมด ที่เธอจำเป็นเพื่อที่จะเดินตามรอยเท้าของท่านเหล่านั้น และทีละน้อยเธอก็จะกลายเป็นเหมือนพระคริสต์ เธอจะเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า"

 

เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 10 ปี ข่าวสารโบราณแห่งการบำเพ็ญสมาธิกวนอิมก็ได้แพร่กระจายไปยังประเทศต่างๆ มากมายทั่วโลก การบรรยายธรรมและการสนทนาธรรมอย่างไม่เป็นทางการของท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ได้ถูกบันทึกลงในหนังสือ วิดีโอ และเทปบันทึกเสียง ด้วยภาษาต่างๆ เป็นจำนวนมาก มีคนจำนวนนับแสนซึ่งมาจากความเชื่อถือที่แตกต่างกันได้รับการประทับจิต ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ยินดีรับผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณที่มีความจริงใจเพื่อการประทับจิต ซึ่งเหมือนกับการบรรยายธรรมของท่านต่อสาธารณชน ก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ผู้บำเพ็ญต้องยินยอมทำตามคำมั่นสัญญาตลอดชีวิตด้วย ท่านทำงานเผยแพร่ด้วยเงินของท่านเอง โดยท่านมีรายได้จากการจำหน่ายงานศิลปของท่าน เสื้อผ้าแฟชั่น และอัญมณีที่ท่านออกแบบด้วยตนเอง ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ได้จัดแสดงตามประเทศต่างๆ และได้รับการต้อนรับอย่างดี

 

การทำงานอย่างเสียสละของท่านอนุตราจารย์ได้ก้าวไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งทุกวันนี้ และด้วยความกรุณาของพระเจ้าคงจะดำเนินต่อไปอีกในอนาคตอันยาวนาน งานของท่านได้ช่วยให้ผู้คนเป็นจำนวนมากได้มีโอกาสติดต่อกับอาจารย์ผู้รุ้แจ้งอย่างสมบูรณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ท่านมักจะกล่าวเสมอว่าการติดต่อเช่นนี้ บางทีมีโอกาสเพียงครั้งเดียวในล้านๆ ปี ดังนั้น ท่านจึงต้อนรับผู้คนทั้งหลายที่รู้สึกว่าเวลาของเขาได้มาถึงแล้วในขณะนี้

 
 อ่านประวัติอนุตราจารย์ชิงไห่ได้ที่นี่