คำถามคำตอบที่เลือกสรร

เข้าใจคำสอนของศาสดามะหะหมัด
ตลอดเวลา

 

ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่  
ลอสแองเจลิส แคลิฟอร์เนีย
 7 มิถุนายน พ..2545 (ต้นฉบับภาษาอังกฤษ)  
วิดีทัศน์ที่ # 626

 

: ฉันเป็นชาวมุสลิม

: อย่างนั้นหรือ ยินดีต้อนรับ ฉันก็เป็นชาวมุสลิมเหมือนกัน!

:ท่านกล่าวว่า พระเจ้าอาศัยอยู่ภายในเรา

: คือว่า ไม่ใช่ฉันเท่านั้น ที่กล่าวว่าอย่างนั้น  ศาสดาทั้งมวลล้วนกล่าวว่าอย่างนั้น  ศาสดาของเธอก็กล่าวไว้อย่างเดียวกัน  พระมะหะหมัด ผู้ก่อตั้งศาสนาของเธอกล่าวไว้อย่างเดียวกัน  พระองค์ยังกล่าวด้วยซ้ำไปว่า ศาสนาทั้งมวลล้วนมาจากพระเจ้า

: ใช่! ฉันเชื่อสิ่งนั้น  ท่านยังได้กล่าวว่า เมื่อพระเจ้าอยู่ภายในเรา เราก็เป็นพระเจ้าเช่นกัน  และฉันยังมีความรู้สึกแปลก ๆ อยู่อีกความรู้สึกหนึ่ง  ฉันรู้สึกว่า ท่านเป็นฉัน และฉันเป็นท่าน

: นั่นยอดเยี่ยมเลย  ฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง!  (: นั่นเป็นอะไรหรือเปล่า?)  นั่นเรียบร้อยดีเป็นอย่างยิ่ง  ยินดีต้อนรับสู่ความรู้สึกแบบเดียวกัน มารวมกลุ่มเดียวกัน  พวกเขาล้วนรู้สึกแบบเดียวกัน  (ท่านอาจารย์อ้างถึงผู้ฟัง)

: รู้สึกค่ะ มันเป็นความรู้สึกที่ดีในหมู่คนของฉันเอง  จริง ๆ นะ มันเป็นความรู้สึกปีติจริง ๆ

: นั่นคือลักษณะ ที่มันควรจะรู้สึก  แล้วเธอคำถามอีกไหม?

: ฉันมีอยู่อีกคำถามหนึ่ง แต่จะให้ฉันถามอย่างเปิดเผยในกลุ่มคนอย่างนี้หรือ?

: โอ ถามอย่างเปิดเผยไปเลย!

: โอเค คือว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันคือว่า ชีวิตของฉันเปลี่ยนแปลงไปเสียสิ้น  วันหนึ่งฉันกำลังง่วนอยู่กับโครงการโครงการหนึ่งของชั้นเรียนวาดรูป  มันเป็นภาพวาด ที่พวกเขาบอกให้ฉันวาดภาพเหมือนของตัวเอง  และฉันเขียนคำภาษาอารบิคไว้บนนั้น เป็นคำจากคัมภีร์อัลกุรอ่าน  นั่นก็คือตัวแท้ของฉัน  ฉันจึงไม่ทราบว่า ได้เกิดอะไรขึ้น แต่พอฉันออกไปข้างนอก ทุกอย่างก็แตกต่างไป  สิ่งต่าง ๆ ได้เกิดขึ้น  ที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับฉันมาก่อน  ผู้คนได้ปฏิบัติต่อฉันในลักษณะที่แตกต่างไป  และเมื่อครูเห็นภาพวาดของฉัน หล่อนก็บอกว่า "นี่แหละ!  เธอมีมันแล้ว!"

: โอ้โฮ! ถ้าอย่างนั้น เธอคงจะมีมันจริง ๆ !

: มันเป็นแค่ว่า มันช่างท่วมท้นจิตใจ  ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย

: ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้คำถามคือว่าอะไรเธอไม่ชอบหรือ?

: ฉันชอบ! แต่มันเป็นสิ่งที่เชื่อได้ยาก  ฉันสงสัยว่า มันคือจิตคิดของฉันกำลังเล่นตลกกับฉันหรือเปล่า หรือว่ามันเป็นความจริงหรือไม่

: คือว่า ถึงแม้ว่าถ้าจิตคิดของเธอกำลังเล่นตลกกับเธอ มันก็เป็นการเล่นตลกที่ดี เป็นมายาภาพที่น่าพึงพอใจมาก

: ใช่ค่ะ! และยังมีอีกอย่างหนึ่ง  ความฝันทุกอย่างของฉันและความปรารถนาของฉัน กลายเป็นความจริง  และมันไม่ใช่แค่ฉัน มันเป็นคนอื่น เช่น เพื่อนของฉัน  พวกเขากล่าวอะไรบางอย่างกับฉัน แล้วพวกเขามา แล้วมาบอกฉันว่า "นี่ มันเกิดขึ้นแล้ว!"

: คือว่า ไม่ว่ามันจะคืออะไรก็ตาม จงสุขใจกับมัน เราเพียงแต่ต้องตระหนักรู้จักตัวเราเอง แล้วคนอื่นก็จะทำอย่างนั้น  พระศาสดาพึงพอใจในตัวเธอมาก (เสียงปรบมือ พระองค์กล่าวกับฉันว่าอย่างนั้น  ถ้าเธอพึงพอใจกับตัวเธอเอง พระองค์ก็พึงพอใจด้วย (: ขอขอบคุณค่ะ อย่ากังวลกับเรื่องนี้  ก็แค่ใช้ชีวิตของเธอต่อไป  ทุกอย่างที่เราประสบในชีวิตของเรา จะผ่านพ้นไป  แล้วเราก็จะมีประสบการณ์อื่นที่ดีกว่า  มันดีขึ้นเสมอ ๆ

: ถ้าอย่างนั้น ฉันควรจะมุ่งต่อไป และบอกครอบครัวของฉันกับเพื่อนของฉันได้ไหมว่า ฉันเป็นผู้ปฏิบัติตามวิถีกวนอิม?

: แค่บอกพวกเขาว่า เธอพบเพื่อนบางคน ผู้เชื่อในคัมภีร์กุรอ่าน  และว่า เพื่อนเหล่านี้ไม่เพียงเชื่อในคัมภีร์อัลกุรอ่าน พวกเขายังใช้ชีวิตในวิถีของคัมภีร์กุรอ่าน  พวกเขามิเพียงเชื่อศาสดามะหะหมัดและคำสอนของพระองค์ แต่พวกเขาพยายามใช้ชีวิตตามคำสอนของพระองค์  และตามความเห็นของเธอหรือประสบการณ์ของเธอในการเชื่อมความสัมพันธ์กับเพื่อนเหล่านี้ เธอรู้สึกว่า พวกเขามีความจริงใจอย่างแท้จริง ที่จะพยายามใช้ชีวิตให้ได้ตามมาตรฐานของคำสอนของพระศาสดา  ค่อย ๆ ไปแบบนั้น

: ฉันชอบ ใช่แล้ว ฉันคิดว่า นั่นจะเป็นสาระมากกว่า

: ในคัมภีร์อัลกุรอ่านนั้น พระศาสดาได้เอ่ยไว้ด้วยว่า ไม่ให้รับประทานเนื้อสัตว์

: พระองค์กล่าวว่าอย่างนั้นหรือ ฉันไม่ทราบเรื่องนั้น

: ให้ไปอ่านดู  ให้ศึกษาคัมภีร์อัลกุรอ่านให้มากขึ้น  ไปศึกษาคัมภีร์อัลกุรอ่านให้มากขึ้น ก่อนที่เธอจะไปคุยกับบิดามารดาหรือญาติโยมของเธออีกครั้ง  จริง ๆ นะ เธอจะเข้าใจแตกต่างไปคราวนี้  ทุกอย่างจะชัดเจนสำหรับเธอ ชัดเจนมากๆ  พระศาสดายังสอนด้วยว่า ไม่ให้ปฏิบัติแตกต่างไปในหมู่ผู้ที่ถือศาสนาต่าง ๆ กันไป  แล้วผู้ติดตามทั้งหลายเหล่านั้น ผู้ซึ่งมีความคิดเห็นไม่ดีนั้น ไม่ทำตามคำสอนของคัมภีร์กุรอ่านเลยแม้แต่น้อย

เธอควรศึกษาคัมภีร์อัลกุรอ่านมากขึ้น  ดูให้แน่ใจว่า เธอทราบว่า เธอพูดเรื่องอะไร  ฉันศึกษาคัมภีร์อัลกุรอ่านมาแล้ว และคำสอนในนั้นเหมือนกับคำสอนของศาสดาอื่น ๆ เหล่านั้นทุกประการ  ฉันดีใจมาก ที่เธอมา  ในท้ายที่สุด! เรามีเพื่อนชาวมุสลิมอื่น ๆ จำนวนมากด้วย

: ฉันดีใจ ที่ท่านรู้เรื่องราว เกี่ยวกับพระศาสดามะหะหมัดหลายอย่างเหลือเกิน

: ฉันรู้ไม่มากขนาดนั้น แต่เราเป็นเพื่อนกัน  พระองค์บอกให้เป็นแขกที่ดีบนโลก ให้ใช้ชีวิตที่ "รุ่มรวย" และให้เป็นแขกที่ดี  พระองค์ไม่ได้บอกผู้คนให้บำเพ็ญทุกรกิริยาด้วย  เราควรร่ำรวยทั้งทางจิตวิญญาณและทางวัตถุ  ดังนั้น ให้เป็นแขกที่ดีบนโลกและใช้ชีวิตที่รุ่มรวยที่นี่  พระมะหะหมัดกล่าวว่า พระองค์เป็นแขกผู้หนึ่ง และว่า เราล้วนเป็นแขกที่นี่  พระองค์ทราบเรื่องนั้น  เราล้วนมาจากสวรรค์

เพราะฉะนั้น พระองค์จะหมายความว่าอย่างไรอื่นได้เล่าที่ตรัสว่า เราเป็นเพียงแขกที่นี่ พระองค์พูดถึงสวรรค์และพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา  ไม่มีสิ่งใดอื่นมาจากโอษฐ์ของพระองค์  ทุก ๆ อย่างอื่นเกี่ยวกับการรบรา ฯลฯ เป็นเพียงแค่สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  แต่พวกเขาข่มเหงพวกพระองค์  พวกเขาติดตามรอยพระบาทของพระองค์ไปทุกที่ และทำให้ชีวิตของศิษย์ของพระองค์เป็นดั่งนรก

ดังนั้น บางครั้งพระองค์และศิษย์ของพระองค์จึงต้องป้องกันตนเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และในระหว่างการรบราเพื่อป้องกันตนเองเหล่านี้ บางคนก็จะไปตาย ขณะที่บางคนก็จะได้อยู่  ดังนั้น พระองค์ต้องปลอบโยนคนเหล่านั้น และพวกเขาบอกว่า มันเป็นไปโดยบังเอิญ  เพราะถ้าเธอต้องป้องกันตนเองและฆ่าคนอื่น พระเจ้าจะยังคงนำพวกเขาไปสู่สวรรค์ เพราะเธอทำไปเพื่อเหตุที่ถูกต้อง

ดังนั้น จึงมีคนบางคนนำความคิดนี้ไปใช้เพื่อก่อการสงครามในภายหลัง ซึ่งไม่ถูกต้อง  แต่คำสอนของพระศาสดานั้นถูกต้องเสมอมา  มันเป็นเพียงว่า บางครั้งเราเข้าใจผิดไป และนั่นเป็นเรื่องที่น่าโศกเศร้าเป็นอย่างยิ่ง

: ฉันดีใจมาก ที่ได้ยินเรื่องทั้งหลายเหล่านั้น

: มันเกิดขึ้นในทุก ๆ ศาสนา  และก็เป็นจริงอย่างเดียวกันกับเรื่องการมีภรรยาหลายคน ฯลฯ  ในสมัยพระมะหะหมัดนั้น สมัยพระศาสดายังมีชีวิตอยู่นั้น คำสอนของพระองค์นั้นก่อให้เกิดความโศกเศร้าและความโกรธเคืองเป็นจำนวนมาก เพราะพระองค์ไม่ได้สอนเหมือนใครเลยในสมัยนั้น  พระองค์สอนว่า สวรรค์อยู่ใกล้มือ "จงมาหาฉัน แล้วฉันจะแสดงให้ท่านเห็นพวกเขาคิดว่า พระองค์ดูหมิ่นพระเจ้า แน่นอน ก็เหมือนพระเยซู ดังนั้น พวกเขาจึงตามข่มเหงพวกพระองค์  พวกเขาคิดว่า พระองค์ต้องการชื่อเสียงทางการเมือง และว่า พระองค์กำลังพยายามจะโด่งดัง บางทีอาจในตำแหน่งต่อต้านรัฐบาล เพราะพระองค์เป็นที่รักของประชาชนมากเกินไป  และแน่นอน ไม่ว่ารัฐบาลใดในสมัยนั้นก็จะรู้สึกถูกคุกคาม  แม้กระทั่งทุกวันนี้ บางรัฐบาลจะรู้สึกถูกคุกคาม ถ้าพระศาสดาต้องฟื้นคืนชีพมาอีกครั้งและนำประชาชน

ดังนั้นแน่นอน จึงเกิดการสงครามขึ้น  พวกเขาถูกคุกคาม และบางครั้ง เพื่อเป็นการป้องกันตนเอง พวกเขาจึงต้องต่อสู้กับรัฐบาล  บางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้ต่อสู้ด้วยซ้ำ  แต่รัฐบาลและทหารบางทีอาจจะฆ่าตนเองหรือบางทีอาจถูกฆ่าด้วยความผิดพลาดบางครั้ง  ตัวอย่างเช่น บางทีพวกเขาตั้งใจจะแทงดาบเข้าไปในตัวผู้เชื่อมุสลิม แล้วทันใด ไม่รู้อย่างไร พวกเขาล้มลง แทงดาบเข้าไปในตนเอง  แต่พวกเขาก็จะโทษชาวมุสลิมว่าฆ่าพวกเขา

ดังนั้น ชีวิตพระศาสดาในสมัยนั้น จะอยู่ในสภาวะการสงครามบ่อย ๆ กับการวิ่งหนีและการแอบซ่อนเสมอ  มันเป็นช่วงเวลาอันย่ำแย่เป็นอย่างยิ่งสำหรับพระองค์และผู้ติดตามของพระองค์  แต่กระนั้น ศรัทธาของพวกเขาแรงกล้ายิ่ง ดังนั้น พวกเขาจึงรวมกลุ่มกันอยู่ได้  พวกผู้ชายจะก่อรูปเป็นโล่กำบังอยู่รอบ ๆ ผู้หญิงและครอบครัว  พวกเขาเป็นผู้ที่ลังเลใจจะเป็นทหาร ระวังระไวพร้อมเสมอและคอยระวังเหตุการณ์  และกระนั้น พวกเขาคือผู้ที่ต้องตายก่อน เพราะอยู่แนวหน้า  ดังนั้น หากพวกเขาตาย ครอบครัวของพวกเขาก็จะถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง

พระศาสดาผู้เมตตากรุณาจึงต้องบอกศิษย์ที่เหลืออยู่ว่า "ชายแต่ละคนที่เหลืออยู่นั้น ต้องดูแลภรรยาและลูกๆ ของพี่น้องของเขาดั่งเป็นภรรยาและลูก ๆ ของเขาเอง แต่เฉพาะผู้ที่ดูแลได้นั่นคือเหตุ ที่พระองค์สร้างกฎ ถ้าเธอรับภรรยา 2 หรือ 3 คนจากพี่น้องของเธอ เธอต้องให้พวกเขา เหมือนกับที่เธอให้ภรรยาของเธอเองทุกประการ”  นั่นมีแต่จะเต็มไปด้วยความยุติธรรม  เพื่อปฏิบัติต่อครอบครัวของพี่น้องของเธอ ดั่งเป็นของเธอเอง  ที่นี่ เราก็ทำอย่างเดียวกัน นั่นคือความเป็นพี่น้องกัน  แล้วจากนั้น แน่นอน เฉพาะผู้ที่สามารถทำได้ จึงควรทำอย่างนั้น  หากเธอไม่สามารถดูแลครอบครัวของตัวเธอเอง เธอจะไปรับอีกครอบครัวมาได้อย่างไร นั่นยุติธรรม ยุติธรรมยิ่งและฉลาด

นั่นคือวิธี ที่ผองพี่น้องต่างก็ได้รับภรรยาและลูกๆ ของกันและกันมา นั่นคือน้ำใจของความเป็นพี่น้องของกันและกัน  ถ้าพี่น้องของเธอเสียสละชีวิตของเขาเพื่อเธอและเพื่อครอบครัวของเธอ เธอต้องดูแลภรรยาและลูก ๆ ของเขา หรือรับภรรยาของเขา หรือลูก ๆ ของเขา  อะไรก็ตามแต่ที่เธอทำได้ เธอก็ทำไป  แล้วเธอก็แบ่งทรัพย์สินของเธออย่างยุติธรรม ในหมู่ภรรยาของเธอและภรรยาคนอื่น ๆ และปฏิบัติต่อพวกเขาดั่งเป็นภรรยาของตัวเธอเอง  เหล่านั้นคือคำสั่งอันเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาของพระศาสดา และเป็นแผนการอันทรงปัญญาในสมัยนั้น  มันเกิดขึ้นเพราะความจำเป็นแห่งยุคสมัย ที่พวกเขาสามารถรับภรรยาเข้ามาได้มากกว่าความจำเป็นเพื่อตัวพวกเขา  แต่พวกเขาไม่ได้รับคนเข้ามาในฐานะเป็นภรรยาผู้หนึ่ง แค่เป็นคนที่จะดูแล

ดังนั้น อาจารย์จำนวนมากทำสิ่ง ที่เราไม่เข้าใจกัน เพราะสถานการณ์ไม่ใช่ อย่างที่เราคิดเสียทีเดียว  มันอาจดูเหมือนบางอย่าง ที่เราเข้าใจ แต่มันไม่ใช่   อ่านต่อ ~


คำถามคำตอบที่เลือกสรร

เข้าใจคำสอนของศาสดามะหะหมัดตลอดเวลา
อาจารย์ที่มีชีวิตเป็นศาสดาของยุค
ปัญญาของอาจารย์มาจากพระเจ้า