ความตายและการรู้แจ้ง

ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ซานโอเซ่ คอสตาริก้า สหรัฐอเมริกา
22 พฤศจิกายน 2532 (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)
การรู้แจ้งคือการตายทุกวัน
จงเตรียมตัวสำหรับการตาย
ชีวิตเราเป็นบวกมากขึ้นภายหลังการรู้แจ้ง
จงสร้าง "โทรศัพท์" แห่งสวรรค์
พลังของพระเจ้าทำงานผ่านอาจารย์ที่มีชีวิตอยู่

คืนนี้ฉันอยากจะให้ความคิดบางอย่างแก่พวกเธอเกี่ยวกับว่า อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากที่เราจากโลกนี้ไป เพราะว่าเมื่อเรากำลังอยู่ในโลกนี้เรารู้อยู่แล้วว่าเราจะต้องทำอะไร คนส่วนมากไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากที่เราจากโลกนี้ไปแล้ว และฉันก็จะเปรียบเทียบข้อแตกต่างระหว่างการรู้แจ้งและประสบการณ์ที่เรียกว่า “ความตาย” ให้ฟังด้วย อันที่จริงแล้วเมื่อเราตายเราไม่ได้ตายเราเพียงแต่เปลี่ยนแปลงรูปร่างภายนอก หรือบางครั้งเราเพียงแต่ละทิ้งร่างกายของเราชั่วระยะเวลาหนึ่ง หรือบางทีก็อาจจะเป็นเวลานาน อาจจะนานหลายร้อยปี อาจจะหลายวัน หรืออาจจะเป็นเวลาหลายพันปีก็ได้ แล้วเราก็อาจจะกลับมาในโลกนี้อีกเพื่อแสดงออกถึงปัญญาของเราและประสบการณ์โดยใช้เครื่องมือที่เป็นร่างกายนี้อีกครั้งหนึ่ง

การรู้แจ้งคือการตายทุกวัน

 
 

ในคัมภีร์ไบเบิ้ล นักบุญท่านหนึ่งกล่าวว่าท่านตายทุกวัน ในที่อื่นๆ ก็ได้มีการกล่าวกันว่ามันจำเป็นอย่างยิ่งที่จะเรียนรู้การตายเพื่อว่าเธอจะได้เริ่มต้นที่จะมีชีวิตอยู่ และในที่อื่นๆ ก็กล่าวว่าถ้าเธอละทิ้งชีวิตของเธอแล้วเธอก็จะได้ชีวิตใหม่ ดังนั้นเมื่อเราอ่านคัมภีร์ไบเบิ้ลและพบประโยคที่กล่าวเช่นนี้ เราก็อาจจะรู้สึกงงมาก มันเป็นไปได้อย่างไรที่เราตายเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่? มันเป็นไปได้อย่างไรที่เราจะตายทุกวัน? มันเป็นไปได้อย่างไรที่เราจะต้องละทิ้งชีวิตเพื่อให้ได้ชีวิต?

ฉันคิดว่าพวกเธอหลายคนคงจะได้อ่านหนังสือเรื่อง “ชีวิตหลังชีวิตนี้” ซึ่งนายแพทย์ชาวอเมริกันได้รวบรวมเอาเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับคนที่ได้ตายไปแล้วและฟื้นขึ้นมาใหม่ และคนเหล่านั้นเกือบจะทุกคนก็เล่าประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกัน นั่นก็คือ หลังจากที่พวกเขาได้ตายไปหรือพวกเขาได้ละทิ้งกายเนื้อไปแล้ว พวกเขารู้สึกและสัมผัสได้ถึงความสุขและความมีอิสรภาพที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาสามารถบินไปยังประเทศที่อยู่ห่างไกลโดยยานพาหนะบางอย่างซึ่งคล้ายๆ กับอุโมงค์ และก็ได้รับการต้อนรับโดยเหล่าเทพยดาซึ่งเต็มไปด้วยแสง ความรัก และความช่วยเหลือ

 

เมื่อเรามีประสบการณ์ที่เรียกว่า “การรู้แจ้ง” เราก็มีประสบการณ์คล้ายคลึงกันในบางอย่าง เหตุนี้เราจึงได้ยินว่า “ฉันตายทุกวัน” การรู้แจ้ง หมายถึง เราสามารถติดต่อกับระดับความถี่ที่สูงขึ้นของโลกในระดับที่สูงขึ้นไป ขณะนี้ในจักรวาลนี้เราไม่ใช่เป็นเพียงสรรพสัตว์ชนิดเดียวเท่านั้นและชีวิตของเราในโลกนี้ก็ไม่ใช่เป็นชีวิตเดียวเท่านั้นที่เราเคยมีชีวิตเกิดมา ดังนั้น ถ้าเราได้รับประสบการณ์ของการรู้แจ้งก็หมายความว่าในขณะนั้นเราสามารถติดต่อกับโลกในระดับที่สูงขึ้นไปและบางครั้งก็มีชีวิตใหม่กับประสบการณ์ที่รุ่งเรืองในอดีตของเราในโลกที่สง่างามรุ่งเรือง เราไม่ใช่เป็นมนุษย์เสมอไป บางครั้งเราก็เป็นพุทธะ เป็นเทวดา เป็นนักบุญ เป็นโพธิสัตว์ โพธิสัตว์แปลว่านักบุญในศัพท์ของชาวคริสต์ เพียงแต่เป็นคำศัพท์ที่ไม่ได้แปลจากภาษาสันสกฤต โพธิ แปลว่ารู้แจ้ง สัตวะแปลว่าสรรพสัตว์ เดี๋ยวนี้เราได้มีชีวิตอยู่หลายชาติในโลกที่แตกต่างกัน บางครั้งเรามีชีวิตอยู่ในโลกที่เจริญรุ่งเรืองและชาญฉลาดมาก แต่เมื่อเรามายังโลกนี้คนส่วนมากก็จะลืมอดีตของพวกเขาไป

 

ดังนั้นเมื่อเรารู้แจ้งแล้วบางครั้งเราก็จะสามารถจดจำอดีตเหล่านี้ได้ แล้วเราก็สามารถย้อนรอยกลับไปดูว่าเราเคยอยู่ที่ไหน เรามาจากที่ไหน และเราก็เริ่มที่จะตระหนักว่าเราเป็นผู้ที่สูงส่งเพียงใด มันคล้ายคลึงกับประสบการณ์การตายของคนบางคน เมื่อพวกเขาได้ผ่านสิ่งที่เรียกว่าประสบการณ์ของการตาย คนส่วนมากก็จะเห็นสิ่งที่สะท้อนเกี่ยวกับ ประสบการณ์ในชีวิตของพวกเขาทั้งหมด ซึ่งฉายออกมาให้ดูต่อหน้าต่อตาของพวกเขาอย่างกับดูภาพยนตร์ แต่ส่วนมากคนที่ตายไปแล้วเหล่านี้เพียงแต่สามารถมีประสบการณ์ของชีวิตนี้ที่แสดงให้เขาเห็นในโลกอื่นเท่านั้น แต่บุคคลผู้รู้แจ้งสามารถเห็นชีวิตย้อนหลังของเขาเป็นเวลาหลายพันหลายหมื่นปี และไม่เพียงแต่ประสบการณ์ในโลกนี้หรือในชีวิตนี้เท่านั้น ในหลายๆ โลกด้วย

 

ดังนั้นเมื่อได้ความรู้เช่นนี้ คนเราก็จะตระหนักว่าเขาไม่ใช่ปุถุชนคนธรรมดา แต่มีจิตสำนึกของพุทธะหรือพระคริสต์ นั่นคือวิธีการที่พระเยซูประกาศว่าพระองค์เป็นบุตรของพระเจ้า และพระพุทธเจ้าก็ประกาศว่าพระองค์เป็นผู้ตรัสรู้เป็นพุทธะ พุทธะแปลว่าพระคริสต์เหมือนกัน พระคริสต์หมายถึงระดับชั้นของจิตสำนึกแห่งพระเจ้า ดังนั้น พุทธะเป็นคำสันสกฤตสำหรับคำว่าพระคริสต์ พระคริสต์เป็นภาษาฮิบรูสำหรับคำว่าพุทธะ

ถ้าเราเข้าถึงระดับชั้นของความเข้าใจและปัญญานี้แล้ว เราก็จะตระหนักว่าเราคือพุทธะ เราคือพระคริสต์ ถ้าเรายังไม่ได้รับการรู้แจ้งสูงสุด เราก็จะสามารถมีประสบการณ์บางอย่างเท่านั้น เหมือนประสบการณ์ของการตาย เราสามารถไปยังโลกทิพย์หรือโลกที่สูงกว่าเล็กน้อยหลังจากที่เราจากโลกนี้ไป แต่ถ้าเรามีระดับการรู้แจ้งที่สูงขึ้นไปหรือได้บรรลุในระดับที่สูงขึ้นโดยการนั่งสมาธิและปฏิบัติทุกๆวัน เราก็จะสามารถเข้าถึงโลกในระดับที่สูงกว่าซึ่งแสดงถึงปัญญาที่สูงขึ้นและความรุ่งโรจน์โชติช่วงที่สูงมากขึ้น

 

พระเยซูตรัสว่า ในบ้านบิดาของข้าพเจ้ามีคฤหาสถ์หลายหลัง ใช่แล้ว นั่นคือสิ่งที่พระองค์หมายถึง ในคัมภีร์ไบเบิ้ลได้กล่าวไว้ว่าคนบางคนได้ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ชั้นที่ 3 ในคัมภีร์ไบเบิ้ลไม่ได้กล่าวว่ามีสวรรค์ทั้งหมดกี่ชั้น แต่ถ้ามีชั้นที่3 มันก็ต้องมีชั้นที่ 2 และชั้นที่ 4 ในทำนองเดียวกันในพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงกล่าวถึงดินแดนแห่งพุทธะมากมาย และดินแดนแห่งพุทธะแต่ละแห่งยังแบ่งออกเป็นระดับชั้นอีกมากมาย ตัวอย่างเช่นมีดินแดนของอมิตภพุทธะ ดินแดนนี้ยังแบ่งออกเป็นเก้าชั้นจากระดับต่ำสุดถึงระดับสูงสุด ผู้ที่มีคุณธรรมน้อยและบำเพ็ญมาน้อยก็จะอาศัยอยู่ในระดับชั้นที่ต่ำสุดเป็นเวลาหลายพันปี เขาจะอยู่ที่นั่นจนกระทั่งในที่สุดเขาได้รับการรู้แจ้งมากขึ้นโดยผ่านการเรียนรู้ทุกๆ วันกับพุทธะชั้นสูงกว่าหรือกับอาจารย์ผู้รู้แจ้ง แล้วเขาก็จะได้เลื่อนชั้นไปสู่ระดับที่สูงสุด

ฉันคิดว่ามันคล้ายคลึงกับโรงเรียนของเรา เหมือนกับโรงเรียนมัธยมเรามีหลายชั้น ในขณะนี้เมื่อเรามีประสบการณ์ของการรู้แจ้ง มันก็คล้ายกับเมื่อเราตายเราเพียงแต่ละทิ้งกายเนื้อชั่วคราวและเราก็กลับมาอีก มันเหมือนกับประสบการณ์หลังการตายในหนังสือของนายแพทย์ชาวอเมริกัน

จงเตรียมตัวสำหรับความตาย

สิ่งที่ทำให้ความตายนั้นยุ่งยากและเจ็บปวดมากคือการไม่มีประสบการณ์ของการตาย ถ้าหากเราได้เรียนรู้ถึงการตายทุกๆ วันแล้วมันก็จะสบายมาก คนส่วนมากเวลาที่พวกเขาตาย พวกเขากลัวมากว่าพวกเขาอาจจะสูญเสียโลกนี้ไป เพราะพวกเขาไม่รู้ว่ายังมีโลกอื่นที่ดีกว่า สวยงามกว่า น่ารื่นรมย์กว่า มีความสุขมากกว่าคอยพวกเขาอยู่ พวกเขายึดติดอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่เคยชินเหล่านี้ และยึดติดอยู่กับคนที่เขารัก นี่จึงทำให้เราต้องต่อสู้กันระหว่างกายทิพย์กับกายเนื้อ และนั่นจึงทำให้เกิดความเจ็บปวด ถ้าหากเรารู้ว่าการตายเป็นเพียงการเกิดขึ้นมาใหม่ แล้วเราก็จะไม่กลัว เราก็จะรอคอยมันเมื่อเวลามาถึง

ขณะนี้เราจะเตรียมตัวสำหรับวันที่สวยงามนั้นได้อย่างไร? คนเป็นจำนวนมากเตรียมการเกิด การแต่งงาน แต่ไม่ได้เตรียมตัวสำหรับความตาย อันที่จริงแล้วความตายเป็นวันที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มันควรจะเป็นวันที่สำคัญที่สุด ในการเกิดเราเพียงแต่มีกายเนื้อของเรา มีอิสรภาพที่จำกัดและมีขบวนการเจริญเติบโตที่ช้ามาก แต่ในการตายเราได้รับอิสรภาพที่กว้างขึ้น ได้กายทิพย์ที่สวยงามและเคลื่อนไหวสะดวกมากขึ้น ได้ปัญญาที่ยิ่งใหญ่ขึ้นและได้อยู่ในโลกที่สวยงามกว่า เพื่อการพักผ่อน การเรียนรู้ การปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นและเพื่อความเจริญก้าวหน้า

 

ดังนั้น ความตายจึงเป็นเหตุการณ์ที่มีประโยชน์มากในการเร่งวิวัฒนาการของเรา ทำให้เราขึ้นสู่ระดับปัญญาที่สูงขึ้นได้เร็วขึ้น แต่ในการที่จะได้รับสถานภาพเช่นนี้หลังความตาย เราควรจะต้องดูแลว่าประสบการณ์ที่เราได้เก็บรวบรวมระหว่างที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้เป็นประสบการณ์ที่น่ายินดี ที่มีคุณธรรมมากกว่า เพื่อว่าเวลาที่เราละจากกายเนื้อนี้ไปแล้ว เราจะไม่มีความเสียใจ ไม่มีความรู้สึกที่ไม่ดีและไม่ยึดติด ดังนั้นเราเพียงแต่ก้าวสูงขึ้นไปอย่างรวดเร็วมากและมีความสุขมาก เมื่อคนเราละจากกายเนื้อนี้ มีอุปสรรคอื่นๆ บางอย่างที่เพิ่มเข้ามาในความเจ็บปวดของเขา คือการร้องไห้และความเศร้าโศกเสียใจของคนรักที่อยู่เบื้องหลัง

คนส่วนมากจะร้องไห้เมื่อคนรักของเขาตายไปและเศร้าโศกอยู่เป็นเวลาหลายเดือน หลายปี สำหรับเราสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่สามารถจะเข้าใจได้เพราะว่าเราได้สูญเสียคนรัก เพื่อนที่ดี เพื่อนที่สนิทสนม และเราก็ไม่รู้ว่าเพื่อนคนนั้นได้ไปไหน ชีวิตของเขาหรือของเธอดีขึ้นไหมหลังจากละโลกนี้ไป มีใครดูแลเขาหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเราก็ทุกข์โศกและรู้สึกยึดติดกับดวงวิญญาณที่จากไป ความรู้สึกนี้จึงมีผลครอบงำต่อดวงวิญญาณที่จากไปและยับยั้งเขาในบางอย่าง ทำให้ความสุขของเขาลดน้อยลงไปและจำกัดอิสรภาพของเขาบางอย่างด้วย

 

ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดและทางที่ถูกต้องก็คืออย่าไปเศร้าโศกเสียใจเมื่อคนรักตายไป ฉันรู้ว่านี่เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก แต่มันเป็นวิธีการเสียสละและความรักที่สูงส่ง เราควรจะรู้สึกมีความสุขว่าดวงวิญญาณของเขาถูกปลดปล่อยจากขีดจำกัดทางร่างกาย จากบ้านที่เป็น “คุก” นี้ ดวงวิญญาณมีอิสระที่จะบินไปทุกหนทุกแห่งที่จะเรียนรู้ในสิ่งต่างๆ และทำในสิ่งที่เขารัก แต่เพราะว่าเราไม่สามารถมองเห็นหลังจากที่เขาตาย เราจึงไม่สามารถยินดีกับการตายของเพื่อนหรือญาติพี่น้อง

เราสามารถที่จะเรียนรู้ในการมองโลกหลังความตายด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ เราสามารถเรียนรู้ให้รู้ว่าจะตายอย่างไร เราสามารถเรียนรู้เพื่อมองดูชีวิตหลังความตายในดาวพระเคราะห์ดวงอื่นๆ เป็นจำนวนมาก ในมิติอื่นๆ เป็นจำนวนมาก และรู้สึกปลอดภัยและแน่ใจถึงความสุขของชีวิตหลังจากตายไปแล้ว และเราก็สามารถเห็นด้วยว่าคนที่เรารักได้ไปอยู่ที่ไหน และเราก็สามารถเลือกสถานที่ของเราที่จะไปหลังจากที่เราจากโลกนี้ไปแล้ว ด้วยวิธีนี้เราก็จะไม่กลัวความตายและเราจะไม่ร้องไห้ถ้ามีใครจากเราไป หรืออย่างน้อยถ้าเราร้องไห้ เราก็ไม่รู้สึกถึงภาระเช่นนั้น ความรู้สึกที่หนักหน่วงของการสูญเสียและเศร้าโศก เราอาจร้องไห้ในความสุขและความขอบคุณ

ชีวิตเราเป็นบวกมากขึ้นภายหลังการรู้แจ้ง

เมื่อเรามีประสบการณ์ที่เหนือโลก เราเรียกสิ่งนี้ว่าการรู้แจ้ง มีลำดับชั้นของการรู้แจ้งอยู่มากมาย และขณะที่ทำการประทับจิตกับอาจารย์ผู้มีความสามารถ เราจะได้รับประสบการณ์การรู้แจ้งบางส่วน เราสามารถที่จะมองเห็นโลกอื่นที่งดงามและมีประสบการณ์ถอดกายทิพย์ออกจากร่างและกลับมาสู่ร่างเดิมเหมือนกับเมื่อเราตายแล้วจริงๆ ต่อจากนั้นเราก็จะรู้ว่าการตายมีความสุขอย่างไร เราจะละทิ้งความยึดติดในโลกนี้ได้และเราจะไม่รู้สึกเศร้าโศกเสียใจและหมดสิ้นจากความทุกข์ยากต่างๆ บางคนพูดว่าหลังจากที่พวกเขากลับจากโลกอื่นมายังโลกนี้ เขารู้สึกว่าเขาไม่ชอบโลกนี้เลยเพราะว่าเขารู้จักโลกอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว แต่ก็น่าประหลาดที่พวกเขาต่างก็รักชีวิตของตน มันไม่ใช่ว่าพวกเขาจะห่อเหี่ยวใจหรือต้องการที่จะตายหรอกนะ มันไม่ใช่เช่นนั้นเพราะเขารู้ว่าชีวิตคือกระบวนการที่ต้องดำเนินต่อไป และรู้ว่าเขาจะไม่เคยตายเลย สิ่งนี้เองที่ทำให้คนเราเป็นบวกมากขึ้น ได้รับการช่วยเหลือมากขึ้นที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์เพียบพร้อมยิ่งขึ้น มีชีวิตที่เป็นประโยชน์มากขึ้น มีชีวิตที่เป็นผู้นำมากขึ้นต่อสังคมและตัวเขาเอง

 

ด้วยเหตุนี้เราจึงได้อ่านพบในคัมภีร์หลายๆ เล่มว่านักบุญทั้งหลายได้ทุ่มเททำงานอย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษยชาติ ท่านทั้งหลายได้อุทิศชีวิต แรงกายและภูมิปัญญา เพื่อรับใช้มวลมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านจิตวิญญาณ จงย้อนกลับไปดูชีวิตของพระเยซูซิ เราไม่จำเป็นต้องกล่าวว่าพระองค์เป็นบุตรที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าหรอก เพียงแค่เห็นชีวิตของพระองค์ก็จะรู้ว่าพระองค์เป็นนักบุญโดยแท้ เรารู้แล้วว่าพระองค์ออกเดินทางไปยังที่ต่างๆ ด้วยความอดทนต่อความยากลำบากและความยากจน เพื่อที่จะสอนสัจธรรม เพื่อที่จะเตือนให้ผู้คนระลึกถึงพระเจ้า พระองค์ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นหรอก เธอจำได้ไหม พระองค์ได้เสกขนมปังเป็นจำนวนมากเพื่อเลี้ยงคนประมาณห้าพันคน และเธอจำได้ไหมพระองค์เสกน้ำให้เป็นเหล้าองุ่น บุคคลเช่นนี้ไม่จำเป็นจะต้องอดทนต่อความยากจน แต่พระองค์ได้เลือกทำเช่นนั้น เพียงเพื่อรับใช้มวลมนุษย์ เพียงเพื่อปลุกมนุษย์ให้พบกับสัจธรรมซึ่งเป็นหลักการของพระเจ้า เพื่อช่วยเหลือเขาทั้งหลายให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานและอวิชชาทั้งปวง

 

ตอนนี้หันกลับมาดูชีวิตของพระพุทธเจ้าบ้าง ไม่จำเป็นต้องพูดว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นคาทอลิก ไม่ได้เป็นคริสเตียน พระองค์เป็นคริสเตียนได้พอๆ กับพระเยซูนั่นแหละ พระเยซูก็เป็นพุทธศาสนิกชนได้เหมือนกับพระพุทธเจ้าเช่นกัน แล้วพระพุทธเจ้าทำอะไรบ้างล่ะ จริงๆ แล้วก็เหมือนกับพระเยซู เมื่อเราอ่านในพระสูตร เราก็จะทราบว่าพระพุทธเจ้ามีพลังมหาศาลและมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่มาก พระองค์มียศถาบรรดาศักดิ์ที่สูงส่ง พระองค์เป็นถึงพระมหากษัตริย์ แต่พระองค์ก็สละราชสมบัติทั้งปวง และต้องอดทนต่อความทุกข์ยากลำบากเดินทางไปยังที่ต่างๆ ต้องอ่อนน้อมถ่อมตนในการขออาหารเพื่อที่จะได้สั่งสอนสัจธรรม ความจริงพระองค์ไม่ได้ต้องการอาหารหรอก แต่พระองค์ต้องทำเช่นนั้นเพื่อแสดงความอ่อนน้อม ความกรุณา ดังนั้นใครก็ตามที่ให้อาหารแก่พระองค์ ถึงแม้ว่าจะเพียงเล็กน้อยเขาก็จะได้พรกลับไป ได้เรียนรู้ถึงการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ เช่นเดียวกับพระเยซู พระองค์ไม่ได้ต้องการขออาหารหรือไม่ต้องการให้ใครมาให้อะไรแก่พระองค์ แต่พระองค์ต้องทำเช่นนั้น เพียงเพื่อให้ผู้คนได้พระพรและมีภูมิปัญญามากยิ่งขึ้น

 

อะไรที่ทำให้นักบุญเหล่านี้ไม่เห็นแก่ตัว นั่นก็คือพวกท่านได้รับความรู้เกี่ยวกับชีวิตที่ดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องตลอดไป พวกท่านได้รับความสุขจากการรู้แจ้ง พวกท่านต้องการที่จะแบ่งปันความสุขเหล่านี้ให้แก่ผู้อื่นด้วย เพราะพวกท่านรู้ว่ามันทุกข์ทรมานอย่างไรที่ยังมีอวิชชา ความผิดพลาดต่างๆ และอาชญากรรมต่างๆ ล้วนมาจากอวิชชาทั้งสิ้น จริงๆ แล้วไม่มีอาชญากรใดๆ ในโลก อาชญากรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คืออวิชชา ถ้าเรารู้ความลับของชีวิต รู้จักคุณค่าของชีวิต ถ้าเรารู้แจ้ง เราคงไม่ทำความผิดพลาดใดๆ ดังนั้นทุกคนที่ได้ทำความผิดพลาดกระทำอาชญากรรมต่างๆ พวกเขาไม่ควรถูกตำหนิ เป็นเพราะอวิชชาของพวกเขาต่างหาก

ดังนั้น นักบุญทั้งหลายแทนที่จะกล่าวโทษผู้คน ท่านจะพร่ำสอนวิธีให้มนุษย์หลุดพ้นจากอวิชชา วิธีการรู้จักตัวเอง วิธีการนำปัญญาอันยิ่งใหญ่ไปใช้ ฉันหมายถึงการใช้ปัญญาให้เป็นประโยชน์ เพราะว่าทุกคนจะมีปัญญาซ่อนเร้นอยู่ภายในตัวเราเอง สิ่งนี้เราเรียกว่า อาณาจักรของพระเจ้า ความรุ่งโรจน์ การรับรู้หรือความรักนั่นเอง เมื่อเราได้พบกับอาณาจักรของพระเจ้า ไม่ว่าจะโดยความพยายามของเราเอง หรือโดยการเรียนรู้จากคนที่เขารู้แล้ว เราจะเริ่มรู้สึกถึงความสมปรารถนา เราจะเริ่มรู้สึกถึงค่าของความรักและมีท่าทีในทางบวกต่อชีวิต ด้วยเหตุนี้นักบุญทุกท่านในอดีตจึงทำงานหนักมากเพื่อที่จะทำให้ผู้คนได้รู้แจ้ง ถึงแม้ว่าจะกระทำเช่นนี้ ท่านก็ยังต้องอดทนต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา ความไม่เข้าใจและความยากลำบาก บางครั้งแม้กระทั่งต้องเสี่ยงชีวิตของท่าน

 

ในกรณีของพระเยซูและท่านโสเครติสและพระพุทธเจ้า มีผู้คนมากมายที่ต้องการฆ่าและทำลายชื่อเสียงของพวกท่านเหล่านี้ แต่ถึงจะลำบากแค่ไหน นักบุญทั้งหลายมักจะอดทนเพื่อประโยชน์ของมนุษย์ นักบุญจึงเป็นผู้สร้างสันติสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นนักการเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นผู้ซึ่งนำสันติสุขมาสู่โลก เป็นกษัตริย์ที่ปราศจากบัลลังก์ เพราะท่านไม่ต้องการอะไรในโลกนี้เลย พระเยซูกล่าวว่าอาณาจักรของพระองค์อยู่ในสวรรค์ พระพุทธเจ้าก็ได้ละทิ้งอาณาจักรแห่งโลกนี้แล้ว ทั้งสองพระองค์มีอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่กว่าอยู่ภายในซึ่งเราเรียกว่าอาณาจักรของพระเจ้า จงค้นหาอาณาจักรของพระเจ้าก่อนอื่นและสิ่งอื่นๆ ทั้งปวงก็จะมาสู่เธอ มันเป็นความจริงๆ

 

หลังจากที่เราได้เข้าถึงอาณาจักรของพระเจ้าแล้ว เราจะไม่ปรารถนาอาณาจักรใดๆในโลกนี้อีกเลย โปรดจงจำไว้ว่าขณะที่พระเยซูนั่งสมาธิอยู่ท่ามกลางทะเลทราย และพญามารได้มา.... ความชั่วร้าย ซาตานมาผจญกับท่าน และกล่าวว่าถ้าท่านยอมก้มศีรษะให้ฉันๆ ก็จะยกไตรภูมินี้ให้แก่ท่าน พระเยซูกล่าวว่าไปอยู่ข้างหลังฉันซะ หมายความว่าไปให้พ้น พระองค์ไม่ต้องการสิ่งนี้หรอก ไม่ต้องการแม้แต่ 3 โลกไม่ใช่โลกเดียวด้วย ไตรภูมินี้รวมถึงสวรรค์ชั้นที่ 3 ด้วย แต่พระเยซูไม่ต้องการทั้งนั้น ขณะที่พระพุทธเจ้านั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิ์เป็นเวลา 49 วัน มีสิ่งที่เรียกว่าพลังลบพยายามที่จะชักนำพระองค์ไปในทางที่ไม่ดีหลายๆ อย่าง เสนอสิ่งต่างๆ ให้พระองค์แต่พระองค์ก็ไม่ต้องการ ดังนั้นสำหรับดวงวิญญาณผู้รู้แจ้งเหล่านั้น ถึงแม้ว่าผู้คนจะยกย่องพระองค์เช่นกษัตริย์ มันก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าเป็นกษัตริย์แห่งโลกนี้ แต่ผู้คนในโลกนี้ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจในการกระทำเช่นนี้ เนื่องจากอวิชชาและความอิจฉาริษยาซึ่งมีอยู่ในสมองของปุถุชน อยู่ในพฤติกรรมของมนุษย์

ขณะที่่พระเยซูยังมีชีวิตอยู่นักการเมืองทั้งหลายในสมัยนั้นต่างอิจฉาริษยาพระองค์ และเพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงฆ่าพระองค์เพราะว่าพวกเขาไม่เข้าใจพระองค์ ถ้าพวกเขาทราบว่าจริงๆ แล้วพระองค์ไม่ได้สนใจอะไรในโลกนี้อีกแล้ว พวกเขาก็จะไม่เกรงกลัวในอำนาจของพระองค์

1 - 2