ความลี้ลับของโลกเหนือโลก

 
ปราศรัยโดย ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ วันที่ 26 มิถุนายน 2535
องค์การสหประชาชาติ, นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)
 
 

ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่องค์การสหประชาชาติในวันนี้ ขอเชิญชวนทุกท่านอธิษฐานร่วมกันสักครู่หนึ่งตามความเชื่อถือของแต่ละท่าน ว่าพวกเรารู้สึกขอบคุณในสิ่งที่เรามีอยู่ สิ่งที่เราได้รับ และเราปรารถนา และหวังว่าผู้ที่ยังมีไม่เพียงพอ จะได้รับเหมือนที่เราได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ลี้ภัยในโลกนี้ เหยื่อสงคราม ทหาร ผู้นำรัฐบาล และบรรดาผู้นำขององค์การสหประชาชาติด้วย เพื่อให้พวกเขาประสบผลสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนาและมีชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เราเชื่อว่าสิ่งที่เราอธิษฐานนั้นจะได้รับการตอบสนองเพราะมีกล่าวไว้เช่นนั้นในพระคัมภีร์ไบเบิล

ขอบคุณ! นานแล้วที่ฉันไม่ได้มาที่นี่ มีใครเคยมาที่นี่บ้างหรือเปล่า ฉันหมายถึงมีใครเคยฟังการบรรยายของฉันมาก่อนบ้างหรือเปล่า? เมื่อไหร่? โอ จริงหรือ? มีตั้งหลายคน ขอบคุณทุกท่าน คงทราบแล้วว่าหัวข้อการบรรยายของเราในวันนี้คือ “เหนือโลกนี้” เพราะฉันไม่ค่อยอยากจะพูดให้พวกท่านฟังเกี่ยวกับโลกนี้อีกแล้ว พวกท่านก็รู้กันหมดทุกคนแล้ว จริงไหม? ท่านก็รู้แล้วว่าโลกนี้มีองค์การสหประชาชาติ เรามีอเมริกา มีนิวยอร์ก (บิ๊ก แอปเปิ้ล) แต่เหนือโลกนี้ขึ้นไปเรายังมีสิ่งอื่นๆ อีก ฉันคิดว่าพวกท่านทุกคนที่มาคงจะสนใจอยากรู้เรื่องพวกนี้ มันไม่ใช่เรื่องแบบที่สตีเฟนเพิ่งจะพูดไป ซึ่งเกี่ยวกับสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆหรืออะไรที่เลอเลิศซึ่งท่านคงไม่อยากจะเชื่อ แต่เป็นเรื่องที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์มาก เป็นเหตุเป็นผลมากและมีความสำคัญมาก

 

ขอบคุณ! นานแล้วที่ฉันไม่ได้มาที่นี่ มีใครเคยมาที่นี่บ้างหรือเปล่า ฉันหมายถึงมีใครเคยฟังการบรรยายของฉันมาก่อนบ้างหรือเปล่า? เมื่อไหร่? โอ จริงหรือ? มีตั้งหลายคน ขอบคุณทุกท่าน คงทราบแล้วว่าหัวข้อการบรรยายของเราในวันนี้คือ “เหนือโลกนี้” เพราะฉันไม่ค่อยอยากจะพูดให้พวกท่านฟังเกี่ยวกับโลกนี้อีกแล้ว พวกท่านก็รู้กันหมดทุกคนแล้ว จริงไหม? ท่านก็รู้แล้วว่าโลกนี้มีองค์การสหประชาชาติ เรามีอเมริกา, มีนิวยอร์ก (บิ๊ก แอปเปิ้ล) แต่เหนือโลกนี้ขึ้นไปเรายังมีสิ่งอื่นๆอีก ฉันคิดว่าพวกท่านทุกคนที่มาคงจะสนใจอยากรู้เรื่องพวกนี้ มันไม่ใช่เรื่องแบบที่สตีเฟนเพิ่งจะพูดไป ซึ่งเกี่ยวกับสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆหรืออะไรที่เลอเลิศ ซึ่งท่านคงไม่อยากจะเชื่อ แต่เป็น เรื่องที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์มาก เป็นเหตุเป็นผลมาก และมีความสำคัญมาก

เราทุกคนเคยได้ยินจากคัมภีร์หรือหนังสือในศาสนาต่างๆ ซึ่งกล่าวไว้ว่ามีสวรรค์เจ็ดชั้น มีระดับจิตต่างๆ มีอาณาจักรของพระเจ้าภายใน มีธรรมชาติแห่งพุทธะ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ได้รับคำสัญญาว่าจะได้จากเหนือโลก แต่มีคนไม่มากนักที่สามารถไปถึงสิ่งที่ได้สัญญาไว้ในคัมภีร์เหล่านี้ มีไม่มากเลย ฉันไม่ได้บอกว่าไม่มี แต่บอกว่ามีไม่มากเลย เมื่อเปรียบเทียบกับประชากรทั้งโลก คนที่สามารถเข้าถึงอาณาจักรของพระเจ้าภายใน หรือที่เราเรียกกันว่า “สิ่งที่อยู่เหนือโลกนี้” มีอยู่น้อยมาก ถ้าท่านอยู่ในอเมริกาบางทีคงจะมีโอกาสได้อ่านหนังสือมากมายซึ่งบรรยายเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่เหนือโลกของเรา และภาพยนตร์บางเรื่องซึ่งคนอเมริกันสร้างก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องนิยายเพ้อฝันทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีภาพยนตร์ที่คนญี่ปุ่นสร้างบางเรื่อง ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเรื่องนิยายทั้งหมดเหมือนกัน เพราะคนเหล่านี้อาจจะได้อ่านหนังสือบางเล่ม ซึ่งเขียนโดยผู้ที่เคยอยู่เหนือโลกนี้มาแล้ว หรืออาจจะเคยได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้ามาบ้างแล้ว

เพราะฉะนั้นในอาณาจักรของพระเจ้า.....มีอะไรอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้านั้น? ทำไมเราจึงต้องมาสนใจเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า ในเมื่อเรามีงานต้องทำมากพออยู่แล้วในโลก เรามีการงานอาชีพ มีบ้านที่มั่นคงปลอดภัย มีความรักความอบอุ่นมากมายพอแล้ว ฯลฯ? ถ้าจะพูดให้ถูกจริงๆ ก็เพราะว่าเรามีสิ่งเหล่านี้เรียบร้อยแล้วนั่นแหละ เราจึงควรคิดถึงอาณาจักรของพระเจ้า พอพูดถึงอาณาจักรของพระเจ้าก็ฟังดูจะเป็นเรื่องทางศาสนามากไป จริงๆ แล้วสิ่งนี้ก็เป็นระดับชั้นของจิตที่สูงกว่าธรรมดานั่นเอง คนในสมัยก่อนเรียกว่าสวรรค์ แต่ชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์เราอาจจะเรียกว่ามันเป็นระดับของความรู้ที่สูงกว่า ระดับของปัญญาที่สูงกว่า และเราสามารถไปถึงสิ่งนี้ได้ถ้าเรารู้วิธี

ในอเมริการะยะหลังๆ นี้ เราคงเคยได้ยินเกี่ยวกับประดิษฐ์กรรมใหม่ล่าสุด คือคนสามารถใช้เครื่องมือในการทำให้เข้าสู่สมาธิได้ มีใครเคยใช้เครื่องนี้บ้างหรือเปล่า? ไม่เคยหรือ? ไม่มีเลยหรือ? มันมีขายในอเมริกานี่แหละ ราคาสี่ร้อยถึงเจ็ดร้อยขึ้นอยู่กับสมรรถนะการใช้งาน เครื่องนี้เหมาะสำหรับคนขี้เกียจ ซึ่งไม่อยากจะนั่งสมาธิแต่ต้องการจะอยู่ในสมาธิถ้าไม่มีใครรู้เรื่องนี้ฉันจะเล่าให้ฟังสั้นๆ

เขาบอกว่าเครื่องมือชนิดนี้ สามารถทำให้จิตใจอยู่ในสภาพที่ผ่อนคลาย แล้วเราก็จะมีไอคิวระดับสูง จะทำให้เรามีความรู้สูงขึ้น มีปัญญาสูงขึ้น และก็รู้สึกสบายมาก ฯลฯ เครื่องมือนี้จะใช้ดนตรีที่คัดเลือกมา เป็นเสียงดนตรีภายนอก เพราะฉะนั้น จึงต้องมีหูฟัง แล้วก็จะมีกระแสไฟฟ้าบางอย่างมา กระตุ้น ซึ่งอาจจะทำให้เรามองเห็นแสงวาบๆ อะไรบ้าง จึงต้องมีที่ปิดตา มีเพียงแค่ที่ปิดหูปิดตาก็มีสมาธิได้แล้ว จัดว่าเป็นเครื่องมือที่ดีมาก เพียงแค่สี่ร้อยดอลล่าร์เท่านั้น ถูกมาก แต่สมาธิตามแบบของเรายิ่งถูกใหญ่ ไม่ต้องเสียเงินเลย และคงอยู่ไปตลอด ไม่ต้องชาร์จแบตเตอรี่ หรือเสียบปลั๊กไฟ เข้าๆ ออกๆ ไม่ต้องกลัวว่าเครื่องมือจะเสียต้องนำไปซ่อม

ขนาดแสงและเสียงแบบเทียมๆ ที่สร้างขึ้นมานี้ยังสามารถทำให้เกิดความผ่อนคลาย และเกิดปัญญาได้มากขนาดนี้ เขาบอกว่าทำให้เกิดได้นะ ฉันอ่านมาจากหนังสือพิมพ์ว่า มันทำอะไรได้บ้าง แต่ฉันยังไม่เคยลองใช้ด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นที่นิยมกันมาก ขายดีมาก ฉันได้ยินว่าอย่างนี้ ขนาดของเทียมๆ ยังสามารถทำให้เราอยู่ในอารมณ์ผ่อนคลาย เพิ่มไอคิวของเราได้ขนาดนี้ ลองนึกดูซิว่าของจริงจะสามารถช่วยเราให้มีปัญญามากขนาดไหน? ของจริงนี้อยู่เหนือโลก แต่ทุกคนก็สามารถเข้าถึงได้ ถ้าเราต้องการจะสัมผัสกับมันจริงๆ มันเป็นดนตรีสวรรค์ภายในและเสียงสวรรค์ภายใน และขึ้นอยู่กับความเข้มของดนตรีนี้... ของแสงภายในหรือเสียงภายในนี้ เราก็สามารถผลักดันตัวเราให้ออกไปอยู่เหนือโลก และเข้าสู่ระดับของความเข้าใจที่ลึกซึ้งกว่านี้

ฉันคิดว่ามันก็เหมือนกับกฎทางฟิสิกส์ การที่จะส่งจรวดขึ้นไปให้พ้นจากแรงโน้มถ่วงของโลกได้ ก็ต้องใช้พลังผลักดันอย่างสูง และเมื่อมันพุ่งออกไปด้วยความเร็วสูงนั้น จะเกิดประกายไฟกระจายออกมา เพราะฉะนั้น ฉันคิดว่าเมื่อเราพุ่งตัวขึ้นไปเหนือโลกอย่างนั้นเราก็....จะพูดอย่างไรดี? โอ ฉันพูดภาษาจีนมากเกินไปจนลืมภาษาอังกฤษแล้ว เราก็จะสามารถ....เปล่งประกาย ใช่ เปล่งแสงออกมาด้วย และสามารถได้ยินเสียงด้วย เสียงนี้เป็นพลังสั่นสะเทือนชนิดหนึ่ง ซึ่งดันเราให้ขึ้นไปสู่ระดับชั้นที่สูงขึ้น แต่มันทำงานได้โดยไม่มีเสียงอึกทึกครึกโครมอะไร ไม่ยากเย็นอะไร ไม่ต้องเสียเงิน และไม่มีอะไรอึดอัดน่ารำคาญ นี่แหละคือวิธีการที่จะขึ้นไปสู่ระดับที่อยู่เหนือพ้นจากโลก

เหนือโลกขึ้นไป มีอะไรที่ดีกว่าโลกของเราบ้าง? มันมีทุกสิ่งที่เราจะสามารถจินตนาการได้ รวมทั้งสิ่งที่ไม่สามารถจะจินตนาการได้เลย เมื่อเรามีประสบการณ์แล้วเราก็จะรู้เอง ไม่มีใครจะสามารถอธิบายให้เราฟังได้จริงๆ แต่เราจะต้องยืนหยัดอยู่ในสภาพนั้น และเราต้องมีความจริงใจจริงๆ มิฉะนั้นแล้วก็ไม่มีใครมาทำแทนตัวเราได้ ก็เหมือนกับที่ไม่มีใครสามารถมาทำงานแทนที่พวกเราในสำนักงานขององค์การสหประชาชาตินี้ แล้วเราก็ยังได้รับเงินเดือนอยู่ ไม่มีใครจะมาช่วยกินแทนเราแล้วเราจะอิ่มได้ เพราะฉะนั้น วิธีการที่เราจะรู้ก็คือต้องมีประสบการณ์เอง เราอาจจะฟังคนอื่นเล่าประสบการณ์ให้เราฟังก็ได้ แต่เราก็คงไม่ได้ประสบการณ์อะไรมากด้วยวิธีแบบนั้น อาจจะมีประสบการณ์สักครั้งหนึ่งหรือสองสามครั้ง หรือมีได้ในบางวัน ขึ้นอยู่กับพลังของบุคคลคนนั้นซึ่งเคยได้รับประสบการณ์โดยตรงจากพระเจ้า ในกรณีแบบนี้เราอาจจะได้เห็นแสงบ้าง หรือได้ยินเสียงบางชนิด ซึ่งเป็นไปเองตามธรรมชาติโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม แต่ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะอยู่ได้ไม่นาน เพราะฉะนั้นเราจึงจำเป็นต้องมีประสบการณ์ด้วยตนเอง และต้องทำด้วยตัวของเราเอง

เหนือโลกของเรา ยังมีโลกอื่นๆอีกมากมาย ตัวอย่างเช่น ที่อยู่สูงกว่าเราขึ้นไปหน่อยซึ่งเรียกว่า โลกทิพย์ (Astral world) ตามศัพท์ของทางตะวันตก ในโลกทิพย์นี้ยังมีระดับชั้นย่อยๆ แตกต่างกันอีกมากกว่าร้อยระดับ แต่ละระดับย่อยนี้ก็เป็นโลกของมันเอง ซึ่งเป็นตัวแทนของระดับความเข้าใจของเรา ก็เหมือนกับเราเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัย แต่ละชั้นปีที่เราเรียนผ่านไปก็เป็นตัวแทน แสดงถึงความรู้ความเข้าใจของเราที่เพิ่มพูนมากขึ้นๆ เกี่ยวกับเรื่องต่างๆที่สอนกันอยู่ในมหาวิทยาลัย แล้วเราก็ค่อยๆ เรียนสูงขึ้นๆ จนจบการศึกษา ในโลกทิพย์นี้ เราจะพบสิ่งมหัศจรรย์รูปแบบต่างๆ มากมาย และตัวเราเองก็อาจจะถูกยั่วยวนให้หลงใหลในเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ เราอาจจะมีอิทธิปาฏิหาริย์เองก็ได้ เราอาจจะรักษาคนเจ็บป่วยได้ บางครั้งอาจจะมองเห็นบางสิ่งบางอย่างที่คนอื่นมองไม่เห็น เราจะมีพลังอิทธิปาฏิหาริย์อยู่อย่างน้อยหกอย่าง สามารถเห็นมิติอีกมิติหนึ่งที่นอกเหนือไปจากธรรมดา อาจจะได้ยินเสียงจากระยะไกลโพ้น โดยที่ระยะทางใกล้ไกลก็ไม่แตกต่างอะไรสำหรับเรา นี่แหละที่เรียกว่า หูทิพย์ ตาทิพย์ แล้วเรายังสามารถหยั่งรู้ความคิดของผู้อื่นได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ บางครั้งก็สามารถเห็นได้ ฯลฯ นี่เป็นพลังซึ่งบางครั้งเราจะได้รับเมื่อเราไปถึงระดับชั้นที่หนึ่งแห่งอาณาจักรของพระเจ้า

ภายในระดับชั้นแรกนี้ ฉันก็บอกแล้วว่ามีระดับชั้นย่อยๆแตกต่างกันจำนวนมากมายที่เราสามารถจะได้รู้ได้เห็น ซึ่งไม่สามารถจะบรรยายออกมาเป็นภาษาได้ และเมื่อเราไปถึงที่นั่น เช่น หลังจากรับการประทับจิตแล้วเรานั่งสมาธิ หากระดับของเราอยู่ที่ชั้นที่หนึ่งนี้ เราก็จะมีความสามารถเพิ่มมากขึ้นหลายอย่าง สามารถพัฒนาความเก่งกาจด้านหนังสือหนังหา ซึ่งเราไม่เคยมีมาก่อน จะรู้หลายสิ่งหลายอย่างซึ่งคนอื่นๆ ไม่รู้ จะได้รับสิ่งหลายอย่างคล้ายสวรรค์บันดาล บางทีอาจจะเป็นเรื่องเงินทองหรืออาจจะเป็นอาชีพการงาน และอะไรอย่างอื่นมากมาย อาจจะเริ่มเขียนโคลงกลอนได้ วาดภาพได้ ทำบางสิ่งบางอย่างซึ่งเราไม่เคยสามารถทำได้มาก่อน และไม่คาดคิดว่าตัวเองจะทำได้นี่คือระดับแรก เราจะสามารถเขียนบทกวีและเขียนหนังสือได้ไพเราะเพราะพริ้ง เราอาจจะไม่ใช่นักเขียนมืออาชีพมาก่อน แต่ตอนนี้เราเขียนได้ เรื่องต่างๆเหล่านี้เป็นเพียงประโยชน์ทางด้านวัตถุซึ่งเราจะได้รับเมื่อเราอยู่ในระดับชั้นแรกนี้ จริงๆแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นของขวัญจากพระเจ้า สิ่งเหล่านี้อยู่ในสวรรค์ในตัวเรา เพราะเราได้ปลุกมันให้มีชีวิตขึ้นมา และใช้มันให้เป็นประโยชน์ นี่คือข้อมูลเกี่ยวกับระดับชั้นที่หนึ่ง โอเคไหม? อยากจะฟังต่ออีกไหม? อยากหรือ เอาละ เคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาบ้างหรือเปล่า? เคยหรือ! ใครเล่าให้ฟังล่ะ? งั้นหรือ เขาเล่าอะไรอย่างอื่นอีกบ้างไหม?

ทีนี้เราจะไประดับชั้นที่สูงขึ้น ซึ่งเราจะได้เห็นได้รับอะไรอย่างอื่นอีกมาก ฉันคงไม่สามารถบอกได้หมดหรอก เพราะเวลาจำกัด และก็ไม่จำเป็นต้องไปฟังเรื่องสวยๆ งามๆ เหล่านี้ทั้งหมด เรื่องขนมเค้กหรือลูกกวาด แล้วก็ไม่เคยได้ลองกินจริงๆ เพราะฉะนั้น ฉันเพียงแต่ทำให้เกิดความอยากขึ้นมานิดหน่อย ถ้าหากเธอต้องการกินจริงๆ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เราจะให้อาหารจริงๆ ทีหลัง ใช่แล้ว! ถ้ามีใครอยากจะกิน

ถ้าเราขึ้นไปสูงกว่านี้เล็กน้อย ไปถึงระดับชั้นที่สอง เราเรียก “ชั้นที่สอง” ก็เพื่อให้เข้าใจง่ายๆเท่านั้น ในชั้นที่สองเราจะมีความสามารถหลายอย่างมากกว่าชั้นแรก รวมทั้งเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ด้วย แต่ความสามารถที่เด่นชัดที่สุดซึ่งเราจะได้ในระดับชั้นที่สองนี้ก็คือ การพูดได้คล่องแคล่ว มีคารมคมคาย สามารถอภิปรายโต้แย้งได้เก่ง ไม่มีใครจะเอาชนะบุคคลซึ่งอยู่ในระดับชั้นที่สองนี้ได้ เพราะเขามีพลังสูงมากทางด้านการพูดจา และสติปัญญาของเขาจะอยู่ในระดับสูงที่สุดที่ตัวเขาจะพึงมีได้

คนส่วนมากที่มีระดับสติปัญญาธรรมดาๆ มีไอคิวธรรมดา จะไปเปรียบเทียบกับบุคคลนี้ไม่ได้เลย เพราะไอคิวของเขาเปิดออกสู่ระดับชั้นที่สูงมาก ไม่เฉพาะแต่สมองของกายเนื้อนี้เท่านั้นที่ได้รับการพัฒนามากขึ้น มันเป็นพลังมหัศจรรย์ เป็นพลังแห่งสวรรค์ เป็นปัญญาที่อยู่ภายในตัวเรา ซึ่งเริ่มเปิดออกมาในตอนนี้ ในอินเดีย เขาจะเรียกระดับชั้นนี้ว่า “โพธิ” ซึ่งหมายถึงระดับของสติปัญญา เมื่อใครได้รับชั้นโพธิแล้ว ก็จะกลายเป็นพุทธะท่านหนึ่ง คำว่า “พุทธะ” ก็มาจากคำว่า “โพธิ” เพราะฉะนั้น พุทธะก็จะเป็นอย่างที่ว่านี้แหละ ยังไม่จบนะ ฉันไม่ได้มาแนะนำให้รู้จักเพียงแค่พุทธะเท่านั้น ยังมีมากกว่านี้อีก ดังนั้นคนส่วนใหญ่จะเรียกบุคคลที่รู้แจ้งว่า พุทธะ แต่ถ้าคนๆนั้นยังไม่ล่วงรู้ถึงระดับชั้นที่สูงกว่าชั้นที่สองก็จะรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง และอาจจะคิดว่าเขาคือ พุทธะที่มีชีวิต ลูกศิษย์ของเขาก็คงภูมิใจมากที่ได้เรียกเขาว่าเป็นพุทธะ แต่จริงๆแล้วถ้าเขาเพียงแต่บรรลุถึงระดับชั้นที่สองซึ่งสามารถจะมองเห็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ของผู้อื่นที่เขาอยากจะรู้ได้และมีคารมคมคายสูงสุด แบบนั้นก็ยังไม่ใช่ที่สุดแห่งอาณาจักรของพระเจ้า

ไม่ว่าใคร ก็ไม่ควรที่จะภูมิใจในความสามารถล่วงรู้อดีต ปัจจุบัน และอนาคต เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นเพียงการบันทึกที่เรียกว่า อะกาชิก (Akashic) ตามคำศัพท์ของทางตะวันตก ใครที่ฝึกโยคะหรือฝึกสมาธิบางอย่างก็จะเข้าใจการบันทึกแบบอะกาชิก ซึ่งก็เป็นเหมือนห้องสมุดที่อยู่ถัดไปในที่ทำการขององค์การสหประชาชาตินี้ ซึ่งมีภาษาต่างๆมากมาย ทั้งอาหรับ, รัสเซีย, จีน, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมัน ทุกอย่างอยู่ในห้องสมุดถัดไปนี่เอง มีทุกภาษา ถ้าใครสามารถอ่านภาษาเหล่านี้ได้หมด ก็จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในประเทศนั้นๆ เข้าใจไหม? ในทำนองเดียวกัน ผู้ที่ไปถึงระดับชั้นที่สองก็จะสามารถเข้าใจ และรู้ถึงจิตใจของผู้อื่นอย่างแจ่มแจ้งเหมือนกับที่เรารู้จักตัวเอง

ยังมีอะไรอีกมากมายที่เราจะมีได้ในระดับชั้นที่สองนี้ แต่เมื่อใครขึ้นมาถึงระดับนี้ก็รู้สึกว่าเลอเลิศแล้ว เป็นพุทธะที่มีชีวิตแล้ว เพราะได้เปิดความเป็น “โพธิ”, เปิดปัญญาแล้ว และจะรู้อะไรๆ อีกมากมายจนไม่สามารถจะพูดได้หมด ความมหัศจรรย์ทั้งหลายจะเกิดขึ้นกับเราไม่ว่าเราจะต้องการสิ่งนั้นหรือไม่ เพราะสติปัญญาของเราได้เปิดออกแล้ว จึงรู้วิธีติดต่อกับแหล่งที่สูงขึ้นในการรักษาโรค ในการจัดการกับชีวิตของเราให้ราบรื่นขึ้นและสติปัญญาของเราหรือ “โพธิ” ได้เปิดออกจนสามารถได้รับข้อมูลทั้งหมดที่จำเป็น ทั้งจากอดีตและปัจจุบัน เพื่อที่จะนำมาใช้จัดการหรือแก้ไขชดเชยบางสิ่งบางอย่างที่เราเคยทำผิดพลาดไว้ในอดีต เข้าใจไหม? เมื่อแก้ไขข้อผิดพลาดแล้วก็ทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น

ตัวอย่างเช่น ถ้าเราไม่เคยรู้เลยว่า เราไปทำให้เพื่อนบ้านของเราขุ่นเคืองใจ ด้วยการทำอะไรบางอย่างโดยมิได้จงใจ พอถึงตอนนี้เรารู้แล้ว มันก็เป็นเรื่องง่ายมาก! ถ้าเราไม่รู้มาก่อน และเพื่อนบ้านก็รู้สึกไม่ดีต่อเราอยู่เงียบๆ และพยายามจะหาทางทำอะไรข้างหลังเราในบางครั้ง เพื่อทำร้ายเรา ทั้งนี้เพราะความเข้าใจผิด หรือเพราะเราไปทำอะไรที่ไม่ดีต่อเพื่อนบ้านไว้ แต่ตอนนี้เรารู้แล้ว เรารู้ว่าทำไมจึงเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น มันก็กลายเป็นเรื่องง่าย โดยเราอาจจะไปหาเพื่อนบ้านผู้นั้น หรือโทรศัพท์ไปหา หรือจัดงานเลี้ยงแล้วเชิญเพื่อนบ้านคนนั้นมาร่วม เพื่อจะได้แก้ไขความเข้าใจผิด เมื่อเราขึ้นไปถึงระดับของสติปัญญาก็เป็นทำนองแบบเดียวกันนี้ เราจะเข้าใจสิ่งต่างๆเหล่านี้ได้โดยอัตโนมัติ, ฉันหมายถึงเข้าใจอย่างเงียบๆ, และเราก็สามารถจัดการสิ่งเหล่านี้อย่างเงียบๆได้ หรืออาจจะติดต่อกับแหล่งพลังที่จะสามารถช่วยเราให้จัดการเรื่องเหล่านี้ได้ เพื่อให้ชีวิตของเราดีขึ้น มีการดำเนินชีวิตสะดวกขึ้น ดังนั้นเราจึงสามารถลดการเกิดอุบัติเหตุต่างๆ ลดสถานการณ์อันไม่พึงปรารถนา ภาวะต่างๆที่ไม่เหมาะกับชีวิตของเรา ให้เหลือน้อยที่สุด เข้าใจไหม? เพราะฉะนั้นเมื่อเราขึ้นไปถึงระดับชั้นที่สองก็วิเศษมากแล้ว

เพราะฉะนั้น สิ่งที่ฉันอธิบายให้ฟังนี้จึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลมาก มีความเป็นวิทยาศาสตร์มาก ไม่จำเป็นต้องคิดว่าโยคีหรือคนที่นั่งสมาธิ เป็นมนุษย์ที่แปลกประหลาด หรือเป็น E.T., เธอรู้จักใช่ไหม คือพวกที่มาจากนอกโลกน่ะ, พวกเขาก็เป็นมนุษย์แบบในโลกนี้แหละ เหมือนพวกเราทุกคน แต่เขาได้พัฒนามากขึ้นแล้ว เพราะว่าเขารู้วิธีการ ในอเมริกา เราชอบพูดกันว่า ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับการรู้วิธีการ (KNOW-HOW) ถ้ารู้วิธีการก็เรียนได้หมด จริงไหม? เรียนได้ทุกอย่าง เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่อยู่เหนือศาสตร์ของโลก ซึ่งเราก็สามารถเรียนรู้ได้ด้วย ฟังแล้วอาจรู้สึกว่ามันแปลกประหลาด แต่อะไรที่ยิ่งสูงก็ยิ่งเป็นเรื่องง่าย ง่ายกว่าการเรียนในชั้นมัธยมหรือวิทยาลัยซึ่งเต็มไปด้วยโจทย์คำถามทางคณิตศาสตร์ที่ยุ่งยากซับซ้อนมากมาย

ในชั้นที่สอง...... ในชั้นที่สองนี้ ก็มีระดับชั้นย่อยๆซึ่งแตกต่างกันเป็นจำนวนมาก ฉันหมายถึงว่าในระดับชั้นที่สองนี้ ยังมีระดับชั้นย่อยๆอยู่หลายระดับ แต่ฉันพูดแบบสั้นๆ เพราะฉันเล่ารายละเอียดทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นความลับของแดนสวรรค์ไม่ไหวหรอก แต่เราจะรู้สิ่งต่างๆเหล่านี้ได้เมื่อเราเดินทางไปพร้อมกับอาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งเคยเดินทางไปมาแล้ว เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไร แต่จะต้องใช้เวลานานมาก โดยเฉพาะถ้าเราต้องหยุดในแต่ละระดับ ซึ่งยังมีระดับอีกมากมายเหลือเกิน มีระดับชั้นย่อยๆ ลงไปอีก ถ้าเราจะดูทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ต้องใช้เวลานานมากทีเดียว เพราะฉะนั้น บางครั้ง อาจารย์ท่านหนึ่งอาจจะพาเธอไปดูแบบผ่านๆอย่างรวดเร็ว จากระดับหนึ่งไปยังอีกระดับหนึ่ง เพราะถ้าเธอไม่จำเป็นต้องเป็นอาจารย์ เธอก็ไม่จำเป็นต้องเรียนอะไรมากมายให้ปวดหัวเปล่าๆ ฉะนั้นก็แค่พาเธอผ่านไปแล้วก็กลับมาบ้าน เพราะแม้แต่แค่นี้ก็ต้องใช้เวลานานแล้ว บางครั้งอาจจะเสียเวลาตลอดชีวิตก็ได้ แต่สำหรับเรื่องการรู้แจ้งนั้นเรารู้ได้ในทันที

แต่ก็เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ก็เหมือนกับการลงทะเบียนเรียนนั่นแหละ ในวันแรกที่เธอลงทะเบียนเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย เธอก็กลายเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยทันที ซึ่งตอนนั้นเธอยังไม่ได้จบปริญญาเอกหรอก หลังจากเรียนไปหกปี, สี่ปี หรืออาจจะสิบสองปี เธอก็จบการศึกษา แต่ว่าเธอจะได้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยทันที ถ้ามหาวิทยาลัยนั้นเป็นมหาวิทยาลัยจริงๆ และถ้าเธอลงทะเบียนเข้าศึกษา รวมทั้งปรารถนาอย่างจริงใจที่จะเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย จริงไหม? เพราะฉะนั้น ทั้งสองฝ่ายต้องร่วมมือกัน

ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราต้องการจะไปสู่โลกเหนือโลก เช่น เพื่อความสนุกสนาน หรืออะไรก็ตาม เพราะเราไม่มีที่อื่นที่จะไปแล้วในนิวยอร์กนี้ เรารู้จักทุกสิ่งทุกอย่างในแมนฮัตตัน, ชายหาดทั้งหลาย Long Beach, Short  Beach, หรือทุกๆหาดแล้ว สมมุติว่าเราอยากจะเดินทางไปเที่ยวเมืองของมนุษย์ต่างดาว E.T. เพื่อดูว่าเขามีอะไรกัน ดีไหม? ทำไมจะไม่ล่ะ? ในเมื่อเราต้องจ่ายเงินเยอะแยะเพื่อที่จะไป ไมอามี, ฟลอริดา, เพียงเพื่อไปว่ายน้ำทะเล แล้วทำไมเราจะไม่อยากไปโลกอื่นๆที่อยู่เหนือโลกของเรา เพื่อดูว่าเพื่อนบ้านของเราหน้าตาเป็นอย่างไร เขาอยู่กันอย่างไร? ฉันไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกอะไรเลย เพียงแค่เดินทางไกลออกไปอีกหน่อย และเป็นการเดินทางด้วยจิตใจด้วยจิตวิญญาณแทนที่จะเป็นการเดินทางของกายเนื้อ

การเดินทางนั้นมีอยู่สองแบบ เพราะฉะนั้นจึงเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลมาก และเข้าใจง่ายมาก เอาละเรากำลังอยู่ในระดับชั้นที่สองนะ โอเค ระดับชั้นที่สอง มีอะไรที่ฉันควรจะบอกเธออีก? เพราะฉะนั้น นี่แหละคือวิธีที่เราดำเนินชีวิตต่อไปในโลกนี้ แต่เราก็มีความรู้เกี่ยวกับโลกอื่นๆไปด้วยในเวลาเดียวกัน เข้าใจไหม? เพราะว่าเรามีการเดินทาง ก็เหมือนเธอซึ่งเป็นคนอเมริกันคนหนึ่ง หรืออาจจะเป็นคนชาติอะไรอย่างอื่นก็ได้ในโลกนี้ แล้วเธอก็เดินทางจากประเทศหนึ่งไปอีกประเทศหนึ่ง เพื่อจะได้รู้ว่าประเทศเพื่อนบ้านมีความเป็นอยู่อย่างไร ฉันคิดว่าพวกเธอหลายคนในองค์การสหประชาชาตินี้ไม่ใช่คนอเมริกัน ไม่ใช่หรือ? ใช่แล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้เธอก็คงรู้แล้วนะว่ามันก็เหมือนกัน เราสามารถเดินทางไปยังโลกถัดไป หรือไปสู่ระดับชั้นของชีวิตแบบอื่นถัดไปเพื่อที่จะเรียนรู้เและเข้าใจ แต่เนื่องจากระยะทางมันไกลมาก จนเราเดินไปไม่ได้ จะใช้จรวดก็ไม่ได้ แม้กระทั่งจะใช้จานบินก็ยังไม่ได้

โลกบางแห่งอยู่ไกลเกินกว่าที่จานบินจะพาไปได้ จานบินหรือ UFO คืออะไร U=Unidentified, F=Flying, O=Object ก็คือสิ่งที่บินได้ซึ่งยังบอกไม่ได้ว่าเป็นอะไร แต่ในตัวเราก็มีเครื่องมือชนิดหนึ่ง ซึ่งเร็วยิ่งกว่าจานบินทุกชนิดเสียอีก นั่นคือ วิญญาณ (Soul) ของเราเอง บางครั้งเราก็เรียกมันว่า จิตวิญญาณ (Spirit) เราสามารถบินไปด้วยสิ่งนี้ได้โดยไม่ต้องใช้เชื้อเพลิง ไม่ต้องมีตำรวจจราจรมาดูแล ไม่มีปัญหาเรื่องรถติด หรืออะไรทั้งสิ้น และไม่ต้องกังวลว่าสักวันหนึ่งชาวอาหรับจะไม่ขายน้ำมันให้เรา เพราะมันสามารถพึ่งพาตัวเองได้ ไม่เคยเสีย ยกเว้นว่าเราต้องการจะทำลายมันเองด้วยการฝ่าฝืนกฎแห่งจักรวาล ฝ่าฝืนต่อความกลมกลืนสอดคล้องของโลกและสวรรค์ ซึ่งเรื่องนี้เราสามารถหลีกเลี่ยงได้ง่ายมาก เราจะบอกให้ฟังว่าจะทำได้อย่างไรถ้าใครสนใจอยากรู้ ยกตัวอย่างเช่น ฉันจะพูดสั้นๆ เท่านั้นนะ ตกลงไหม? ฉันไม่ใช่นักเทศน์ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวล ฉันไม่พาพวกเธอไปโบสถ์หรอก แต่จะยกตัวอย่างให้ฟังเท่านั้น

มีกฎบางอย่างในจักรวาลที่เราควรจะรู้ ก็เหมือนกับเวลาที่เราขับรถ เราก็ต้องรู้กฎจราจร ไฟแดงก็ต้องหยุด ไฟเขียวก็ไปได้ ขับชิดซ้าย ชิดขวา ฯลฯ..... บนทางด่วนขับเร็วได้แค่ไหน เพราะฉะนั้น ในจักรวาลก็มีกฎง่ายๆ นี่ฉันหมายถึงจักรวาลที่เป็นวัตถุธาตุนะ เข้าใจไหม? แต่เหนือโลกของเรา เหนือจักรวาลที่เป็นวัตถุธาตุนี้ ไม่มีกฏอะไร ไม่มีกฏอะไรเลย เราเป็นอิสระ เป็นพลเมืองอิสระ แต่เราจะต้องขึ้นไปให้ถึงจุดนั้นเราจึงจะสามารถเป็นอิสระ และตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ อยู่ในร่างกายที่เป็นเนื้อหนังนี้ เราก็ควรจะต้องปฏิบัติตามกฏให้มากที่สุดเท่าที่สามารถ เพื่อที่เราจะได้ไม่เกิดความยุ่งยาก และยานพาหนะของเราจะได้ไม่ถูกทำลาย ดังนั้นเราก็จะสามารถบินได้เร็วขึ้น บินสูงขึ้นไปได้ โดยไม่มีปัญหา

กฎต่างๆเหล่านี้มีบันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิลของศาสนาคริสต์ และในคัมภีร์ของศาสนาพุทธหรือในคัมภีร์ของศาสนาฮินดู เป็นกฎที่ง่ายมาก เช่น เราจะต้องไม่ทำร้ายเพื่อนบ้าน เราต้องไม่ฆ่า “thou shall not kill” และต้องไม่ทำผิดต่อสัมพันธภาพแห่งความรัก ไม่ขโมย ฯลฯ ไม่เสพสิ่งที่ทำให้เกิดความมึนเมา ซึ่งหมายถึงยาเสพติดในปัจจุบันนี้ด้วย บางทีพระพุทธเจ้าท่านคงจะทราบว่า ในศตวรรษที่ 20 เราจะคิดทำโคเคน (Cocaine) หรือยาเสพติดอะไรพวกนี้ ท่านจึงกล่าวไว้ว่า ห้ามเสพสิ่งเสพติด ซึ่งรวมถึงการเล่นการพนันทุกชนิด รวมทั้งสิ่งอื่นๆที่จะทำให้จิตใจของเรา.....พูดยังไงดี, ไปยึดติดอยู่กับความพึงพอใจทางด้านวัตถุ และหลงลืมการเดินทางแห่งจิตวิญญาณ ถ้าเราต้องการบินได้เร็ว บินได้สูงโดยปราศจากอันตราย นี่ก็เป็นกฎทางด้านเนื้อหนัง ก็คล้ายๆกับกฎทางด้านฟิสิกซ์ ถ้าเราจะส่งจรวดขึ้นไป นักวิทยาศาสตร์ก็ต้องศึกษาระมัดระวังเรื่องกฎทางฟิสิกส์บางอย่าง ก็เท่านั้นแหละ โอเค? เพราะฉะนั้น ถ้าเราต้องการจะบินให้สูงกว่านั้น บินให้สูงกว่าจรวด และให้เร็วกว่าจานบิน UFO เราจะยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังมากกว่านั้นอีกสักแค่ไหน? ยังมีรายละเอียดอีกมากที่จะต้องอธิบาย ถ้าเธอสนใจที่จะรู้ เราจะพูดให้ฟังในตอนรับการประทับจิต สำหรับตอนนี้เราไม่ต้องการจะทำให้พวกเธอเกิดความเบื่อหน่ายที่จะฟังเรื่องศีลหรือข้อบัญญัติเหล่านี้ ซึ่งเธออาจจะบอกว่า “ฉันรู้แล้ว ฉันรู้แล้ว ฉันอ่านแล้วในคัมภีร์ไบเบิล เรื่องบัญญัติ 10 ประการเหล่านี้”

จริงๆ แล้ว พวกเราหลายคนเคยอ่านศีลข้อต่างๆ มาแล้ว แต่ไม่ได้คิดถึงมันอย่างลึกซึ้งมากนัก หรือไม่ได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง หรือบางทีเราต้องการจะเข้าใจ..... แบบเข้าข้างตัวเอง แบบที่เราทำ แต่ไม่ใช่แบบที่มันหมายความจริงๆ เพราะฉะนั้น ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรที่จะได้เตือนตัวเรา หรือได้ฟังความหมายที่ลึกซึ้งขึ้นกว่านั้นอีกครั้งหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น ในคัมภีร์ไบเบิล ในพระธรรมเก่า หน้าแรกๆ พระเจ้าตรัสว่า “เราได้สร้างสัตว์ทั้งหลายให้เป็นเพื่อนและเพื่อช่วยเหลือเจ้า และเจ้าจะได้ปกครองสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น” จากนั้นท่านก็ตรัสว่า ท่านได้สร้างอาหารทุกชนิดเพื่อสัตว์ทั้งหลาย ตามชนิดของมัน แต่พระเจ้าไม่ได้บอกให้เราไปกินมัน เปล่าเลย! และท่านตรัสว่า “เราได้สร้างอาหารทั้งมวล, พวกธัญพืชที่อยู่ในท้องทุ่ง และผลไม้บนต้นไม้ต่างๆ ซึ่งมีรสชาติอร่อยและสวยงามน่าดู สิ่งเหล่านี้แหละคืออาหารของเจ้า” แต่น้อยคนนักที่จะสนใจคำพูดนี้ ดังนั้นคนจำนวนมากที่เชื่อในคัมภีร์ไบเบิลก็ยังคงกินเนื้อสัตว์อยู่ โดยไม่เข้าใจความหมายแท้จริงที่พระเจ้าหมายถึงเลย

และถ้าเรามาศึกษาวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เราก็จะรู้ได้ว่า เราไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่กินเนื้อสัตว์ ระบบของเรา ลำไส้ของเรา กระเพาะของเรา ฟันของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างถูกสร้างขึ้นตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ให้เหมาะกับอาหารมังสวิรัติเท่านั้น จึงไม่แปลกอะไรที่คนส่วนใหญ่เจ็บไข้ได้ป่วย แก่เร็ว อ่อนเพลีย เชื่องช้า ทั้งๆที่ตอนเกิดมามีความสดใส เฉลียวฉลาดมาก แต่แล้วก็ค่อยๆเสื่อมซึมเซาลงทีละเล็กทีละน้อยทุกวัน ยิ่งแก่มากขึ้นก็ยิ่งรู้สึกแย่ลงมากขึ้น ทั้งนี้ก็เพราะเราทำลายยานพาหนะของเรา จานบินของเรา UFO ของเรา ดังนั้น ถ้าเราอยากจะใช้ยานพาหนะนี้ให้นานขึ้นและปลอดภัยมากขึ้น เราก็ต้องรู้จักดูแลรักษาอย่างถูกวิธี ยกตัวอย่างเช่น เรามีรถยนต์ พวกเธอคงขับรถกันทุกคนนะ! ถ้าเราเติมน้ำมันผิด อะไรจะเกิดขึ้น? จะเกิดอะไร? มันอาจจะขับไปได้แค่ไม่กี่ฟุต แล้วก็หยุดไม่สามารถขับต่อไปได้ แล้วเธอจะไปโทษรถไม่ได้ เพราะมันเป็นความผิดของเราเอง ที่เติมเชื้อเพลิงไม่เหมาะสมลงไป หรือถ้าน้ำมันของเรามีน้ำปนอยู่ มันก็อาจวิ่งไปได้สักพักหนึ่ง แล้วก็จะเกิดปัญหาใช่ไหม? หรือถ้าน้ำมันเครื่องของเราสกปรกเกินไป และเราไม่ทำความสะอาด มันก็วิ่งไปได้สักพักหนึ่ง แล้วเราก็จะมีปัญหาตามมา บางครั้งมันอาจจะระเบิด เพราะเราไม่ได้ดูแลเอาใจใส่รถยนต์ของเราอย่างถูกวิธีใช่ไหม?

ทำนองเดียวกัน ร่างกายของเราก็เหมือนยานพาหนะซึ่งเราสามารถใช้บินจากที่นี่ไปชั่วนิรันดร ไปสู่ปัญญาระดับสูงสุด แต่บางครั้งเราไปทำลายมันใช้มันอย่างผิดวัตถุประสงค์ ยกตัวอย่างเช่น รถของเรามีไว้เพื่อขับไปไกลๆหลายๆไมล์ เพื่อนำเราไปถึงที่ทำงาน ไปหาเพื่อนของเรา ไปชมทิวทัศน์สวยงามต่างๆ แต่เรากลับไม่ดูแลมัน เอาน้ำมันผิดๆ ไปเติม หรือไม่ดูแลน้ำมันเครื่อง ไม่ดูแลน้ำในหม้อน้ำ ทุกสิ่งทุกอย่าง ทำให้มันไม่สามารถวิ่งได้เร็ว วิ่งไปได้ไม่ไกล เราก็เลยได้แต่เอามาวิ่งวนอยู่ในสนามหญ้า วนอยู่ในสวนหลังบ้าน ซึ่งไม่เป็นไรหรอก เข้าใจไหม? แต่มันเป็นการสิ้นเปลืองไปเปล่า ผิดวัตถุประสงค์ของเราที่ซื้อรถมา เสียเงินทอง, เวลา และพลังงานของเราไปโดยเปล่าประโยชน์ เท่านั้นแหละ ไม่มีใครที่จะถูกตำหนิ หรือไม่มีตำรวจมาปรับเธอหรอก เพียงแต่เธอทำให้รถของเธอเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ เสียเงินเสียทอง ในเมื่อเธอสามารถจะไปได้ไกลๆ สามารถไปเห็นสิ่งต่างๆ ได้มากมาย ได้ชื่นชมทิวทัศน์แปลกๆ

ในทำนองเดียวกัน ร่างกายของเราก็ช่วยให้เราอาศัยอยู่ในโลกนี้ได้ แต่เรายังสามารถดูแลสิ่งที่อยู่ภายในกายเนื้อของเรานี้ด้วย เรายังมีเครื่องมืออื่นๆอีก ซึ่งทำให้เราสามารถบินสูงขึ้นไปได้มากกว่านั้น ก็เหมือนกับมนุษย์อวกาศซึ่งนั่งอยู่ในยานอวกาศ ยานอวกาศก็คือเครื่องมือของเขา เขาควรจะต้องดูแลให้ดี ไม่ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ทางฟิสิกส์ ยานของเขาก็จะทะยานไปได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย แต่มนุษย์อวกาศที่นั่งอยู่ภายในนั้นมีความสำคัญ ยานอวกาศเพียงแต่นำไปถึงจุดหมายปลายทาง แต่ยานนั้นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด เข้าใจไหม สิ่งที่สำคัญก็คือ ตัวมนุษยอวกาศและจุดหมายปลายทางของเขา หากเขาเอายานนั้นมาใช้วิ่งไปรอบๆ Long Island ก็เป็นการเสียเวลาเปล่า เข้าใจไหม? เสียเงินทองของชาติไปโดยไม่มีประโยชน์

ดังนั้น ร่างกายของเราจึงมีค่ามาก เพราะมีอาจารย์สถิตอยู่ภายใน ด้วยเหตุนี้ในคัมภีร์ไบเบิลจึงมีกล่าวไว้ว่า เธอไม่รู้หรือว่า เธอคือวิหารของพระเจ้า และพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพสถิตอยู่ภายในตัวเธอ พระจิตอันศักดิ์สิทธิ์ก็เหมือนกัน คือสิ่งเดียวกัน ถ้าร่างกายของเราเป็นที่ประทับของพระจิตศักดิ์สิทธิ์ หรือพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ เรานึกออกหรือไม่ว่ามันสำคัญยิ่งยวดขนาดไหน! แต่คนจำนวนมากอ่านตรงนี้อย่างรวดเร็วและไม่เข้าใจ ไม่เห็นความสำคัญของข้อความนี้ และไม่ได้พยายามศึกษาหาความจริง

นี่เป็นเหตุผลที่บรรดาลูกศิษย์ของฉันชอบศึกษาติดตามคำสอนของฉัน ก็เพราะเขาสามารถค้นพบว่าใครนั่งอยู่ข้างใน มีอะไรอยู่เหนือโลกนี้ นอกเหนือไปจากการดิ้นรนต่อสู้ในชีวิตประจำวัน การหาเงินเลี้ยงชีพ และปัญหาวุ่นวายต่างๆ มากมาย เรามีความงาม มีอิสรภาพ มีความรู้มากมายกว่าอยู่ภายใน และหากเรารู้วิธีการที่ถูกต้องเหมาะสมในการติดต่อกับสิ่งนี้ ทั้งหมดนี้ก็จะเป็นของเรา เพราะเรามีอยู่แล้วภายใน แต่เป็นเพราะเราไม่รู้ว่ากุญแจอยู่ที่ไหน เราปิดล็อคบ้านของเราไว้เป็นเวลานาน จนตอนนี้เราลืมไปว่าเรามีทรัพย์สมบัติเหล่านี้ ก็เท่านั้นแหละ เพราะฉะนั้นผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์ ก็คือ ผู้ซึ่งสามารถช่วยเราเปิดประตูและแสดงให้เราเห็นว่าสิ่งที่เป็นสมบัติดั้งเดิมของเรานั้นคืออะไร แต่เราก็ต้องใช้เวลาเดินเข้าไปภายใน และตรวจสมบัติทุกชิ้นที่เรามีอยู่

ที่พูดมานี้ เรายังอยู่ในโลกชั้นที่ 2 นะ พวกเธอยังสนใจอยากไปไกลกว่านี้อีกไหม? (ผู้ฟังตอบว่าอยากไป) เธออยากรู้ทุกอย่างโดยไม่ต้องทำงานอะไรเลยใช่ไหม? (อาจารย์หัวเราะ) ก็ได้ อย่างน้อยบางคนก็สามารถเล่าสภาพความเป็นอยู่ของต่างประเทศให้เธอฟังได้ ถ้าเขาเคยอยู่ที่นั่นมาแล้ว ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยไปมาก็ตาม จริงไหม? อย่างน้อยเธอก็ยังมีความสนใจ บางทีเธออาจจะอยากไปก็ได้ โอเค ทีนี้สูงกว่าโลกชั้นที่สองเป็นอย่างไร จริงๆฉันยังไม่ได้เล่าทุกเรื่องในระดับชั้นที่สองนะ แต่เธอก็รู้ว่าเราคงนั่งอยู่ที่นี่ทั้งวันไม่ได้ เอาละสูงกว่าระดับชั้นที่สองขึ้นไป เธออาจจะมีพลังมากขึ้น ถ้าเธอมีความตั้งใจแน่วแน่และพยายามออกแรงเพื่อสิ่งนี้ เธอก็จะไปถึงระดับชั้นที่สาม

ที่เรียกว่าโลกที่ 3 นี้ เป็นอันดับชั้นที่สูงขึ้นไป ผู้ที่จะขึ้นไปถึงชั้นนี้จะต้องเป็นบุคคลที่สะอาดหมดจด อย่างน้อยต้องปราศจากหนี้สินทุกชนิดของโลกนี้ เข้าใจไหม? ถ้าเรายังเป็นหนี้เจ้าผู้ครองโลกแห่งวัตถุนี้อยู่ เราก็ยังขึ้นไปไม่ได้ เหมือนกับเธอเป็นอาชญากรของประเทศใดประเทศหนึ่ง โทษของเธอยังใช้ไม่หมด เธอก็ไม่สามารถข้ามพรมแดนไปยังอีกประเทศหนึ่งได้ เพราะฉะนั้น หนี้สินของโลกนี้จะรวมถึงสิ่งต่างๆที่เราเคยทำตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอาจจะในอนาคตของชีวิตเราด้วย สิ่งต่างๆเหล่านี้ต้องได้รับการชดใช้ให้หมด เหมือนเวลาที่เราผ่านด่านศุลกากรนั่นแหละ ก่อนที่เราจะสามารถไปยังโลกระดับสูงขึ้นไป ในขณะที่เราอยู่ในโลกที่สองนี้ เราก็ต้องเริ่มทำงานแล้ว เข้าใจไหม ต้องจัดการกับกรรมที่ยังคั่งค้างอยู่ทั้งของชาติที่แล้วและชาตินี้ เพราะถ้าไม่มีกรรมในอดีต เราก็ไม่สามารถมาอยู่ในชีวิตปัจจุบันนี้ได้

อาจารย์มีอยู่สองประเภท ประเภทแรกคืออาจารย์ซึ่งไม่มีกรรม ต้องยืมกรรมของผู้อื่นเพื่อที่จะลงมา อาจารย์ประเภทที่สองก็เหมือนกับพวกเรา เป็นมนุษย์ธรรมดา แต่มีกรรมที่สะอาดที่สุด เพราะฉะนั้นใครๆก็สามารถจะเป็นอาจารย์ในอนาคตได้ บางครั้งผู้เป็นอาจารย์จะลงมาจากโลกในระดับสูง โดยยืมกรรมของผู้อื่นมา ฟังแล้วเธอรู้สึกอย่างไร เรื่องการยืมกรรมน่ะ? (อาจารย์หัวเราะ) เป็นไปได้นะ เป็นไปได้ ยกตัวอย่างเช่น ก่อนที่เธอจะลงมาที่นี่ เธอก็เคยมาที่นี่มาก่อนแล้ว ใช่ไหม? และเธอเคยให้หรือรับอะไรจากใครต่อใครมาหลายชาติ หลายร้อยปีแล้ว จากนั้นเธอก็กลับไปสวรรค์หรือไปยังดินแดนของเธอซึ่งอยู่ไกลมาก อยู่ในระดับชั้นที่ต่างออกไป อย่างน้อยก็อยู่ระดับชั้นที่ห้า ซึ่งที่นั่นเป็นบ้านของผู้ที่อยู่ในระดับชั้นที่เรียกว่า อาจารย์ แต่เหนือจากระดับชั้นที่ห้า ก็ยังมีอันดับชั้นอื่นๆ อีกมาก

ทีนี้เมื่อเราต้องการจะกลับลงมาใหม่ เนื่องจากมีความเมตตาต่อสรรพสัตว์ หรือได้รับหน้าที่บางอย่างจากพระบิดา เราก็จะลงมา และเนื่องจากเรามีบุญสัมพันธ์กับผู้คนในอดีตชาติ เราก็สามารถยืมกรรมของเขามาได้บ้าง ก็คือหนี้นั่นแหละ ไม่มีอะไรอย่างอื่น ไม่มีอะไรดีในหมู่มวลมนุษย์ นอกจากความเป็นหนี้ เราสามารถยืมหนี้มาแล้วเราก็จ่ายคืนไป เข้าใจไหม โดยใช้พลังทางจิตวิญญาณค่อยๆจ่ายคืนช้าๆ จนกระทั่งทำงานบนโลกนี้เสร็จ เพราะฉะนั้น อาจารย์พวกนี้ก็เป็นแบบหนึ่ง ใช่ไหม? ยังมีอีกแบบหนึ่งซึ่งมาจากโลกนี้ หลังจากที่เขาได้บำเพ็ญปฏิบัติธรรม เขาก็กลายเป็นอาจารย์ได้ทันทีโดยที่ยังอยู่ที่นี่ เหมือนกับนักศึกษาจบการศึกษานั่นเอง เพราะฉะนั้นในมหาวิทยาลัย เราก็มีศาสตราจารย์ และมีนักศึกษา ต่อมานักศึกษาก็เรียนจบและกลายมาเป็นศาสตราจารย์ได้ในภายหลัง เข้าใจไหม? จึงมีทั้งผู้ที่เป็นศาสตราจารย์มานานมากแล้ว และมีผู้ที่เพิ่งเป็นศาสตราจารย์หลังจากที่เขาเรียนจบได้ไม่นาน ฯลฯ ในทำนองเดียวกัน ผู้ที่เป็นอาจารย์ก็มีแบบนี้ด้วย

คราวนี้ ถ้าเราต้องการจะไปยังโลกที่สาม เราก็ต้องสะอาดหมดจดไม่มีกรรมตกค้างหลงเหลืออยู่แม้แต่นิดเดียว กรรมก็คือกฎที่มีคำกล่าวไว้ว่า “หว่านพืชอย่างไร ก็จะได้ผลอย่างนั้น” ก็เหมือนเราปลูกด้วยเมล็ดส้ม ก็จะได้ผลส้ม ปลูกด้วยเมล็ดแอปเปิ้ลก็จะได้ผลแอปเปิ้ล นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่ากรรม มันเป็นภาษาสันสกฤตซึ่งหมายถึง สาเหตุและการชดใช้การกระทำ คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้พูดถึงกรรม แต่พูดว่า “หว่านพืชอย่างไร ก็จะได้ผลอย่างนั้น” ซึ่งก็คือเรื่องเดียวกัน

คัมภีร์ไบเบิลเป็นคำสอนแบบย่อๆ ของอาจารย์ท่านหนึ่ง และชีวิตของพระองค์ก็สั้นด้วย ดังนั้นเราจึงไม่มีคำอธิบายมากนักในคัมภีร์ไบเบิล และไบเบิลหลายตอนก็ถูกตัดทอนเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้นำในสมัยนั้น ซึ่งบุคคลเหล่านี้ไม่ใช่คนที่สนใจเรื่องทางจิตวิญญาณเสมอไป เธอก็ทราบว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ก็มีคนซื้อ คนขาย มีนายหน้า ทุกเรื่องเลย มีนายหน้าอยู่ในทุกแง่ทุกมุมของชีวิตเต็มไปหมด แต่สำหรับคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งเป็นไบเบิลที่แท้จริงนั้น เราทราบดีว่า มันแตกต่างจากที่เราเห็นอยู่เล็กน้อย มีความยาวมากกว่านิดหน่อย มีความถูกต้องกว่า และเข้าใจง่ายกว่า อย่างไรก็ดี เนื่องจากเราไม่สามารถจะพิสูจน์อะไรได้มากนัก เราก็เลยไม่พูดถึงเรื่องนี้ เดี๋ยวคนจะเข้าใจว่าเราดูหมิ่นศาสนาได้ เพราะฉะนั้นเราสามารถจะพูดได้ก็แต่เฉพาะบางเรื่องที่เราพิสูจน์ได้เท่านั้น

ถ้าอย่างนั้นพวกเธอก็อาจจะถามฉันว่า “ท่านพูดถึงเรื่องของโลกที่สอง, สาม, และสี่ แล้วท่านมีอะไรพิสูจน์ได้หรือเปล่า?” ได้สิ ฉันสามารถพิสูจน์ได้ ถ้าเธอเดินไปกับฉัน เดินไปตามทางเดียวกัน เธอก็จะเห็นสิ่งเดียวกัน เข้าใจไหม? แต่ถ้าเธอไม่เดินฉันก็ไม่สามารถพิสูจน์ให้เธอรู้ได้ นั่นเป็นสิ่งที่แน่นอน,จริงๆ เพราะฉะนั้น ฉันจึงกล้าพูดเรื่องต่างๆเหล่านี้ก็เพราะเรามีข้อพิสูจน์ เรามีข้อพิสูจน์จากบรรดาลูกศิษย์หลายแสนคนที่กระจายอยู่ทั่วโลก ดังนั้นเราจึงกล้าพูดในสิ่งที่เรารู้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราไปที่........ แต่เธอจะต้องเดินมาด้วยกันกับฉันนะ เธอต้องเดิน ถ้าเธอไม่ทำเช่นนั้น เธอก็จะมาพูดไม่ได้ว่า “ก็ท่านช่วยเดินแทนฉันหน่อยซี แล้วมาเล่าให้ฟัง มาแสดงทุกสิ่งทุกอย่างให้ฉันเห็น” ฉันไม่สามารถจะทำแบบนั้นได้หรอก

ยกตัวอย่าง ถ้าฉันไม่ได้มาที่องค์การสหประชาชาติ ไม่ได้มาอยู่ในห้องนี้ ไม่ว่าเธอจะเล่าให้ฉันฟังเกี่ยวกับห้องนี้มากแค่ไหนก็ตาม ฉันก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์จริงๆ ใช่ไหม? เพราะฉะนั้นเราจำเป็นต้องเดินไปพร้อมๆกับคนนำทางที่มีประสบการณ์ ฉันมีลูกศิษย์บางคนอยู่ในห้องนี้ ซึ่งมีเชื้อชาติต่างๆกัน พวกเขาเคยมีประสบการณ์บางอย่างตามที่ฉันเพิ่งเล่าให้พวกเธอฟัง บางคนก็มีเพียงบางส่วน บางคนก็ได้รับอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนแล้ว ทีนี้ก็มาถึงระดับที่สูงกว่าโลกที่สาม สิ่งที่เล่ามานี้ไม่ใช่หมดเกลี้ยงแล้วนะ เป็นเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น เหมือนกับเป็นการเล่าเรื่องเกี่ยวกับการเดินทาง เอาสิ่งละอันพันละน้อยนิดๆหน่อยๆมาพูดให้ฟัง ไม่มีรายละเอียดอะไรมากมาย แม้แต่เวลาที่เราอ่านหนังสือเกี่ยวกับประเทศใดประเทศหนึ่ง มันก็ยังไม่ใช่ประเทศนั้นจริงๆ ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น เรามีหนังสือมากมายเกี่ยวกับเรื่องการเดินทาง เกี่ยวกับประเทศต่างๆในโลก แต่เราก็ยังอยากจะไปที่นั่นด้วยตัวเอง จริงไหม?

เรารู้เรื่องเกี่ยวกับประเทศสเปน, เทเนรีฟ และกรีซ แต่ก็เป็นเพียงการดูจากภาพยนตร์ หรืออ่านหนังสือเท่านั้น เราต้องไปที่นั่น ได้มีประสบการณ์จริงๆ ได้รับความสุขจากการอยู่ที่นั่น ได้กินอาหารอร่อยๆที่เขาให้มา ได้สัมผัสกับน้ำทะเล อากาศที่สดใส ผู้คนที่เป็นมิตร และบรรยากาศต่างๆโดยรอบ ซึ่งเราไม่สามารถจะมีประสบการณ์เหล่านี้ได้จากการอ่านหนังสือ เอาละ สมมุติว่าเธอผ่านโลกที่สามไปแล้ว จะไปไหนต่อล่ะ? แน่นอน เธอก็ต้องไประดับชั้นที่สูงขึ้น คือระดับที่สี่ โลกระดับที่สี่นี้มีความมหัศจรรย์พันลึกมาก เราไม่สามารถใช้ภาษาธรรมดาๆมาบรรยายให้คนทั่วไปฟังได้ เพราะเกรงว่าจะเป็นการล่วงเกินผู้เป็นใหญ่แห่งโลกนั้นได้ เพราะโลกระดับที่สี่ มีความสวยงามมากจริงๆ แม้ว่าบางส่วนจะเป็นความมืดมิดมาก มืดยิ่งกว่าคืนที่ไฟดับในนิวยอร์กเสียอีก เธอเคยเจอบ้างไหม ที่เมืองทั้งเมืองอยู่ในความมืดสนิท ใช่แล้ว! มันมืดกว่านั้นอีก! ก่อนที่จะไปถึงแสงสว่าง จะเป็นความมืดมิดเป็นเสมือนเมืองต้องห้าม ก่อนที่เราจะไปถึงความรู้ของพระเจ้า เราจะถูกหยุดอยู่ที่นั่น แต่ถ้าเรามีอาจารย์ ซึ่งเป็นอาจารย์ที่เคยมีประสบการณ์มาแล้ว เธอก็จะสามารถผ่านไปได้ มิฉะนั้นแล้ว เราจะไม่มีวันหาหนทางในโลกแบบนั้นได้พบเลย

ในขณะที่เราผ่านระดับชั้นต่างๆ ขึ้นไป เราไม่เพียงแต่จะมีความเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณเท่านั้น ทางฝ่ายเนื้อหนังก็จะเปลี่ยนด้วย รวมทั้งด้านสติปัญญา และสิ่งอื่นๆทุกอย่างในชีวิตของเรา เราจะมองชีวิตด้วยทัศนคติที่แตกต่างออกไป เราจะดำเนินชีวิตต่างไป วิธีการทำงานต่างไป แม้แต่งานของเรา งานที่เราทำอยู่ทุกวัน ก็จะมีความหมายต่างไปจากเดิม เราจะเข้าใจว่าทำไมเราจึงต้องทำงานแบบนี้ ทำไมเราจึงต้องทำอาชีพนี้ ทำไมเราจึงควรต้องเปลี่ยนงาน เราจะเข้าใจวัตถุประสงค์ของชีวิต เพราะฉะนั้นเราจะไม่รู้สึกกระวนกระวายหรือร้อนใจ ใช่แล้ว! แต่เราจะรอคอยไปอย่างเรื่อยๆ อย่างอดทน เพื่อให้ภารกิจของเราบนโลกนี้เสร็จสิ้นลง เพราะเรารู้ว่าเรากำลังจะไปที่ไหนต่อ เรารู้ถึงสิ่งเหล่านี้ได้ในขณะที่ยังมีชีวิต สภาพเช่นนี้แหละที่เรียกว่า “ตายในขณะที่ยังมีชีวิต” ใช่แล้ว! ฉันคิดว่าพวกเธอบางคนคงเคยได้ยินอะไรทำนองนี้มาก่อน แต่ฉันไม่รู้ว่าจะมีอาจารย์ท่านใดที่พูดต่างไปจากนี้หรือเปล่า (อาจารย์หัวเราะ) เว้นแต่ว่า เราจะต้องได้รับความสุขจริงๆจากประสบการณ์ภายใน ถ้ามีคนมาบรรยายเกี่ยวกับรถเบนซ์ เขาจะเล่าให้กลายเป็นรถที่ต่างออกไปได้อย่างไร จริงไหม?  ก็มันเป็นสิ่งเดียวกัน  เพราะฉะนั้น คนที่เป็นเจ้าของรถเบนซ์ รู้จักรถเบนซ์ดี ก็จะบรรยายออกมาเหมือนๆ กัน เข้าใจไหม แต่สิ่งที่เขาเล่าก็ยังไม่ใช่รถเบนซ์จริงๆ

ดังนั้น ถึงแม้ว่า ฉันจะพูดให้พวกเธอฟังเป็นภาษาง่ายๆ ธรรมดาๆ แต่เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา และมันเป็นเรื่องที่เราต้องมีประสบการณ์ด้วยตนเอง ด้วยความขยัน ด้วยความจริงใจ และมีผู้นำทาง การทำเช่นนั้นจะปลอดภัยกว่า ถึงแม้ว่าอาจจะมีโอกาสที่เป็นหนึ่งในล้าน ที่เราสามารถบำเพ็ญจนสำเร็จบรรลุได้ด้วยตนเอง แต่มันก็มีอันตราย มีการเสี่ยง และผลที่ได้ก็ไม่มีหลักประกันแน่นอน รวมทั้งไม่ปลอดภัยอีกด้วย มีบางคนในอดีตเช่น สวีเดนบอร์ก (Swedenborg) ซึ่งสามารถทำสำเร็จได้ด้วยตนเอง และอีกคนหนึ่งคือ เกิร์ดจีฟ (Gurdjieff) ซึ่งก็คาดว่าสามารถทำสำเร็จได้เอง ไปตลอดรอดฝั่งด้วยตัวคนเดียว เมื่อฉันได้อ่านผลงานของบางคนก็พบว่า ไม่มีเลยที่จะปราศจากอันตราย หรือความยุ่งยากต่างๆมากมาย และก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถไปถึงระดับชั้นสูงสุดได้ทุกคน

เอาละ หลังจากนั้นเธอก็จะขึ้นไปในระดับที่สูงขึ้น หลังจากระดับที่สี่ก็ไประดับสูงกว่านั้น เป็นบ้านของบรรดามหาอาจารย์ ซึ่งก็คือระดับที่ห้า อาจารย์ทุกท่านลงมาจากระดับนี้ ถึงแม้ว่าระดับชั้นของบางท่านอาจจะสูงกว่าระดับที่ห้า เขาก็จะอยู่ที่นี่ มันเป็นที่อยู่ของบรรดาอาจารย์ เหนือระดับนี้ขึ้นไปยังมีแง่มุมต่างๆเกี่ยวกับพระเจ้าอีกมาก ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ ฉันเกรงว่าจะทำให้พวกเธอสับสน เพราะฉะนั้น ไว้คราวหน้าฉันอาจจะเล่าให้ฟัง หรือหลังจากการประทับจิตก็ได้ ให้เธอเตรียมใจที่จะรับฟังมากกว่านี้ แล้วฉันจะเล่าเรื่องที่น่าพิศวงเกี่ยวกับจินตนาการของเธอ ว่าบางครั้งมันทำให้เธอมีความคิดที่ผิดๆ หลายอย่างเกี่ยวกับพระเจ้าได้อย่างไร

เอาละ ฉันยินดีที่จะตอบคำถามถ้าใครมีคำถาม และก็ยินดีที่จะให้เธอไล่ฉันออกไปด้วยถ้าเธอรู้สึกว่ามันน่าเบื่อเกินไปแล้ว (อาจารย์หัวเราะ) ฉันก็ยินดีที่จะไปเช่นกัน มีคำถามอะไรไหม? เชิญได้ เดี๋ยวรอก่อนพร้อมแล้วหรือยัง เดี๋ยวนะกรุณารอไมโครโฟนก่อน คนอื่นจะได้ได้ยินที่เธอพูดด้วย

: ท่านกล่าวเมื่อสักครู่นี้ว่า ผู้ที่เป็นอาจารย์สามารถยืมกรรมของคนอื่นได้ ในกรณีแบบนี้ กรรมจะถูกลบไปในคนเหล่านั้นใช่หรือไม่? และผลที่ตามมาสำหรับคนเหล่านี้จะเป็นอย่างไร?

: ใช่ๆๆ ผู้ที่เป็นอาจารย์สามารถลบกรรมของใครก็ได้ ถ้าเป็นสิ่งที่อาจารย์นั้นเลือกที่จะทำ ที่จริงแล้วลูกศิษย์ทุกคนในขณะที่ได้รับการประทับจิต กรรมทั้งหมดในอดีตก็ต้องถูกลบออกไป ฉันเพียงแต่เหลือกรรมปัจจุบันทิ้งไว้ให้เธอเท่านั้น เพื่อที่เราจะสามารถดำเนินชีวิตในชาตินี้ต่อไปได้ มิฉะนั้นแล้ว เราก็จะตายทันที ถ้าไม่มีกรรมก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ที่นี่ได้ ดังนั้นอาจารย์จึงต้องลบกรรมที่สะสมไว้เท่านั้น ให้บุคคลนั้นสะอาด และเหลือกรรมไว้ให้เล็กน้อย ให้เขาดำเนินชีวิตนี้ต่อไปได้ เพื่อทำในสิ่งที่เขาต้องทำในชาตินี้ และหลังจากชาตินี้แล้วก็จบสิ้น นั่นแหละเขาจึงไปได้ มิฉะนั้นแล้วเขาจะไปได้อย่างไรกัน? ถึงแม้ว่าเขาจะสะอาดในชาตินี้ สะอาดแค่ไหนกัน? แล้วชาติก่อนๆล่ะ เธอเข้าใจไหม? เข้าใจนะ โอเค หากเราปรารถนาที่จะกลับมายังโลกนี้ใหม่หรือโลกอื่นๆ ในจักรวาลก็ได้ ดังนั้น ขั้นแรกก็คือรับการประทับจิตแล้วสิ่งอื่นๆ ก็จะตามมาเอง

: ขอบคุณค่ะ

อ: ด้วยความยินดี เป็นคำถามที่ฉลาดมาก ฉันคิดว่าเธอตั้งใจฟังดีมาก มีคำถามอีกไหม? เชิญได้

: เป้าหมายของการบำเพ็ญของท่านคืออะไร?

: เป้าหมายคืออะไรน่ะหรือ? ฉันยังไม่ได้บอกเธออีกหรือ? ก็เพื่อเดินทางไปเหนือโลกนี้ กลับไปสู่อาณาจักรของพระเจ้า รู้ถึงปัญญาของเธอ และก็เป็นคนที่ดีขึ้นในชาตินี้อีกด้วย

 

ถ: และมีกรรมอยู่ในทุกอาณาจักรเลย ใช่หรือไม่?

อ: ไม่ทุกอาณาจักรหรอก ถึงแค่อาณาจักรที่สองเท่านั้น เพราะว่าความคิดของเรา สมองของเราซึ่งเป็นเสมือนคอมพิวเตอร์นี้ ถูกสร้างขึ้นมาในระดับชั้นที่สอง เมื่อเราลงมาจากระดับชั้นสูงๆเพื่อมายังระดับชั้นทางกายภาพนี้ ก็เพื่อที่จะมาทำงานบางอย่าง ใช่ไหม? ยกตัวอย่างเช่น แม้แต่ผู้ที่เป็นอาจารย์ซึ่งลงมาจากระดับชั้นที่ห้า ลงมาในโลกแห่งวัตถุนี้ ท่านก็ต้องผ่านระดับชั้นที่สอง และนำคอมพิวเตอร์นี้ติดมาด้วย เพื่อจะได้ทำงานในโลกนี้ ก็เหมือนกับนักประดาน้ำ เธอรู้ใช่ไหม คนที่ดำลงไปในทะเลน่ะ เขาจะต้องผ่านการเตรียมตัว ใส่หน้ากาก เตรียมถังอ็อกซิเจน และทุกสิ่งทุกอย่าง ถึงแม้ว่าตัวเขาจะไม่ได้ดูน่าตลก แต่พอเขาสวมหน้ากากอ็อกซิเจนและชุดประดาน้ำเขาก็ดูเหมือนกับกบ

เราก็เป็นเหมือนแบบนั้นในบางครั้ง เมื่อเรามีคอมพิวเตอร์นี้ติดมาด้วย มีอุปสรรคทางกายภาพนี้ติดมาด้วย มิฉะนั้นแล้ว เราก็จะสวยงามอย่างสมบูรณ์แบบ แม้ว่าตอนนี้พวกเธออาจจะคิดว่าเธอสวยอยู่แล้ว แต่เธอกลับดูน่าเกลียดมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่เธอเป็นจริงๆ เข้าใจไหม? เพราะเครื่องมือทั้งหลายที่เราต้องสวมเพื่อที่จะดำลึกลงมาในโลกนี้เพื่อมาทำงาน เพราะฉะนั้นหลังจากที่เราผ่านระดับชั้นที่สองเพื่อที่จะกลับขึ้นไปใหม่ เราก็ต้องทิ้งคอมพิวเตอร์ของเราไว้ที่นั่น เราไม่จำเป็นต้องใช้มันอีกต่อไปแล้วเมื่ออยู่ข้างบน ก็เหมือนนักประดาน้ำที่มาถึงฝั่ง เขาจะถอดหน้ากากอ็อกซิเจน และเครื่องประดาน้ำทั้งหมดออก นั่นแหละ แล้วเขาก็จะดูเหมือนตัวของเขาเอง ใช่ไหม? โอเค! ได้, เธอจะพูดต่อก็ได้ถ้าเธอต้องการ นี่, นี่ เรามีไมโครโฟนเพียงแค่ตัวเดียว ยากจนจริงๆ

ถ: ขอบคุณค่ะ ขอบคุณท่านอาจารย์ ท่านกล่าวว่า ที่สุดของโลกที่สอง ก่อนที่ท่านจะขึ้นไป ท่านทิ้งกรรมทั้งหมดไว้เบื้องหลัง หรือว่า ท่านต้องแก้ไข หรือชำระล้างกรรมทั้งหมดของท่าน ที่พูดนี้หมายถึงกรรมทั้งหมดในอดีตชาติต่างๆ ซึ่งติดตัวท่านมาในชาตินี้ด้วยใช่ไหม?

อ: ถูกต้อง เพราะไม่มีคอมพิวเตอร์ที่จะบันทึกอะไรไว้แล้ว เรามีกรรมก็เพราะเรามีคอมพิวเตอร์นี้ ความคิด สมอง ซึ่งใช้บันทึกประสบการณ์ทุกอย่างในโลกแห่งวัตถุแห่งนี้ นั่นแหละเราจึงมีกรรม ไม่ว่าดีหรือเลวเราก็บันทึกมันไว้ในนั้น นี่แหละคือสิ่งที่เราเรียกว่ากรรม กรรมคืออะไร? ก็เป็นเพียงประสบการณ์ ดีหรือเลว ปฏิกิริยาโต้ตอบของเรา ประสบการณ์การเรียนรู้ในหลายๆชาติของเรา และเนื่องจากเรามีสิ่งที่เรียกว่า หิริโอตตัปปะ (ความรู้สึกผิดชอบ) เรารู้ว่าเราควรจะเป็นคนดี และในบางครั้งเราก็กระทำชั่ว ดังนั้นเราจึงเรียกว่าสิ่งนี้ว่ากรรม และสิ่งที่เลวร้ายทั้งหลายก็ถมทับลงมาบนตัวเราเหมือนกับขยะหรือของหนักจำนวนมาก ตามกฏของแรงโน้มถ่วงของโลก มันจะดึงเราให้ต่ำลงและทำให้เรามีความยากลำบากที่จะไต่ภูเขาขึ้นไปใหม่ เข้าใจไหม?

เนื่องจากระเบียบทางด้านศีลธรรมจำนวนมากที่มีอยู่ในโลกนี้, กฎเกณฑ์, วัฒนธรรมประเพณี, ความเคยชินต่างๆ มากมาย ในชนชาติต่างๆ ผูกมัดเราให้ติดอยู่กับแนวความคิดเรื่องความดีความชั่ว เรื่องความผิดและความบริสุทธิ์ต่างๆเหล่านี้ ดังนั้นเมื่อเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับผู้คนในโลกนี้ เราก็มีประสบการณ์ทั้งเรื่องดีและชั่ว ทั้งความผิดและความบริสุทธิ์ ตามวัฒนธรรมความเคยชินของชาตินั้นๆ ตามกฎหมายของชนชาตินั้น เข้าใจไหม? และมันก็กลายเป็นความเคยชินว่าเราจะต้องคิดแบบนั้น ถ้าเราทำสิ่งนี้ เราก็มีความผิด... ถ้าเราทำสิ่งนั้น เราก็เป็นคนเลว และทุกสิ่งทุกอย่างก็จะถูกบันทึกลงในนี้ นี่แหละที่ทำให้เราต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด และยึดตัวเราไว้กับโลกแห่งเนื้อหนังนี้ หรืออาจจะเป็นโลกที่สูงกว่านี้นิดหน่อย แต่ก็ยังไม่สูงพอ เรายังไม่..ไม่.. เรายังไม่เป็นอิสระพอ เรายังไม่เบาพอที่จะลอยอยู่ข้างบน เธอเข้าใจไหม? ก็เนื่องจากความคิดทั้งหลายเหล่านี้...เนื่องจากความคิดที่มีอยู่แต่เดิม

ถ : มันถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าหรือไม่ว่า เราจะขึ้นไปถึงระดับใดระดับหนึ่งในแต่ละชาติที่เราเกิดมา?

อ : เปล่า เรามีอิสระเสรีที่จะวิ่งเร็วหรือช้าก็ได้ ใช่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น รถของเธอ เธอเติมน้ำมันลงไปหนึ่งร้อยลิตร ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าปกติเธอเติมลงไปมากเท่าไร ฉันไม่รู้เรื่องการขับรถ แต่เธออาจจะขับรถเร็วขึ้น และถึงที่หมายได้เร็วขึ้น หรือเธออาจจะขับช้าลงก็ได้ ไม่เป็นไร ขึ้นอยู่กับตัวเธอเอง

อ : ท่านสุภาพบุรุษที่อยู่ตรงประตูถัดไปนะ หรือว่าเธออยากจะพูดต่อ จะพูดอีกหรือเปล่า? ไม่หรือ?

ถ : คือ ฉันเพียงแต่อยากถามท่านว่า..... พวกเทวดานางฟ้านั้น อยู่ในระดับชั้นไหน?

อ : พวกเขาอยู่ระดับไหนน่ะหรือ? โอ! มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาเป็นเทวดาแบบไหนนะ?

ถ : พวกเทวดาอารักษ์

: หืม?

ถ : พวกเทวดาที่ทำหน้าที่คุ้มครองดูแล

อ : โอ พวกเทวดาอารักษ์น่ะหรือ เขาอาจจะไปได้ถึงระดับที่สอง พวกเทวดานั้นต่ำกว่ามนุษย์เรา ศักดิ์ศรีบารมีน้อยกว่า พวกเขามีไว้ก็เพื่อบริการพวกเรา

 

ถ : แล้วพวกเขาไม่เคยขึ้นไปสูงกว่านั้นเลยหรือ?

อ : ไม่เลย! เว้นแต่เวลาที่พวกเขาสามารถกลับมาเป็นมนุษย์เท่านั้น พวกเขาจะอิจฉามนุษย์มาก เพราะว่าพระเจ้าอาศัยอยู่ในมนุษย์ พวกเรามีเครื่องมือทุกชนิดที่จะช่วยให้เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าได้ แต่เทวดาไม่มี มันเป็นเรื่องซับซ้อน ฉันจะคุยให้ฟังวันหลัง โอเค! พวกเขาเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อ ประโยชน์ของพวกเรา มีเทวดาประเภทต่างๆมากมาย ยกตัวอย่างนะเช่น ถ้าสิ่งใดถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า สิ่งนั้นก็มีไว้เพื่อรับใช้เรา เธอเข้าใจไหม และเขาก็ไม่ควรจะ..... เขาไม่จำเป็นต้องขึ้นไปสูงกว่านั้น เข้าใจไหม? แต่เขาก็สามารถขึ้นไปได้ ใช่แล้ว บางครั้ง บางสิ่งบางอย่างก็ถูกสร้างขึ้นมาโดยปราศจากวิธีการอันเหมาะสมที่จะพัฒนาให้ดีขึ้น เธอเข้าใจไหม?

ตัวอย่างเช่น ในบ้านของเธอมีบางสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อความสะดวกสบายของเธอ เข้าใจไหม? ถึงแม้ว่ามันจะวิเศษเลิศเลอมากแค่ไหนก็ตาม เช่น เธอนั่งอยู่ตรงนี้ เธอก็สามารถปิดเปิดไฟได้ทั่วบ้าน ทั่วสวนของเธอ รวมทั้งปิดเปิดทีวีก็ได้ เพราะเธอคิดประดิษฐ์มันขึ้นมาเพื่อตัวเธอเอง แต่มันมีไว้ก็เพื่อบริการตัวเธอเท่านั้น ถึงแม้ว่ามันอาจจะเก่งกว่าเธอในบางแง่ เช่น มันอยู่ตรงนี้ก็สามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งตัวเธอเองทำเช่นนั้นไม่ได้ด้วยลำพังความสามารถของมนุษย์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันดีกว่าเธอ เข้าใจไหม? มันถูกสร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์อย่างเดียว ก็คือเพื่อรับใช้เธอ แม้ว่ามันจะทำงานได้ดีกว่าเธอ แต่มันก็ไม่ได้ดีกว่า โอเค! ถูกต้องไหม มันไม่มีวันเป็นมนุษย์ได้เลย เจ้าคอมพิวเตอร์นั้นนะ โอเค?

ถ : อาจารย์ชิงไห่ครับ ผมอยากทราบว่า.....เนื่องจากตอนนี้เราอยู่ในร่างกาย อาจจะเป็นได้ไหมที่เราหล่นลงมาจากสภาพที่เราเคยหลุดพ้นจากร่างกายนี้มาก่อน? เราอยู่ในสภาพอย่างนี้มาตลอดเลย หรือว่าเราเคยอยู่ในสภาพที่ดีกว่านี้ หรือเพียงแค่อยู่ในสภาพนี้เท่านั้น? ทัศนคติที่ดีหรือการเตรียมการที่ดี เพื่อจะได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วนั้นเป็นอย่างไร?

อ : การที่จะออกจากร่างกายนี้ แล้วก้าวหน้าต่อไป เออ.. ได้ซิ เราสามารถทำได้ถ้าเรารู้วิธี ใช่แล้ว มีวิธีต่างๆหลายวิธีที่จะออกจากร่างกายทิ้งร่างไว้ แล้วขึ้นไปเหนือโลกนี้ บางคนก็ไปได้ไม่ไกล บางคนก็ไปได้ไกลมาก และบางคนก็ไปได้ถึงที่สุด จากการเปรียบเทียบ ซึ่งฉันได้เคยค้นคว้ามาตั้งแต่สมัยที่ฉันยังอายุน้อยอยู่ ถึงแม้ว่าตอนนี้ฉันก็ยังดูอายุน้อยอยู่ก็ตาม แต่ตอนนั้นฉันเป็นเด็กจริงๆ เธอรู้ไหม ธรรมวิถีของเรานี่ดีที่สุด ใช่แล้ว! ไปได้ไกลที่สุด ไปได้ถึงจุดปลายสุดเลย ยังมีธรรมวิถีอื่นๆ อีกหลายอย่าง ถ้าเธออยากจะลองดูว่าเป็นอย่างไร เธอก็เลือกได้ตามความต้องการ มีอยู่มากมายในท้องตลาด บางวิธีก็ไปถึงโลกทิพย์ บางวิธีก็ไปได้ไกลกว่านั้น.... อาจจะถึงระดับชั้นที่ 3 หรือที่ 4 แต่มีไม่มากนักที่จะไปได้ถึงระดับชั้นที่ 5

เพราะฉะนั้น ธรรมวิถีของเรา การปฏิบัติของเราก็เพื่อพาเธอไปถึงระดับชั้นที่ 5 ก่อนที่เราจะปล่อยเธอให้เป็นอิสระ เข้าใจไหม? ปล่อยให้เธอไปตามลำพัง และเหนือระดับนั้นขึ้นไปอีก เราก็จะสามารถเข้าไปใกล้พระเจ้าในอีกแง่มุมที่ต่างออกไป เหนือระดับที่ห้าขึ้นไปน่ะ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเสมอไปหรอกนะ ใช่แล้ว พวกเรามักจะคิดกันว่ายิ่งสูงก็ยิ่งดี แต่ก็ไม่ได้จริงเสมอไปหรอก ตัวอย่างเช่น บางครั้งเราไปยังพระราชวังที่สวยงามแห่งหนึ่งและเราได้รับเชิญให้เข้าไปในห้องนั่งเล่นของอาจารย์ เราก็นั่งอยู่ที่นั่น และไดัรับการบริการด้วยเครื่องดื่มเย็นฉ่ำ อาหารอร่อยและทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วเราก็คิดอยากจะเข้าไปข้างในให้ลึกอีกหน่อย เพื่อจะได้ชมดูได้อะไร และเราอาจจะเดินเข้ามาถึงบริเวณที่ทิ้งขยะ ได้รู้จักสิ่งต่างๆเพิ่มมากขึ้นอีกหลายอย่างภายในตัวบ้าน ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นสิ่งสำคัญเสมอไป จริงไหม? และก็ได้เจอเครื่องจักรสำหรับใช้ปั่นไฟซึ่งอยู่บริเวณหลังบ้าน เลยลึกเข้าไปไกลกว่าตัวบ้าน เราก็อาจจะโดนไฟช็อตตายอยู่ตรงนั้นเอง เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องจำเป็นเสมอไป และไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไปที่จะเข้าไปลึกมากขึ้น แต่เราจะทำเพื่อเป็นการผจญภัยก็ได้

ถ : ท่านอาจารย์ชิงไห่ ข้าพเจ้ามีคำถามอยู่สองข้อ ข้อแรก ความทรงจำในเรื่องเกี่ยวกับอดีตชาตินั้นมาจากโลกไหน ถ้าหากเราสามารถจะมีความทรงจำของชาติก่อนได้ ข้อที่สอง ชีวิตในอดีตชาตินั้นเกี่ยวข้องกับกรรมอย่างไร?

อ : หมายถึงเกี่ยวข้องกับปัจจุบันใช่ไหม? เกี่ยวข้องกับกรรมของเธอน่ะหรือ?

ถ : ที่เกี่ยวกับกรรมในปัจจุบัน และความเข้าใจของเราในปัจจุบัน? มันเป็นสัมภาระส่วนเกินหรือเปล่า?

อ : ใช่ ใช่ มันเกี่ยวข้องกันมาก คำถามแรกก็คือ กรรมในอดีตมาจากไหนกัน?

ถ : ความทรงจำในอดีตชาติ ใช่

อ : เธอสามารถจะอ่านบันทึกชีวิตในอดีตชาติได้ เรื่องนี้แน่นอน และบันทึกของชีวิตในอดีตชาตินี้ ตามที่ฉันบอกแล้วว่ามาจากการบันทึกแบบอะกาชิก และนี่เป็นห้องสมุดชนิดหนึ่งที่อยู่ในโลกที่สอง ซึ่งทุกคนที่สามารถขึ้นไปก็สามารถเข้าไปดูได้ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถมาที่ห้องสมุดขององค์การสหประชาชาติและเข้ามาใช้ได้ แต่ฉันเข้ามาได้ ยกตัวอย่างเช่นในวันนี้ เพราะว่าฉันได้รับเชิญให้มาพูดที่องค์การสหประชาชาติ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเข้ามาข้างในได้ แต่พวกเธอทั้งหลายเข้ามาได้ เพราะว่าพวกเธอทำงานอยู่ที่นี่ ในทำนองเดียวกัน เมื่อเราขึ้นไปถึงโลกที่สอง เราก็สามารถอ่านดูชีวิตในอดีตชาติได้ ใช่แล้ว! และเวลาที่เราขึ้นไปถึงโลกที่หนึ่ง เราก็สามารถรู้บางส่วนของอดีตชาติของใครสักคนหนึ่งได้ แต่การรู้ในระดับโลกที่หนึ่งนี้ยังไม่สูงนัก และไม่รู้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์

ทีนี้ประสบการณ์เกี่ยวกับอดีตชาติเหล่านี้สัมพันธ์กับกรรมในปัจจุบันอย่างไร? เราอาจจะกล่าวได้ว่า มันเป็นประสบการณ์ที่เราใช้เรียนรู้เพื่อจะได้จัดการกับชีวิตในชาตินี้ได้ เธอเข้าใจไหม? สิ่งที่เธอซึมซับมาแล้วในอดีต เธอก็จะนำมาใช้งานได้ในชาตินี้ และในทำนองเดียวกัน ประสบการณ์ที่ไม่น่ายินดีหลายอย่างในอดีตก็จะทำให้เธอหวาดกลัวได้ โดยเฉพาะเมื่อเธอได้เห็นสัญลักษณ์บางอย่างที่คล้ายคลึงกับที่เห็นมาแล้วในชาติก่อนมาก ตัวอย่างเช่น ถ้าชาติที่แล้ว....หรือแม้กระทั่งตอนนี้ก็ได้ เธอเกิดตกบันไดลงมา อาจจะโดยอุบัติเหตุ แล้วเธอรู้สึกเจ็บปวดมาก แถมยังอยู่ในที่มืดๆ ไม่มีใครช่วยเธอเลย ต่อมาเธอต้องเดินลงบันไดอีก เธอก็จะรู้สึกหวาดๆเล็กน้อย โดยเฉพาะถ้าบันไดนั้นชัน และข้างล่างดูมืดๆ เธอจะรู้สึกไม่แน่ใจว่าจะลงไปดีหรือไม่ หรือถ้าชาติที่แล้ว เธอเคยศึกษาและวิจัยลึกลงไปในทางวิทยาศาสตร์บางแขนง มาชาตินี้เธอก็จะยังรู้สึกสนใจอยู่มาก สนใจใน... พูดแล้วลิ้นพันกันจะเป็นภาษาจีน (หัวเราะ) ฉันขอโทษด้วย ภาษาอังกฤษของฉันฟังชัดดีหรือเปล่า? ชัดหรือเปล่า? (ผู้ฟัง : ชัด) โอเค ขอบคุณ

เพราะฉะนั้นเธอก็ยังคงรู้สึกอยู่มาก.... เธอจะรู้สึกถูกดึงให้สนใจในงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ถึงแม้ว่าตอนนี้เธออาจจะยังไม่ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ก็ตาม อะไรทำนองนี้ นี่แหละคือเหตุผลที่ โมสาร์ทจึงเป็นอัจฉริยะได้ตอนที่เขาอายุเพียงสี่ขวบ เขาตรงไปที่เปียโนเลย แล้วก็กลายเป็นผู้มีชื่อเสียงมาจนทุกวันนี้ ใช่ไหม? เขาเป็นอัจฉริยะ ก็เพราะเขาฝึกฝนมาหลายชาติแล้วจนกระทั่งมีฝีมือระดับอาจารย์ หลังจากนั้นเขาก็เสียชีวิตไป เข้าใจไหม? ก่อนที่เขาจะถึงจุดสูงสุดในอาชีพของเขา เขาเกิดตายไป เขายังรู้สึกไม่พอใจที่ต้องจากไป.... จากอาชีพของเขาไป เพราะว่าเขารักดนตรีมาก เขาจึงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง และประสบการณ์ทั้งหมดที่เขาเคยเรียนรู้มาแล้วจากพรสวรรค์ทางด้านดนตรีในอดีตก็กลับมาหาเขาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ก็เพราะ ในตอนที่เขาเสียชีวิต เขามีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะทำสิ่งนี้ต่อไป เข้าใจไหม?

และคนเหล่านี้บางคนก็เรียนหลายสิ่งหลายอย่างมาจากโลกทิพย์ หรืออาจจะจากโลกระดับที่สอง ก่อนที่เขาจะมาเกิดในโลกนี้อีกครั้งหนึ่ง เพราะฉะนั้นเขาจึงมีพรสวรรค์ที่น่าทึ่ง อาจจะทางด้านวิทยาศาสตร์, ดนตรี, หนังสือ หรือการประดิษฐ์สิ่งต่างๆ ซึ่งคนอื่นๆ ไม่มีความรู้ เธอคงเคยเห็น การคิดประดิษฐ์สิ่งแปลกๆที่ประหลาดจนไม่มีใครเข้าใจ และไม่มีใครเคยคิดที่จะประดิษฐ์ของอะไรแบบนั้น โอเค? ก็เพราะว่าเขาเคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน เคยได้เรียนรู้มาแล้ว เพราะฉะนั้น การเรียนรู้จึงมีสองแบบ คือเรียนในโลกนี้ หรือเรียนในโลกที่อยู่เหนือโลกนี้ขึ้นไป พวกที่มีพรสวรรค์และเก่งมากๆ เช่นพวกอัจฉริยะ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญมาจากโลกข้างบน เช่น โลกทิพย์ โลกในระดับที่สอง...... บางครั้งก็จากโลกที่สาม ถ้าหากเขาเลือกที่จะกลับมาใหม่ เข้าใจไหม? พวกนี้เก่งมาก เป็นอัจฉริยะ

ถ : การประทับจิตของท่านต้องทำอะไรบ้าง? และเมื่อได้รับการประทับจิตแล้ว ในแต่ละวันจะต้องทำอะไรบ้าง?

อ : โอเค เรื่องแรกก็คือ ทุกอย่างไม่ต้องเสียเงิน ไม่มีข้อผู้มัดอะไร แต่ว่า เธอจะต้องผูกมัดตัวเธอเอง ถ้าหากเธอต้องการจะเดินหน้าก้าวหน้าต่อไป หืม? เพราะฉะนั้น สรุปก็คือ ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์อะไรมาก่อน ไม่จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับโยคะ หรือการนั่งสมาธิอะไรมาก่อน แต่เธอจะต้องเป็นมังสวิรัติตลอดชีวิต โดยไม่กินไข่ แต่กินนมได้ เนยก็กินได้ อะไรอย่างอื่นที่ไม่มีการฆ่าก็ใช้ได้ สำหรับเรื่องไข่นั้น เนื่องจากมันจะมีการฆ่าครึ่งหนึ่ง ถึงแม้ว่ามันจะเป็น - พูดยังไงดี.... เป็นไข่ที่ยังไม่ได้รับการผสมก็ตาม นอกจากนี้มันยังมีคุณสมบัติในการดึงดูดพลังทางด้านลบ รู้ไหมว่า นี่แหละคือเหตุผลที่ นักเวทย์มนตร์ดำ มนตร์ขาวหลายคน หรือพวกวูดู (voodoo) นั้นชอบใช้ไข่ในการดึงล่อวิญญาณให้ออกจากผู้ที่ถูกผีสิง พวกเธอรู้เรื่องนี้หรือเปล่า? รู้ใช่ไหม? โอ เยี่ยมมาก อย่างน้อยฉันก็มีข้อพิสูจน์ในทันที ถึงแม้จะไม่ใช่การรู้แจ้งทันที สำหรับพวกเธอก็ตาม (คนหัวเราะ)

และหลังจากการประทับจิต.... ในตอนที่ได้รับการประทับจิตนั้น เธอจะได้รับประสบการณ์ทั้งแสงและเสียงของพระเจ้า เป็นดนตรีแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งจะดึงเธอให้ขึ้นสู่ระดับของจิตที่สูงขึ้น เธอจะเข้าใจรสชาติของสมาธิ - ซึ่งเป็นความสุข เป็นความสงบสุขอันลึกซึ้ง ใช่แล้ว และหลังจากนั้นเธอก็ไปปฏิบัติต่อที่บ้าน ถ้าเธอเอาจริงเอาจังในเรื่องนี้ แต่ถ้าเธอไม่สนใจจริงจัง ฉันก็ไม่สามารถจะผลักดันเธอได้ ฉันไม่สามารถจะไปยุ่งอะไรกับเธอได้อีกต่อไป ถ้าเธอปฏิบัติต่อไป และต้องการให้ฉันช่วยจนรอดตลอดรอดฝั่ง ฉันก็จะช่วยต่อไป แต่ถ้าเธอไม่ต้องการก็.....

นี่แหละคือแนวทาง และจะต้องนั่งสมาธิวันละสองชั่วโมง โดยตื่นแต่เช้าๆในช่วงเช้า รวมกับก่อนที่เธอจะนอน ก็นั่งสมาธิสักสองชั่วโมง แล้วอาจจะนั่งตอนเวลาอาหารกลางวันสักครึ่งชั่วโมง ตอนที่ฉันไม่มาพูดอยู่ที่นี่ เธอมีเวลาช่วงอาหารกลางวันหนึ่งชั่วโมง เธออาจจะหลบอยู่ที่ไหนสักแห่งและนั่งสมาธิไป แค่นี้ก็ได้หนึ่งชั่วโมง จริงไหม? และในตอนเย็นก็นั่งอีกหนึ่งชั่วโมง หรือครึ่งชั่วโมง ในตอนเช้าก็ลุกขึ้นมาเร็วกว่าปกติสักหนึ่งชั่วโมง จัดระเบียบชีวิตของเธอมากขึ้นหน่อย ดูทีวีให้น้อยลง พูดคุยซุบซิบนินทาให้น้อยลง คุยโทรศัพท์ให้น้อยลง อ่านหนังสือพิมพ์น้อยลง เธอก็จะมีเวลาอีกมากมายนะ จริงๆ แล้วเรามีเวลามาก แต่บางครั้งเราใช้เวลาของเราให้หมดไปโดยเปล่าประโยชน์ ก็เหมือนกับรถของเรามาวิ่งอยู่ในสนามหลังบ้านแทนที่จะใช้วิ่งไป Long Island

เธอพอใจกับคำตอบนี้แล้วหรือยัง? ไม่มีอะไรอีกแล้ว ไม่มีเงื่อนไขอะไร ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ นอกจากว่าเธอต้องตั้งใจบำเพ็ญปฏิบัติเช่นนี้ไปตลอดชีวิต และทุกๆวัน เธอก็จะพบกับการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่ดีขึ้น จะมีสิ่งมหัศจรรย์หลายอย่างเกิดขึ้นในชีวิตของเธอ ไม่ใช่เพราะว่าเธอปรารถนาอยากจะได้มันหรอกนะ แต่มันก็จะเกิดขึ้นกับเธออยู่ดี เข้าใจไหม? แล้วเธอก็จะมีประสบการณ์อันแท้จริงว่าสวรรค์นั้นเป็นอย่างไรในขณะที่อยู่บนโลกนี้ ถ้าเธอมีความจริงจังในเรื่องนี้จริงๆ นี่แหละลูกศิษย์ของเราหลายแสนคนจึงยังคงยึดมั่นอยู่ ยังคงบำเพ็ญปฏิบัติอยู่กับฉันมานานหลายปีแล้ว เพราะว่าพวกเขาได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นๆ เพราะว่าพวกเขาเอาจริงเอาจังกับการบำเพ็ญ และพวกเขาปฏิบัติกันจริง

อ : หืม ได้ เชิญได้ข้างหน้านี้ หรือข้างหลังทางขวา เชิญท่านสุภาพบุรุษก่อน (อาจารย์หัวเราะ)

ถ : กรุณาอธิบาย ธรรมชาติของจิตสำนึก

อ : ธรรมชาติของจิตสำนึก โอเค อธิบายยากหน่อย แต่เธออาจจะลองใช้สติปัญญาของเธอนึกภาพเอา มันเป็นปัญญาชนิดหนึ่ง คล้ายกับเธอรู้จักอะไรบางอย่างดีขึ้นกว่าที่เธอเคยรู้ก่อนหน้านี้ เธอรู้อะไรบางอย่างซึ่งอยู่เหนือโลกนี้ และเธอก็รู้บางสิ่งบางอย่างในโลกนี้ ซึ่งเธอไม่เคยรู้มาก่อน และเธอเข้าใจหลายสิ่งหลายอย่าง ซึ่งเธอไม่เข้าใจหรือไม่เคยเข้าใจมาก่อน นี่แหละคือจิตสำนึก นอกจากนี้ เมื่อเธอเปิดจิตสำนึกนี้หรือที่เรียกว่าปัญญานี้ เธอก็จะเข้าใจอย่างแท้จริงว่าเธอเป็นใคร และทำไมเธอจึงมาอยู่ที่นี่ มีอะไรอย่างอื่นอีกในโลกที่อยู่เหนือโลกนี้ มีใครอื่นบ้างที่ไม่ใช่ประชากรของโลกนี้ เข้าใจไหม? ยังมีสิ่งต่างๆอีกมากมาย เพราะฉะนั้น ระดับของจิตสำนึกก็คือทำนองระดับต่างๆ ของความเข้าใจ ก็เหมือนกับการจบการศึกษาในวิทยาลัย ยิ่งเธอเรียนมากขึ้น เธอก็ยิ่งรู้มากขึ้น จนกระทั่งเรียนจบ เธอพอใจคำตอบนี้ไหม?

เป็นเรื่องยากที่จะอธิบายอะไรที่เป็นนามธรรมแต่ฉันก็พยายามแล้ว  มันเป็นเหมือนกับการรู้ชนิดหนึ่ง เข้าใจไหม เป็นเรื่องยากที่จะอธิบายเรื่องการรู้ เมื่อเธอไปถึงระดับของจิตสำนึกที่ต่างไป, ไปถึงระดับที่สูงขึ้น การรู้ของเธอก็จะต่างจากเดิม เธอจะรู้อะไรต่างไปจากเดิม มีความรู้สึกต่างไป เธอจะรู้สึกว่ามีสันติ มีความสงบ และความสุขอย่างที่สุด ไม่มีความกังวล และทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตประจำวันของเธอก็จะกระจ่างสำหรับตัวเธอ เธอจะรู้วิธีจัดการกับสิ่งต่างๆ รู้วิธีแก้ปัญหาได้ดีขึ้น แม้แต่ในระดับเนื้อหนังมันก็ยังเกิดประโยชน์แล้วเลย และภายในตัวเธอก็มีแต่เธอเท่านั้นที่จะรู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร เป็นเรื่องยากที่จะอธิบายสิ่งเหล่านี้ ก็เหมือนกับเธอแต่งงานกับผู้หญิงที่เธอรัก เธอรู้สึกอย่างไรล่ะ มีแต่เธอเท่านั้นที่รู้ ใช่ไหม? ไม่มีใครที่ไหนจะมารู้สึกแทนเธอได้

ถ : ท่านอาจารย์ผู้มีเกียรติ ขอขอบคุณที่ได้ให้ความกระจ่างแก่พวกเรา ไม่ทราบว่าท่านจะอยากตอบข้อข้องใจของผมหรือไม่ว่า ทำไมทุกวันนี้จึงมีอาจารย์มากมายอยู่ในโลกนี้ ซึ่งช่วยให้พวกเราได้มีโอกาสเรียนรู้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ในอดีตมันกลับเป็นเรื่องที่ยากยิ่งนัก? ท่านจะสามารถตอบเรื่องนี้ได้หรือไม่?

อ : ได้ซิ เป็นเพราะว่าในยุคของเรานี้ การติดต่อสื่อสารดีขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นเราจึงรู้เรื่องราวเกี่ยวกับอาจารย์ต่างๆดีกว่าแต่ก่อน ไม่ใช่ว่าในอดีตไม่มีอาจารย์อยู่ หรือว่าไม่สามารถเข้าถึงอาจารย์ได้ แน่นอน มันก็จริงที่อาจารย์บางท่านสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าท่านอื่นๆ มันขึ้นอยู่กับตัวท่านว่าจะเลือกแบบไหน ท่านเต็มใจที่จะให้หรือไม่ รวมทั้งเกี่ยวกับเรื่องบุญสัมพันธ์ของท่านที่มีต่อคนส่วนใหญ่ แม้กระนั้นก็ตาม ทุกยุคทุกสมัย จะมีอาจารย์อยู่หนึ่ง, สอง, สาม, สี่ หรือห้าคนเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าในช่วงนั้นมีความต้องการมากน้อยเพียงใด ที่พวกเรารู้ว่ามีอาจารย์มากมายหลายท่าน ซึ่งอาจจะมีระดับแตกต่างกันไปนี้ ก็เพราะในยุคนี้พวกเราโชคดีที่มีสื่อมวลชน มีทีวี มีการกระจายเสียงทางวิทยุ รวมทั้งหนังสือต่างๆ ซึ่งเราพิมพ์ออกมาได้หลายล้าน หลายพันล้านเล่มภายในเวลาอันรวดเร็ว

ในสมัยก่อน ถ้าเราต้องการจะทำหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่ง เราก็ต้องโค่นต้นไม้ทั้งต้นลงมาก่อน แล้วก็ใช้ขวานหรือเครื่องมือที่ล้าหลังบางอย่างซึ่งเดี๋ยวก็เสีย เดี๋ยวก็ใช้ไม่ได้ มาสับมาตัดมันออกมาและยังต้องเอามาขัดแต่งด้วยหิน และอะไรต่างๆ อีกมากมาย แล้วค่อยๆ มาแกะสลักทีละคำ ถ้าเธอต้องการจะส่งคัมภีร์ไบเบิลชุดหนึ่ง ก็ต้องใช้รถทั้งขบวน เธอเข้าใจไหม? ต้องใช้รถบรรทุกขนาดใหญ่หลายคัน ถ้าสมัยนั้นเธอมีรถบรรทุกนะ เพราะฉะนั้นสมัยนี้พวกเราจึงรู้จักอาจารย์หลายท่าน เข้าใจไหม? จึงเป็นโชคดี เป็นเรื่องที่ดีมากที่เธอมี... เธอสามารถจะเลือกดูเหมือนกับหาซื้อของตามร้านได้ตามที่เธอต้องการ เพราะฉะนั้นไม่มีใครจะมาหลอกเธอ และบอกว่า “ฉันดีที่สุด” เธอสามารถเปรียบเทียบ และใช้ปัญญาของเธอ ใช้สติปัญญาของเธอตัดสินว่า “โอ, คนนี้ดีกว่า” หรือ “ฉันชอบคนนี้มากกว่า” “คนนี้หน้าตาไม่ได้เรื่อง” “โอ, คนนั้น หน้าตาน่าเกลียด” (คนหัวเราะ)

ถ : เพราะฉะนั้น คำถามที่ตามมาก็คือ เนื่องจากท่านกล่าวถึงการเลือกหาอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นท่านคิดว่าจะพิจารณาที่จะประทับจิตให้แก่ผู้ที่เคยได้รับการประทับจิตจากอาจารย์ท่านอื่นหรือไม่?

อ : ฉันจะทำให้ก็ต่อเมื่อ บุคคลนั้นเชื่อมั่นอย่างแท้จริงว่า ฉันสามารถจะพาเขาขึ้นไปสู่ระดับที่สูงกว่าและเร็วกว่า มิฉะนั้นแล้ว ก็อยู่กับอาจารย์คนเดิมของเขาไปจะดีกว่า ถ้าหากเขายังคงยึดติดและมีความเชื่อในอาจารย์ท่านนั้นอยู่มาก ถ้าเธอเชื่อว่าอาจารย์ของเธอดีที่สุดแล้ว ก็อย่าเปลี่ยน แต่ถ้าเธอยังสงสัยอยู่ และถ้าเธอยังไม่ได้รับแสงและเสียงอย่างที่ฉันกล่าวไป เธอก็ควรมาลองดู เพราะว่าแสงและเสียงนั้นเป็นการวัดที่เป็นมาตรฐานสำหรับผู้ที่เป็นอาจารย์แท้จริง ถ้าผู้ใดไม่สามารถถ่ายทอดแสงหรือเสียงให้แก่เธอได้ในทันที ผู้นั้นก็มิใช่อาจารย์ที่แท้จริง ฉันเสียใจด้วยที่ต้องพูดอย่างนี้ หนทางที่มุ่งสู่สวรรค์มีแสงและเสียงเป็นอุปกรณ์

ก็เหมือนกับเธอไปดำน้ำในทะเล เธอก็ต้องมีอุปกรณ์เช่นหน้ากากออกซิเจน และอะไรต่างๆ สิ่งต่างๆ ก็มีวัตถุประสงค์แตกต่างกันไป โอเค? นี่คือเหตุผลที่ทำไมเธอจึงเห็นนักบุญทุกท่านมีรัศมีทรงกลดอยู่บนศีรษะ ซึ่งก็คือแสงนั่นเอง เมื่อเธอบำเพ็ญธรรมวิถีนี้ เธอก็จะเปล่งแสงชนิดเดียวกับที่พวกเขาวาดไว้ในรูปของพระเยซู และผู้คนก็สามารถเห็นมันได้ ถ้าคนนั้นมีพลังจิต เขาก็จะเห็นแสงของเธอ เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงวาดรูปพระเยซูมีรัศมีแสงและวาดรูปพระพุทธเจ้ามีแสงอยู่รอบตัว เธอจะสามารถเห็นบุคคลที่บำเพ็ญธรรมในระดับสูงมีแสงดังกล่าวนี้ ถ้าเธอได้รับการเปิดออก (อาจารย์ชี้ที่หน้าผากของตัวท่าน) มีหลายคนที่สามารถเห็นได้ มีใครเคยเห็นบ้างไหม ที่อยู่ที่นี่น่ะ? เธอหรือ? เธอเห็นอะไร?

ถ : ฉันสามารถเห็นแสง ออร่า, ออร่า.....

อ : อย่างนั้นหรือ แต่แสงออร่าแตกต่างจากแสงที่ฉันพูดถึงนี้ แสงออร่ามีสีต่างๆกัน บางครั้งก็สีดำ บางทีสีกาแฟ บางครั้งก็สีเหลือง หรือแดง ขึ้นอยู่กับภาวะอารมณ์ของเขาในขณะนั้น แต่เมื่อเธอเห็นคนที่มีแสงออร่าทางจิตวิญญาณอันแรงกล้า เธอก็จะรู้ว่ามันแตกต่างกัน ถูกไหม? ใช่แล้ว

ถ : ฉันไม่มีคำถามอะไรหรอก เพียงแต่.....ฉันเคยทำราชาโยคะอยู่ระยะหนึ่ง

อ : ราชาโยคะ หรือ

: ฉันคิดว่าฉันเห็นแสงออร่าด้วย ฉันหมายถึงว่าในช่วงนั้น ตอนนั้นฉันยังไม่มีความรู้มากนัก

อ : เข้าใจ

ถ : ไม่มีความเข้าใจอะไรนัก

อ : แล้วตอนนี้เธอไม่เห็นหรือ? เธอเห็นเฉพาะบางครั้งเท่านั้นหรือ?

ถ : เปล่า ตอนนี้ฉันไม่ได้นั่งสมาธิแล้ว

อ : โอ นี่แหละที่ทำให้เธอสูญเสียพลังของเธอไป เธอควรจะนั่งสมาธิอีกนะ หือ?

ถ : ใช่แล้ว

อ : ถ้าเธอยังเชื่อมั่นในหนทางนั้นอยู่ เธอก็ควรนั่งสมาธิ มันจะช่วยเธอได้บ้าง ไม่มีอันตรายอะไร

ถ : ฉันเห็นในแผ่นพับของท่านว่า มีศีลอยู่ห้าข้อ เมื่อได้รับการประทับจิตแล้ว เราจะต้องดำเนินชีวิตตามแนวทางของศีลทั้งห้าข้อนี้หรือไม่?

อ : ใช่ ใช่ ใช่ นี่เป็นกฎของจักรวาล

 

ถ : ฉันไม่เข้าใจ เรื่องการประพฤติผิดทางกาม

อ : มันหมายความว่า ถ้าเธอมีสามีอยู่แล้ว ก็อย่าคิดที่จะมีคนที่สองอีก

ถ : โอเค (ผู้ฟังหัวเราะ)

อ : ง่ายมาก ทำชีวิตของเธอให้เรียบง่ายมากขึ้น อย่าให้มีเรื่องยุ่งยากวุ่นวายขึ้น หรือเกิดการทะเลาะเบาะแว้งจากอารมณ์ต่างๆ ใช่แล้ว มันจะเป็นสาเหตุให้มีการทำร้ายความรู้สึกของผู้อื่น เราจะไม่ทำร้ายใคร แม้จะเป็นเพียงแค่ความรู้สึกก็ตาม นี่แหละคือสิ่งนี้ เราพยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง หลีกเลี่ยงความทุกข์ ทั้งทางด้านอารมณ์ ทางด้านร่างกายและจิตใจ ที่จะเกิดแก่ทุกๆคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่เรารัก เท่านั้นแหละ ตกลงไหม?

ถ้าหากเธอเกิดมีผู้ชายอีกคนหนึ่งไปแล้ว ก็อย่าไปบอกให้สามีของเธอรู้ เพราะมันจะทำให้เขาเจ็บปวดมากขึ้นถ้าเธอบอก พยายามค่อยๆ แก้ปัญหาไปอย่างเงียบๆ อย่าไปสารภาพผิดกับเขา เพราะบางครั้งเวลาที่คนนอกใจคู่รักของตน เขาก็กลับมาบ้าน และมาสารภาพผิดกับภรรยาหรือสามีของเขา การทำแบบนี้เป็นสิ่งที่ฉลาดมากและซื่อสัตย์มาก แต่ไร้สาระสิ้นดี ไม่ได้เรื่องเลย เธอทำความผิดแล้วทำไมยังต้องนำขยะกลับมาบ้านให้คนอื่นเขาชื่นชมมันด้วย? ถ้าเขาไม่รู้เรื่อง เขาก็จะไม่รู้สึกแย่อะไรมาก เธอเข้าใจไหม? การรู้ความจริงทำให้เกิดความเจ็บปวดหัวใจ เพราะฉะนั้น เราจงพยายามแก้ปัญหานั้น และอย่าทำมันอีก เท่านั้นแหละ อย่าไปพูดเรื่องนี้กับคู่ของเราจะดีกว่า เพราะมันจะเป็นการทำร้ายจิตใจเขา ทำร้ายจิตใจคู่รักของเรา

ถ : ฉันสังเกตว่า ธรรมาจารย์หลายท่านเป็นผู้ที่มีอารมณ์ขันมาก การบำเพ็ญมีอะไรเกี่ยวข้องกับอารมณ์ขันหรือไม่?

อ : อ๋อ, เข้าใจละ ฉันเดาว่าพวกเขาคงรู้สึกมีความสุขและผ่อนคลาย รู้สึกสบายใจในทุกๆเรื่อง สามารถจะหัวเราะขำตัวเอง, ขำคนอื่น ขำเรื่องบ้าๆบอที่เกิดขึ้นในชีวิตนี้ ซึ่งคนจำนวนมากยึดติดกับมันอย่างหนัก และเอาจริงเอาจังอะไรกับมันมากเหลือเกิน หลังจากเราบำเพ็ญไปสักระยะหนึ่ง เราจะปล่อยวาง เราจะไม่รู้สึกจริงจังอะไรกับชีวิตอีกต่อไป ถ้าเราจะต้องตายในวันพรุ่งนี้ เราก็ตาย ถ้าเรายังมีชีวิต เราก็มีชีวิตไป ถ้าเราสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง เราก็สูญเสียไป ถ้าเรามีทุกสิ่งทุกอย่าง เราก็มีมันไป ใช่แล้ว เรามีปัญญาและความสามารถเพียงพอหลังจากการรู้แจ้งที่เราจะสามารถดูแลจัดการตัวเราเองได้ในทุกสถานการณ์

ดังนั้นเราจึงไม่กลัวอะไรเลย ความกลัวและความวิตกกังวลจะหมดไป เราจึงรู้สึกผ่อนคลาย ไม่ยึดติดกับโลกนี้ เราจะได้อะไรหรือเสียอะไรก็ไม่ได้มีความหมายอะไรมากนักอีกต่อไป ถ้าเราได้รับสิ่งต่างๆมามาก มันก็เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆเท่านั้น เราก็จะแจกจ่ายให้ไปและทำให้เกิดประโยชน์ต่อบุคคลที่เรารัก เราไม่รู้สึกว่าตัวเราหรือชีวิตของเรามีความสำคัญมากจนต้องดิ้นรนต่อสู้และลำบากลำบนเพื่อพยายามรักษามันเอาไว้ ถ้าเรารักษามันไว้ได้ ก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องนั่งอยู่บนแท่นหรือนั่งอยู่บนเตียงตะปูแล้วทำสมาธิทั้งวัน เรายังทำงานด้วย เธอเข้าใจไหม?

ยกตัวอย่างเช่น ฉันก็ยังทำงานนะ! ฉันวาดภาพ ทำงานฝีมือเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ เพราะฉะนั้นฉันจึงไม่ต้องการรับเงินบริจาคจากใคร เงินที่ฉันหามายังมากพอที่จะช่วยคนอื่นได้อีก ฉันสามารถช่วยผู้ลี้ภัย ผู้ประสบภัย อะไรต่างๆ ทำไมเราถึงไม่ควรจะทำงานล่ะ? ก็เรามีพรสวรรค์และความสามารถต่างๆมากมาย และภายหลังการรู้แจ้ง ชีวิตของเราก็ง่ายมาก เราจะรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรอีกแล้ว เธอเข้าใจไหม? เราจะผ่อนคลายไปเองตามธรรมชาติ นี่แหละจึงทำให้เรามีอารมณ์ขัน ฉันคิดว่าเป็นแบบนี้แหละนะฮึ? พวกเธอคิดว่าฉันมีอารมณ์ขันหรือ? (ผู้ฟัง : ใช่) (คนหัวเราะและปรบมือ) ใช่แล้ว (อาจารย์หัวเราะ) ถ้าอย่างนั้น...ก็แสดงว่าฉันคงต้องเป็นอาจารย์แบบใดแบบหนึ่งแน่ๆ หือ? (คนหัวเราะ) โอเค (อาจารย์หัวเราะ) หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้นนะ เพื่อประโยชน์ของพวกเธอๆ จะได้ไม่มานั่งฟังคนที่ไม่รู้แจ้งนานถึง 2 ชั่วโมง เสียเวลาเปล่าๆ โอเค มีคำถามอะไรอีกไหม?

ถ : ท่านอาจารย์ชิงไห่ มีคำถามมากมายท่วมหัวของฉันเต็มไปหมด ฉันจะพูดออกมาให้หมดเลย แล้วท่านอาจจะเลือกตอบบางข้อ หรือจะไม่ตอบเลยก็ได้

อ : โอเค ร้อยแปดปัญหาเลยหรือไง

ถ : มันเป็นคำถามซึ่งพวกเราซึ่งเป็นผู้แสวงหาธรรมมักจะถามกันอยู่เสมอ แล้วเราก็มีทฤษฎีหรือเรื่องราวอะไรต่างๆมากมาย ฉันเพียงแต่อยากจะได้ยินว่าท่านจะพูดถึงเรื่องเหล่านี้อย่างไร คำถามแรกก็คือ “พวกเราเป็นใคร? ฉันเป็นใคร? ทำไมฉันจึงเข้ามาอยู่ในสภาวะการณ์อันลำบากแสนเข็ญ เพื่อที่ฉันจะต้องกลับไปบ้าน?” ท่านรู้ไหมว่า ฉันจากบ้านมาได้อย่างไร และทำไมการ กลับบ้านจึงเป็นเรื่องสำคัญนัก? และท่านได้กล่าวถึงการกลับไปสู่โลกที่ห้า และยังบอกว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญจำเป็นเลยที่จะไปไกลกว่านั้น แต่ถ้ายังมีอาณาจักรที่สูงกว่านั้น วัตถุประสงค์ของมันคืออะไรล่ะ? มันเกี่ยวข้องอะไรกับตัวฉัน หากฉันไม่จำเป็นจะต้องกลับไปที่นั่น? คำถามอะไรประเภทนี้แหละ

อ : โอเค เอาทีละคำถามนะ โอเค ฉันคิดว่าฉันจะตอบคำถามกลุ่มนี้ก่อน กลุ่มแรกนี้ก็คือ “เธอเป็นใคร? ทำไมเธอจึงมาอยู่ที่นี่ และทำไมเธอจึงต้องกลับบ้าน? และทำไมต้องโลกที่ห้า ไม่ใช่โลกที่หก? ใช่ไหม? ง่ายมาก มันเริ่มจะน่าขำอีกแล้วซิ (คนหัวเราะและปรบมือ) โอเค เกี่ยวกับคำถามที่ว่า “ฉันเป็น ใคร?” เธอสามารถจะไปถามอาจารย์ทางเซ็นได้ ซึ่งมีอยู่เยอะแยะในรัฐ นิวยอร์กนี้ เธอสามารถเปิดหาจากสมุดโทรศัพท์หน้าเหลือง แล้วเธอก็จะเจอเอง (คนหัวเราะ) ฉันไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้

ข้อที่ 2 “ทำไมเธอจึงมาอยู่ที่นี่?” บางทีอาจเป็นเพราะเธอชอบอยู่ที่นี่ก็ได้นะฮึ? ไม่อย่างนั้นแล้ว ใครจะมาบังคับให้เรามาอยู่ที่นี่ได้ เพราะเราเป็นบุตรของพระเจ้า ลูกของพระเจ้านั้นก็เหมือนๆกับตัวพระเจ้าเอง ไม่ใช่หรือ? เจ้าชายก็คล้ายๆกับกษัตริย์ จริงไหม? ในบางแง่ คือคล้ายกับกษัตริย์ไม่มากก็น้อย หรือคือกษัตริย์ในอนาคตนั่นเอง เพราะฉะนั้น ต่อเมื่อเขาชอบอยู่ที่ไหนสักแห่ง เขาก็จะอยู่ที่นั่น หือ? อย่างไรก็ดี พวกเรามีอิสระเสรีที่จะเลือกอยู่ในสวรรค์หรืออยู่ที่อื่น เพื่อตัวเราจะได้มีประสบการณ์ เธออาจจะเลือกมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก หลายยุคหลายสมัยมาแล้ว เพื่อจะได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง ได้ผจญภัยมากขึ้น ได้มีอะไรตื่นเต้นน่ากลัวบ้าง คนบางคนก็ชอบมีประสบการณ์ที่น่ากลัว รู้ไหม

ยกตัวอย่างเช่น.... เจ้าชายองค์หนึ่ง อาจจะอยู่ในพระราชวังก็ได้ แต่ก็อาจจะท่องเที่ยวไปในป่าดงก็ได้ เพราะว่าพระองค์ชอบสำรวจธรรมชาติ อาจจะเป็นได้ที่เราเกิดความเบื่อ เบื่อสวรรค์เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีอยู่พร้อมมูล และมีบริการถึงหน้าประตูพระราชวังของเรา เราก็เลยอยากทำอะไรเองบ้าง ก็เหมือนกับครอบครัวของกษัตริย์ บางครั้งก็อยากจะปรุงอาหารเอง ไม่ต้องการให้มีคนรับใช้คอยอยู่ใกล้ๆ แล้วก็อาจจะทำซอสมะเขือเทศหกเลอะเสื้อผ้า หรือทำน้ำมันหกกระเด็นไปทั่ว แต่พวกเขาก็ชอบที่จะให้เป็นแบบนั้น อาจจะดูไม่เหมือนกับเจ้าชาย แต่ก็ชอบแบบนั้น ใช่แล้ว ใช่ ใช่

ยกตัวอย่างเช่น ฉันก็มีคนขับรถให้ ไม่ว่าฉันจะไปไหนก็มีคนชอบเป็นคนขับรถให้ฉัน แต่บางครั้งฉันก็อยากจะขับรถเอง ฉันขับรถสามล้อเล็กๆ ซึ่งไม่มีควันเป็นรถไฟฟ้าวิ่งได้ 10 ไมล์ต่อชั่วโมง อ้อไม่ใช่ 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ฉันชอบไปไหนๆ แบบนั้น เพราะว่าทุกๆแห่งที่ฉันไป ผู้คนคอยจ้องมองอยู่ตลอดเวลา บางครั้งฉันจึงอยากไปในที่ซึ่งไม่มีใครรู้จัก ฉันเป็นคนขี้อายมาก ยกเว้นแต่ตอนที่ฉันต้องแสดงปาฐกถา เพราะว่ามันกลายเป็นหน้าที่ของฉันไปแล้ว หลังจากที่คนไปขุดฉันออกมา และทำให้ฉันมีชื่อเสียงขึ้นมาจนทุกวันนี้ ฉันไม่สามารถจะหลบหลีกสิ่งนี้ได้บ่อยนัก แต่บางครั้งฉันก็หนีเหมือนกัน รู้ไหม ฉันหลบหายไป 2-3 เดือน ก็คล้ายๆ กับภรรยาที่ถูกประคบประหงมซึ่งหนีสามีไป ฉะนั้นมันก็เป็นทางเลือกของฉัน เข้าใจไหม

เพราะฉะนั้นบางทีเธออาจจะเลือกมาอยู่ที่นี่สักพักหนึ่ง และบางทีตอนนี้เป็นเวลาที่เธออยากจะกลับไปแล้ว เพราะเธอได้เรียนรู้โลกนี้มากพอแล้ว และเธอรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่เธออยากจะเรียนรู้อีกแล้ว เธอเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง และอยากจะพักผ่อน กลับไปพักผ่อนที่บ้านก่อน แล้วดูซิว่า เธอยังอยากจะกลับมาเดินทางผจญภัยใหม่อีกหรือเปล่า โอเค? ตอนนี้ฉันก็พูดได้เพียงแค่นี้ และทำไมเธอจึงต้องกลับบ้าน? ทำไมต้องโลกที่ 5 ไม่ใช่โลกที่ 6 ? เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับเธอ หลังจากถึงระดับชั้นที่ 5 แล้ว เธอสามารถไปไหนก็ได้ตามที่เธอต้องการ ยังมีระดับที่สูงกว่านั้นอีกมาก เธอเข้าใจไหม?

เพียงแต่ว่า การอยู่ที่ระดับที่ 5 นี้จะรู้สึกสบายกว่า เป็นกลางๆ มากกว่า ถ้าขึ้นไปสูงกว่านั้น จะมีพลังแรงมากเกินไป อาจจะเป็นแบบนั้น เธออาจจะอยู่ได้สักพักหนึ่ง แต่บางทีเธอก็ไม่อยากจะพักผ่อนอยู่ที่นั่น ยกตัวอย่างเช่น บ้านของเธอสวยงามมาก แต่บางส่วนของบ้านเป็นห้องน้ำ เธอก็ไม่อยากจะอยู่ในห้องน้ำตลอดไปหรอก ถึงแม้ว่า ห้องน้ำจะอยู่ลึกเข้าไปในตัวบ้านก็ตาม เหมือนกับเวลาขึ้นไปบนเนินเขา ยิ่งสูงขึ้นไปเท่าไร ก็ยิ่งสวยมากขึ้น แต่มันก็ไม่ใช่ที่สำหรับอยู่พักผ่อน หรือในบริเวณบ้านของเธอมีเครื่องปั่นไฟอยู่ตรงไหนสักแห่ง ซึ่งเสียงดังหนวกหู ทั้งร้อนและอันตรายด้วย เพราะฉะนั้นเธอก็คงไม่อยากอยู่ที่นั้น ถึงแม้ว่ามันจะมีประโยชน์ต่อบ้านของเธอมากก็ตาม เข้าใจไหม? ก็เท่านั้นแหละ

มีแง่มุมที่เกี่ยวกับพระเจ้ามากมายซึ่งเราไม่สามารถจะจินตนาการได้ เราคิดกันอยู่เสมอว่ายิ่งเราขึ้นไปสูงมากเท่าไร ก็จะยิ่งมีความรักมากขึ้น แต่ความรักก็มีหลายแบบแตกต่างกัน มีความรักที่ดุเดือด ความรักที่รุนแรง ความรักแบบเบาๆ ความรักแบบกลางๆ เพราะฉะนั้น จึงขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถทนได้แค่ไหน พระเจ้าจะให้ความรักแก่เราในระดับต่างๆกัน ในระดับชั้นที่ต่างกันก็มีความรักจากพระเจ้าในระดับแตกต่างกัน โอเค? แต่บางครั้งมันก็แรงเกินไป เราจะรู้สึก..... เราจะรู้สึกว่าเราถูกฉีกเป็นริ้ว

ถ : สวัสดีครับ ท่านอาจารย์ ผมเห็นมีการทำลายสิ่งต่างๆ อยู่มากมายรอบตัว โดยเฉพาะการทำลายสภาพแวดล้อม

อ : เป็นความจริง

ถ : มีความโหดร้ายทารุณ ความโหดร้ายต่อสัตว์

อ : มันเป็นความจริง

ถ : ผมสงสัยว่าท่านรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ และท่านจะแนะนำอะไรให้แก่ผู้ที่กำลังพยายามปลดปล่อยตนเองจากโลกนี้ด้วยการบำเพ็ญธรรม เพื่อจะช่วยให้พวกเขาจัดการกับสิ่งต่างๆรอบตัว จัดการกับความเสียหายต่างๆที่กำลังเกิดขึ้นอยู่รอบตัวเขา และท่านคิดว่าการขึ้นไปเหนือโลกนี้เป็นการเพียงพอแล้วหรือสำหรับเราที่จะรู้จักสิ่งที่เราทิ้งไว้เบื้องหลัง หรือว่า ท่านรู้สึกว่าพวกเราที่อยู่ในระดับชั้นนี้มีหน้าที่ต้องพยายามช่วยบรรเทาทุกข์ต่างๆให้เบาบางลงและการทำเช่นนั้นจะเกิดประโยชน์อะไรหรือไม่?

อ : เกิดประโยชน์ซิ เกิดแน่ อย่างน้อยก็สำหรับตัวเรา สำหรับจิตสำนึกของเรา เพื่อให้เรารู้สึกว่าเรากำลังทำอะไรบางอย่าง, รู้ว่าเราได้พยายามอย่างดีที่สุดแล้ว ในการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเพื่อนมนุษย์ ฉันเองก็ทำเหมือนกัน ไม่ว่าเธอขออะไร ฉันก็ทำ ฉันเคยทำมาแล้ว กำลังทำอยู่ และจะทำต่อไป ฉันบอกเธอแล้วว่า เราบริจาคเงินช่วยเหลือองค์กรต่างๆหลายแห่ง บางครั้งก็ส่งไปช่วยประเทศต่างๆเมื่อเกิดภัยพิบัติ ฉันไม่อยากจะพูดโอ้อวดอะไรในเรื่องพวกนี้ แต่ที่พูดก็เพราะเธอถาม.... ยกตัวอย่างเช่น เราช่วยประเทศฟิลิปปินส์เมื่อปีกลาย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากที่ภูเขาไฟปินาตูโบระเบิด เราช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในเอาแลคและประเทศจีน ฯลฯ และตอนนี้เราก็กำลังพยายามช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวเอาแลค เพื่อแบ่งเบาภาระขององค์การสหประชาชาติ เธอเข้าใจไหม ถ้าองค์การสหประชาชาติต้องการให้เราช่วย แต่เราก็กำลังพยายามอยู่ เข้าใจหรือยัง? เราช่วยเหลือพวกเขาด้านการเงิน และเรายังสามารถอพยพพวกเขาไปอยู่ที่ใหม่ ถ้าองค์การสหประชาชาติยอมให้ทำนะ ด้วยความกรุณาขององค์การสหประชาชาติ เข้าใจไหม? เพราะฉะนั้นเราทำทุกอย่างที่เธอได้ร้องขอมา

นอกจากนี้ เนื่องจากว่าพวกเราอยู่ที่นี่ เราก็อาจจะช่วยทำความสะอาดสภาพแวดล้อมให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถ เพราะฉะนั้น เราจึงช่วยเหลือเรื่องความทุกข์ยากเดือดร้อนต่างๆ รวมทั้งช่วยทางด้านศีลธรรมของโลกด้วย ทั้งทางด้านร่างกายและจิตวิญญาณ ใช่แล้ว เพราะว่าบางคนไม่ยอมรับความช่วยเหลือด้านจิตวิญญาณจากฉัน เขาต้องการความช่วยเหลือทางด้านร่างกายเท่านั้น เราก็ช่วยเขาทางร่างกาย นี่แหละคือสิ่งที่เราทำ นี่แหละเราจึงต้องหารายได้ ฉันไม่ต้องการมีชีวิตโดยใช้เงินบริจาคของคนอื่น เข้าใจไหม? พวกนักบวชและลูกศิษย์ของฉันทุกคนต้องทำงาน เหมือนๆกับที่เธอทำ และนอกจากเรื่องนี้ เรายังช่วยด้านจิตวิญญาณด้วย เข้าใจไหม ช่วยเหลือเรื่องความทุกข์ร้อนของโลก ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของโลก เราจำเป็นต้องทำทุกสิ่งนี้ ไม่ใช่ว่าเราเอาแต่นั่งอยู่ในสมาธิทั้งวันและมีแต่ความสุขกับตัวเอง แบบนั้นคือพุทธะที่เห็นแก่ตัวมาก เราไม่ต้องการมีพุทธะแบบนั้นที่นี่ (อาจารย์หัวเราะ)

ถ : ขอขอบคุณท่านอาจารย์ชิงไห่ ที่อดทนอยู่กับพวกเราในวันนี้ [อาจารย์ : ไม่เป็นไรหรอก] และสำหรับการตอบคำถามของพวกเรา และความใจกว้างของท่าน ท่านกล่าวไว้ว่ามีอยู่ระดับหนึ่ง ซึ่งเรารู้ว่าเรามีพลัง ซึ่งพลังก็มาจากการรู้ของเรานั้น ทีนี้ถ้าหากว่าท่านรู้เรื่องพลัง ท่านไม่รู้ว่าท่านเองนั้นมีพลัง แต่ท่านก็รู้ถึงพลังนั้น และท่านอาจจะรู้สึกคล้ายๆกับว่าตัวท่านเองก็มีพลัง ท่านจะใช้มันหรือไม่ใช้มันอย่างไร? ถ้าท่านไม่ใช้มัน ทำไมท่านจึงไม่รู้สึกเหลืออดต่อสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆตัว? เช่นท่านก็รู้ว่ากระบวนการของสิ่งต่างๆในโลกนี้ดำเนินไปอย่างเชื่องช้ามาก ในเมื่อท่านก็ทราบดีว่า เพียงแต่ท่านสวดอธิษฐานหรือทำอะไรสักอย่าง ก็สามารถแก้ปัญหาให้ดีขึ้น หรือรวดเร็วขึ้นได้แล้ว

อ : ใช่, เข้าใจ

ถ : สภาพแบบนั้นจะเกิดอะไรขึ้น และบุคคลผู้นั้นจะใช้พรพลังอย่างไรเพื่อที่จะทำให้สิ่งต่างๆออกมาดี? ท่านเข้าใจที่ฉันถามหรือเปล่า?

อ : ฉันเข้าใจ ฉันเข้าใจ เธอหมายความว่า เมื่อเรามีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ และในเมื่อสิ่งต่างๆรอบตัวเราดำเนินไปอย่างที่ต้องใช้ระเบียบพิธีอะไรหยุมหยิมและเชื่องช้ามาก เราสามารถทนมันได้อย่างไร ใช่ไหม? หรือ เธอจะสวดอธิษฐานหรือทำอิทธิปาฏิหาริย์ ชี้นิ้ว กดปุ่มให้มันสำเร็จไหม? อย่างนั้นใช่ไหม? ไม่หรอก ฉันมีความอดทนเพราะว่าเราต้องทำงานไปตามครรลองของโลกนี้ เพื่อไม่ให้เกิดความโกลาหลวุ่นวาย ใช่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น เด็กเล็กๆยังวิ่งไม่ได้ ไม่ใช่เพราะว่าเธอกำลังเร่งรีบ หรือเธอต้องการจะวิ่งไปเร็วๆ เธอก็เลยทำให้เด็กคนนั้นสะดุดล้มลงไป เพราะฉะนั้น เราต้องอดทน ถึงแม้ว่าเราจะมีพลังที่สามารถจะวิ่งได้ เราก็จะค่อยๆเดินไปพร้อมกับเด็กคนนี้ ถูกไหม?

นี่แหละเป็นเหตุผลที่บางครั้ง ฉันเองก็รู้สึกหงุดหงิดและไม่อดทน แต่ฉันก็ต้องสอนตัวเองให้มีความอดทน เพราะฉะนั้นฉันจึงยังต้องไปก้มศีรษะขอร้องประธานาธิบดีคนแล้วคนเล่า เพื่อช่วยเหลือผู้ลี้ภัย ทั้งๆ ที่เราต้องการจะเป็นผู้ออกเงินช่วยเหลือทั้งหมด เรายินดีจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามี ทุกสิ่งเลย แม้แต่เงินหลายล้านเหรียญ หรือพันล้านด้วยซ้ำ แต่เราก็ต้องทำทุกอย่างตามครรลองของมัน จงให้สิ่งที่เป็นของซีซาร์แก่ซีซาร์ เข้าใจไหม? ฉันจะไม่ใช้อำนาจหรือชี้นิ้วมาที่องค์การสหประชาชาติ แล้วใช้พลังของฉันทำให้สิ่งต่างๆเกิดเร็วขึ้น ไม่ใช่ ไม่ใช่ ถ้าเราใช้พลังอิทธิปาฏิหาริย์ เราจะทำให้เกิดความหายนะขึ้นในโลก เข้าใจไหม? ต้องให้มันเป็นไปตามครรลองของมัน แต่เราสามารถยกระดับจิตสำนึกของผู้คนได้ด้วยการรักษาด้านจิตวิญญาณ ด้วยการใช้ปัญญา ใช้ความเข้าใจ ถ่ายทอดความรู้ให้แก่เขาให้เขาเต็มใจที่จะทำมัน และให้ความร่วมมือ เข้าใจไหม? วิธีนี้แหละดีที่สุด ไม่ใช่ใช้พลังอิทธิปาฏิหาริย์

ฉันไม่เคยใช้พลังอิทธิปาฏิหาริย์อย่างจงใจเลยไม่ว่าจะในแง่ใด แต่สิ่งมหัศจรรย์ต่างๆก็เกิดขึ้นกับผู้บำเพ็ญเสมอ ซึ่งเป็นธรรมชาติมาก ไม่ใช่เป็นการจงใจ เธอเข้าใจไหม?ไม่ใช่พยายามไปผลักดันมัน เพราะไม่ใช่วิธีที่ดี เด็กยังวิ่งไม่ได้ เข้าใจไหม? เธอพอใจคำตอบของฉันหรือเปล่า? ถ้าคำตอบไหนของฉันยังไม่ตรงกับที่เธอต้องการ ก็กรุณาบอกให้ฉันทราบด้วย ฉันจะได้อธิบายเพิ่มเติม แต่ฉันเชื่อมั่นว่า พวกท่านทั้งหลายเป็นบุคคลที่ฉลาดหลักแหลมมาก เป็นบุคคลที่ได้รับการคัดเลือกมาแล้วอย่างดี และเป็นระดับหัวกะทิของทุกๆชาติ เพราะฉะนั้น ฉันไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมากนัก จริงไหม?

มีคำถามอะไรอีกไหม? ได้ ตรงข้างหลังนั้น จริงๆแล้วฉันควรจะต้องบอกว่า เป็นสิ่งที่ดีมากที่เรามีองค์การสหประชาชาติ เราช่วยกำจัดข้อขัดแย้งต่างๆในโลกและสงครามทั้งหลายไปได้ ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถทำให้มันหมดไปได้อย่างสมบูรณ์ แต่ฉันได้อ่านหนังสือของพวกท่านเกี่ยวกับองค์การสหประชาชาติ ทุกๆ คนก็เป็นองค์การสหประชาชาติ และฉันก็ได้ติดตามผลงานบางอย่างขององค์การนี้ ฉันต้องขอชมความพยายามและประสิทธิภาพในการช่วยเหลือเชลยสงคราม ในขณะที่คนอื่นๆไม่สามารถจะช่วยเหลือได้ พลังของทั้งโลกก็ไม่สามารถช่วยได้ แต่กรรมาธิการท่านหนึ่งขององค์การนี้สามารถทำได้สำเร็จ และยังมีเรื่องอื่นๆอีกเกี่ยวกับการบรรเทาภัยพิบัติ ปัญหาเรื่องผู้ลี้ภัย พวกท่านมีผู้ลี้ภัยที่ต้องรับผิดชอบประมาณสิบสองล้านคน ตามที่ฉันได้ยินมา ใช่ไหม? งานมากจริงๆ และยังมีเรื่องสงครามและอะไรอย่างอื่นอีก เพราะฉะนั้นจึงเป็นสิ่งที่ดีที่เรามีองค์การสหประชาชาติ ใช่แล้ว! ดีมาก

ถ : ขอขอบคุณ ท่านอาจารย์ชิงไห่ ที่ช่วยเผื่อแผ่ปัญญาของท่านให้แก่เรา ฉันมีคำถามอยู่ข้อหนึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเพิ่มจำนวนประชากรของโลก และปัญหาที่ตามมาเกี่ยวกับการทำลายสิ่งแวดล้อม การมีความต้องการปริมาณอาหารจำนวนมากขึ้น ท่านอยากจะให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องการเพิ่มจำนวนประชากรของโลกบ้างไหม? เรื่องนี้เป็นกรรมของโลกหรือเปล่า? หรือว่าจะเป็นการสร้างกรรมอะไรบางอย่างในอนาคต?

อ : อืม การมีผู้คนเพิ่มมากขึ้นในโลกก็เป็นสิ่งที่ดีมากเช่นกันนะ ทำไมจะไม่ล่ะ? ผู้คนขวักไขว่ มีเสียงอึกทึกครึกโครม สนุกดี ไม่ใช่หรือ? จริงๆแล้วไม่ใช่ว่าเรามีประชากรมากเกินไปหรอก เพียงแต่เราไม่กระจายออกไปให้ทั่วต่างหาก ผู้คนเข้ามาอัดกันอยู่หนาแน่นเฉพาะในบางแห่งของโลก และไม่ยอมย้ายไปบริเวณอื่น ก็เท่านั้นแหละ เรายังมีพื้นที่ป่าดงอยู่อีกกว้างใหญ่ไพศาลมาก ซึ่งยังไม่มีใครใช้ มีเกาะซึ่งยังบริสุทธิ์อยู่อีกจำนวนมาก มีที่ราบสูงซึ่งกว้างใหญ่มีแต่ป่าเขียวขจี แต่ไม่มีใครอยู่ที่นั่น อืม ผู้คนชอบเข้ามาอัดกันแน่นอยูในนิวยอร์ก เป็นตัวอย่างนะ (คนหัวเราะ) เพราะว่าที่นี่คึกคักมากกว่า ใช่แล้ว หากรัฐบาลไหนสามารถสร้างงาน ทำให้มีการอุตสาหกรรม และให้คนมีงานทำหลายๆแบบตามที่ต่างๆ คนก็จะเดินทางไปทำงานที่นั่นกัน

สาเหตุที่เรามาแออัดกันอยู่ในที่บางแห่งก็เพราะว่าที่นี่หางานได้ง่ายกว่า หรือมีความปลอดภัยมากกว่า ถ้าที่อื่นๆมีความปลอดภัย มั่นคง และมีงานทำ คนก็จะพากันไปที่นั่นด้วยเหมือนกัน พวกเขาจะแสวงหาความมั่นคง ความมีชีวิตชีวา ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดามาก จริงไหม? เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ควรต้องกลัวเรื่องประชากรล้นโลก แต่เราควรจะจัดการสิ่งต่างๆให้ดีกว่านี้ จัดการให้คนในโลกได้รับประโยชน์มากขึ้นจากการมีโอกาสได้ทำงาน มีบ้าน และมีความมั่นคงปลอดภัย ถ้าทำได้แบบนี้ ที่ไหนๆ ก็เหมือนกัน เราจะไม่มีวันเกิดภาวะประชากรล้นโลกเลย

และสำหรับคำถามของเธอเกี่ยวกับเรื่องอาหารนั้น เธอน่าจะรู้ดีกว่า เพราะในอเมริกา เรามีข้อมูลมากมายที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์โลกของเรา การกินมังสวิรัติเป็นวิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งที่จะอนุรักษ์ทรัพยากรของโลก เพื่อจะได้สามารถเลี้ยงดูประชากรในโลกได้ เพราะว่าเราสูญเสียอาหารจำพวกพืชผัก, พลังงาน, ไฟฟ้า, ยารักษาโรค ไปเป็นจำนวนมากเพื่อนำไปใช้เลี้ยงสัตว์ เข้าใจไหม? ในขณะที่สิ่งเหล่านี้สามารถเลี้ยงคนอื่นๆได้โดยตรง และหลายประเทศในโลกที่สามก็เอาอาหารจำพวกพืชผักที่อุดมไปด้วยโปรตีนมาขายกันในราคาถูกๆเสียอีก แต่การทำแบบนั้นก็ไม่ได้ช่วยประชากรของชาติอื่นๆ ได้มากนัก ถ้าหากเรากระจายอาหารออกไปได้ทั่วถึง และกินมังสวิรัติกัน ก็จะสามารถช่วยในเรื่องนี้ได้ ไม่เฉพาะแต่ตัวพวกเรา หรือเฉพาะสัตว์ต่างๆ เท่านั้น แต่ช่วยได้ทั้งโลกเลย มีงานวิจัยอยู่อย่างหนึ่ง......เป็นหนังสือนิตยสาร มีเขียนไว้ว่า ถ้าต้องการจะ........ถ้าทุกคน.......เอ!จะพูดยังไงดี........อ้อ เมื่อคราวที่แล้ว ที่ฉันมาองค์การสหประชาชาติฉันก็พูดไปแล้ว ฉันลืมไปแล้ว ถ้าเรากินมังสวิรัติกัน โลกก็จะไม่หิวโหยอีกต่อไป และเราก็ต้องจัดระบบด้วย จัดระบบให้ดี ฉันรู้จักบางคน ซึ่งสามารถนำรำข้าวมาทำให้เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ รวมทั้งนมด้วย

คราวที่แล้วเราพูดถึงเรื่องนี้แล้ว เขาบอกว่าเขาใช้เงินเพียงประมาณสามแสนเหรียญ ก็สามารถเลี้ยงคนได้ถึงหกแสนคนในประเทศศรีลังกา ได้แก่พวกคนจน คนขาดอาหาร แม่ที่มีลูกอ่อน อะไรทำนองนั้น เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง เพราะสิ่งที่เราทำกันอยู่ตามที่ต่างๆในโลกปัจจุบันนั้น เรากำลังใช้ทรัพยากรธรรมชาติไปอย่างเปล่าประโยชน์ ไม่ใช่ว่าเรามีไม่พอ พระเจ้าคงไม่พาเรามาอดอยากอยู่ที่นี่หรอกนะ จริงๆแล้วเรานั่นแหละเป็นคนทำให้เกิดความอดอยากขึ้นเอง ฉะนั้นเราจึงต้องคิดดูใหม่..คิดใหม่ให้ดี จัดระบบใหม่ ซึ่งเรื่องนี้ก็จำเป็นต้องอาศัยความกรุณาของรัฐบาลในประเทศต่างๆ หลายประเทศ เขาต้องอวยพรเราด้วยการเป็นคนซื่อสัตย์และมือสะอาดอย่างแท้จริง รวมทั้งต้องมีความสูงส่งด้วย เข้าใจไหม? มีความตั้งใจที่จะรับใช้ประชาชนแทนที่จะทำเพื่อตนเอง ถ้าเราได้รับพรแบบนี้จากรัฐบาลทุกประเทศ เราก็จะไม่มีปัญหาเลย หมดปัญหา

เราจำเป็นต้องมีผู้นำที่ดี มีการจัดระบบทางเศรษฐกิจที่ดี มีความสามารถในการปกครอง มีรัฐบาลที่ซื่อสัตย์ แต่การจะเกิดสิ่งนี้ได้อย่างรวดเร็ว ก็ต้องมีคนหลายคนหรือคนส่วนใหญ่ หรือประชาชนทุกคนซึ่งมีคุณธรรม มีศีลธรรม เขาก็จะรู้ระเบียบกฎเกณฑ์ รู้จักการรักษาศีล รู้ว่าควรจะซื่อสัตย์และมือสะอาดได้อย่างไร รู้ว่าจะใช้ปัญญาของเขาได้อย่างไร เขาก็จะสามารถคิดทำสิ่งต่างๆได้มากมาย และจัดระบบชีวิตของเราใหม่ได้ เข้าใจไหม? มิฉะนั้นแล้ว ถ้าเธอเพียงแต่แสวงหาอำนาจโดยใช้เงินที่เธอมีอยู่ หรือใช้เงินที่เอามาจากสาธารณชน แล้วเธอก็พยายามหาเงินกลับคืนมาก่อนที่เธอจะหมดอำนาจไป แบบนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ไม่ว่าเธอจะนั่งอยู่บนเหมืองแร่ทองคำ ก็จะต้องตายไปอย่างยากจนไม่มีอะไรเหมือนกัน ผู้นำประเทศต่างๆจึงควรต้องรู้จักอำนาจและความรับผิดชอบของตนเอง ต้องคิดถึงประชาชนและจัดระบบให้ดีเสียใหม่

ถ : เรื่องนี้ดูจะเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะเท่าที่ผมเห็น....เท่าที่ผมเข้าใจ การทำลายสภาพแวดล้อมในปัจจุบันเกิดจากความต้องการด้านที่อยู่อาศัยของประชากรที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น เขาต้องการมีบ้าน ต้องการมีวิถีชีวิตเหมือนกับพวกเราซึ่งอยู่ในศตวรรษที่ยี่สิบต้องการจะมี ตัวอย่างเช่นในป่าของประเทศ บราซิล การทำลายสภาพแวดล้อมที่นั่น มีการทำลายป่าทึบ มีการตัดต้นไม้จำนวนมากซึ่งมีผลทำให้เกิดน้ำท่วมตามมา สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับปัญหาเรื่องการมีประชากรล้นโลกหรอกหรือ?

อ : ใช่ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน แน่นอน และวิธีการแก้ปัญหาก็คือต้องแก้ที่รากเหง้าของปัญหาเท่านั้นไม่ใช่แก้ที่ปลายเหตุ และรากเหง้าของปัญหาก็คือความมั่นคงทางด้านจิตใจ เข้าใจไหม? (คนปรบมือ) ดังนั้น สิ่งที่เราต้องทำก็คือ พยายามเผยแพร่ข่าวสารทางด้านจิตวิญญาณ สิ่งต่างๆ ที่เราทราบ และพยายามรักษาระเบียบวินัยทางด้านจิตวิญญาณ นี่แหละคือสิ่งที่คนทั่วไปไม่มี ถ้าเธอจะเอาเครื่องมือมาเสียบปลั๊ก แล้วเธอก็ได้รับแสงสว่าง และได้ฟังเสียงดนตรีอะไรบางอย่าง ซึ่งทำให้เธอเข้าสู่สมาธิได้ก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเธอไม่มีระเบียบวินัยทางศีลธรรม บางครั้งเธอก็จะใช้พลังไปในทางที่ผิด เธอไม่สามารถจะควบคุมมันได้ เข้าใจไหม? เพราะฉะนั้นในกลุ่มของพวกเรา เราจึงสอนให้คนรักษาศีลก่อน ศีลเป็นเรื่องสำคัญ เราต้องรู้ว่าเราจะไปทางไหน และจัดการควบคุมพลังของเรา พลังที่ปราศจากความรัก ความเมตตา ปราศจากความเข้าใจคุณค่าศีลธรรมอย่างถูกต้อง มันก็ไม่มีประโยชน์เลย มันจะกลายเป็นไสยศาสตร์ดำ เอาไปใช้กันอย่างผิดๆ นี่แหละคือที่มาของไสยศาสตร์ดำ เข้าใจไหม?

เพราะฉะนั้น การรู้แจ้งนั้นเป็นเรื่องง่ายแต่การรักษามันให้คงไว้เป็นเรื่องยาก  ในกลุ่มของพวกเราถ้าเธอไม่รักษาระเบียบวินัย ไม่มีศีลธรรมอย่างแท้จริง อาจารย์ก็จะเอาพลังบางส่วนออกไปจากตัวเธอเพื่อมิให้เธอนำไปใช้อย่างผิดๆ ทำให้เกิดสิ่งไม่ดีขึ้นในสังคม เข้าใจไหม?  นี่แหละคือความแตกต่าง อาจารย์สามารถควบคุมได้, พลังของอาจารย์, เป็นพลังของอาจารย์, โอเค?  ฉันรู้สึกยินดีมากที่มีคำถามดีๆ จากพวกท่านมากมายเป็นคำถามที่ฉลาดมาก  การที่ผู้คนทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็เพราะเขาไม่มีปัญญามากพอ เขาจึงทำลายสภาพแวดล้อมอย่างที่เธอกล่าวเมื่อสักครู่นี้ หรือทำอะไรไปโดยไม่มีปัญญา ดังนั้น รากเหง้าจึงอยู่ที่ปัญญา, อยู่ที่การบำเพ็ญทางจิตวิญญาณ จงรู้แจ้งเถิด เชิญได้ คุณผู้หญิง

ถ : ฉันเคยอ่านหนังสือของท่านมาสองสามเล่มแล้ว และได้ฟังเทปของท่านหลายม้วนแล้ว

อ : งั้นหรือ เยี่ยมเลย! ถ้าอย่างนั้นเราก็รู้จักกันมาแล้วสิ?

ถ : ฉันยังสงสัยความหมายของคำว่า “อสูร” (Asuras)

อ : A...S...U...R...A...S.... คืออะไรกัน? อสูร! อสูร! อ๋อ กายทิพย์! อ๋อ อสูร! ใช่แล้ว ใช่ ใช่ คำนี้เป็นคำสันสกฤตซึ่งหมายถึงพวกกายทิพย์ เอาละ ฉันไม่รู้ว่าเธอกำลังพูดภาษาสันสกฤตอยู่ ใช่แล้ว แล้วยังไงล่ะ?

ถ : คำถามของฉันก็คือ ฉันรู้ว่าฉันพยายามจะทำสิ่งที่ดี พยายามปฏิบัติ และฉันก็รู้ว่าฉันต้องดิ้นรนต่อสู้กับอะไรบางอย่าง ซึ่งกำลังพยายามจะต้านทานขัดขวางฉัน คำถามก็คือ ฉันจะพ้นจากการดิ้นรนต่อสู้นี้ไปได้อย่างไร? ฉันจะเอาชนะมันได้อย่างไร?

อ : นี่แหละคือเรื่องที่สนุกละ ถ้าอะไรที่ง่ายเกินไป เธอก็จะหมดความสนใจ ไม่รู้สึกท้าทาย และเธอก็ไม่ต้องการจะเอาชนะมันด้วย ดังนั้นภายในตัวของเราจึงมีพลังอยู่สองอย่าง ทางตะวันออกหรือทางภาษาจีน เราเรียกว่า “หยิน” และ “หยาง” ศัพท์ทางตะวันตกเรียกว่า พลังทางด้านลบและบวก พลังทางด้านลบจะผลักดันเราให้ทำสิ่งซึ่งขัดกับความตั้งใจของเรา ส่วนพลังทางด้านบวกก็ช่วยให้เราเอาชนะแรงผลักดันนั้น บางครั้งเราก็แพ้ บางครั้งเราก็ชนะ ขึ้นอยู่กับวินัยและพลังทางด้านจิตวิญญาณของเรา เพราะฉะนั้น เธอก็ต้องพยายามต่อสู้ดิ้นรนต่อไป ก็เหมือนกับที่องค์การสหประชาชาติต้องพยายามต่อสู้กับปัญหาเรื่องผู้ลี้ภัยและสงครามในโลกนี้ บางครั้งเราก็ชนะในตอนท้าย แต่ก็ต้องใช้ความพยายาม ฉันขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจการบรรยายในวันนี้ ขออวยพรให้ทุกคนได้รับพระพรอันประเสริฐ

การประทับจิตธรรมวิถีกวนอิม
ประโยชน์ของการทานมังสวิรัติ