ขอบคุณ! นานแล้วที่ฉันไม่ได้มาที่นี่
มีใครเคยมาที่นี่บ้างหรือเปล่า
ฉันหมายถึงมีใครเคยฟังการบรรยายของฉันมาก่อนบ้างหรือเปล่า? เมื่อไหร่? โอ
จริงหรือ? มีตั้งหลายคน ขอบคุณทุกท่าน
คงทราบแล้วว่าหัวข้อการบรรยายของเราในวันนี้คือ เหนือโลกนี้
เพราะฉันไม่ค่อยอยากจะพูดให้พวกท่านฟังเกี่ยวกับโลกนี้อีกแล้ว
พวกท่านก็รู้กันหมดทุกคนแล้ว จริงไหม?
ท่านก็รู้แล้วว่าโลกนี้มีองค์การสหประชาชาติ เรามีอเมริกา, มีนิวยอร์ก
(บิ๊ก แอปเปิ้ล) แต่เหนือโลกนี้ขึ้นไปเรายังมีสิ่งอื่นๆอีก
ฉันคิดว่าพวกท่านทุกคนที่มาคงจะสนใจอยากรู้เรื่องพวกนี้
มันไม่ใช่เรื่องแบบที่สตีเฟนเพิ่งจะพูดไป
ซึ่งเกี่ยวกับสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆหรืออะไรที่เลอเลิศ
ซึ่งท่านคงไม่อยากจะเชื่อ แต่เป็น เรื่องที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์มาก
เป็นเหตุเป็นผลมาก และมีความสำคัญมาก
เราทุกคนเคยได้ยินจากคัมภีร์หรือหนังสือในศาสนาต่างๆ
ซึ่งกล่าวไว้ว่ามีสวรรค์เจ็ดชั้น มีระดับจิตต่างๆ
มีอาณาจักรของพระเจ้าภายใน มีธรรมชาติแห่งพุทธะ ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ได้รับคำสัญญาว่าจะได้จากเหนือโลก
แต่มีคนไม่มากนักที่สามารถไปถึงสิ่งที่ได้สัญญาไว้ในคัมภีร์เหล่านี้
มีไม่มากเลย ฉันไม่ได้บอกว่าไม่มี แต่บอกว่ามีไม่มากเลย
เมื่อเปรียบเทียบกับประชากรทั้งโลก
คนที่สามารถเข้าถึงอาณาจักรของพระเจ้าภายใน หรือที่เราเรียกกันว่า
สิ่งที่อยู่เหนือโลกนี้ มีอยู่น้อยมาก
ถ้าท่านอยู่ในอเมริกาบางทีคงจะมีโอกาสได้อ่านหนังสือมากมายซึ่งบรรยายเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่เหนือโลกของเรา
และภาพยนตร์บางเรื่องซึ่งคนอเมริกันสร้างก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องนิยายเพ้อฝันทั้งหมด
นอกจากนี้ยังมีภาพยนตร์ที่คนญี่ปุ่นสร้างบางเรื่อง
ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเรื่องนิยายทั้งหมดเหมือนกัน
เพราะคนเหล่านี้อาจจะได้อ่านหนังสือบางเล่ม
ซึ่งเขียนโดยผู้ที่เคยอยู่เหนือโลกนี้มาแล้ว
หรืออาจจะเคยได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้ามาบ้างแล้ว
เพราะฉะนั้นในอาณาจักรของพระเจ้า.....มีอะไรอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้านั้น?
ทำไมเราจึงต้องมาสนใจเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า
ในเมื่อเรามีงานต้องทำมากพออยู่แล้วในโลก เรามีการงานอาชีพ
มีบ้านที่มั่นคงปลอดภัย มีความรักความอบอุ่นมากมายพอแล้ว ฯลฯ?
ถ้าจะพูดให้ถูกจริงๆ ก็เพราะว่าเรามีสิ่งเหล่านี้เรียบร้อยแล้วนั่นแหละ
เราจึงควรคิดถึงอาณาจักรของพระเจ้า
พอพูดถึงอาณาจักรของพระเจ้าก็ฟังดูจะเป็นเรื่องทางศาสนามากไป จริงๆ
แล้วสิ่งนี้ก็เป็นระดับชั้นของจิตที่สูงกว่าธรรมดานั่นเอง
คนในสมัยก่อนเรียกว่าสวรรค์
แต่ชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์เราอาจจะเรียกว่ามันเป็นระดับของความรู้ที่สูงกว่า
ระดับของปัญญาที่สูงกว่า และเราสามารถไปถึงสิ่งนี้ได้ถ้าเรารู้วิธี
ในอเมริการะยะหลังๆ นี้
เราคงเคยได้ยินเกี่ยวกับประดิษฐ์กรรมใหม่ล่าสุด
คือคนสามารถใช้เครื่องมือในการทำให้เข้าสู่สมาธิได้
มีใครเคยใช้เครื่องนี้บ้างหรือเปล่า? ไม่เคยหรือ? ไม่มีเลยหรือ?
มันมีขายในอเมริกานี่แหละ
ราคาสี่ร้อยถึงเจ็ดร้อยขึ้นอยู่กับสมรรถนะการใช้งาน
เครื่องนี้เหมาะสำหรับคนขี้เกียจ
ซึ่งไม่อยากจะนั่งสมาธิแต่ต้องการจะอยู่ในสมาธิถ้าไม่มีใครรู้เรื่องนี้ฉันจะเล่าให้ฟังสั้นๆ
เขาบอกว่าเครื่องมือชนิดนี้ สามารถทำให้จิตใจอยู่ในสภาพที่ผ่อนคลาย
แล้วเราก็จะมีไอคิวระดับสูง จะทำให้เรามีความรู้สูงขึ้น มีปัญญาสูงขึ้น
และก็รู้สึกสบายมาก ฯลฯ เครื่องมือนี้จะใช้ดนตรีที่คัดเลือกมา
เป็นเสียงดนตรีภายนอก เพราะฉะนั้น จึงต้องมีหูฟัง
แล้วก็จะมีกระแสไฟฟ้าบางอย่างมา กระตุ้น ซึ่งอาจจะทำให้เรามองเห็นแสงวาบๆ
อะไรบ้าง จึงต้องมีที่ปิดตา มีเพียงแค่ที่ปิดหูปิดตาก็มีสมาธิได้แล้ว
จัดว่าเป็นเครื่องมือที่ดีมาก เพียงแค่สี่ร้อยดอลล่าร์เท่านั้น ถูกมาก
แต่สมาธิตามแบบของเรายิ่งถูกใหญ่ ไม่ต้องเสียเงินเลย และคงอยู่ไปตลอด
ไม่ต้องชาร์จแบตเตอรี่ หรือเสียบปลั๊กไฟ เข้าๆ ออกๆ
ไม่ต้องกลัวว่าเครื่องมือจะเสียต้องนำไปซ่อม
ขนาดแสงและเสียงแบบเทียมๆ
ที่สร้างขึ้นมานี้ยังสามารถทำให้เกิดความผ่อนคลาย
และเกิดปัญญาได้มากขนาดนี้ เขาบอกว่าทำให้เกิดได้นะ
ฉันอ่านมาจากหนังสือพิมพ์ว่า มันทำอะไรได้บ้าง
แต่ฉันยังไม่เคยลองใช้ด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นที่นิยมกันมาก
ขายดีมาก ฉันได้ยินว่าอย่างนี้ ขนาดของเทียมๆ
ยังสามารถทำให้เราอยู่ในอารมณ์ผ่อนคลาย เพิ่มไอคิวของเราได้ขนาดนี้
ลองนึกดูซิว่าของจริงจะสามารถช่วยเราให้มีปัญญามากขนาดไหน?
ของจริงนี้อยู่เหนือโลก แต่ทุกคนก็สามารถเข้าถึงได้
ถ้าเราต้องการจะสัมผัสกับมันจริงๆ
มันเป็นดนตรีสวรรค์ภายในและเสียงสวรรค์ภายใน
และขึ้นอยู่กับความเข้มของดนตรีนี้... ของแสงภายในหรือเสียงภายในนี้
เราก็สามารถผลักดันตัวเราให้ออกไปอยู่เหนือโลก
และเข้าสู่ระดับของความเข้าใจที่ลึกซึ้งกว่านี้
ฉันคิดว่ามันก็เหมือนกับกฎทางฟิสิกส์
การที่จะส่งจรวดขึ้นไปให้พ้นจากแรงโน้มถ่วงของโลกได้
ก็ต้องใช้พลังผลักดันอย่างสูง และเมื่อมันพุ่งออกไปด้วยความเร็วสูงนั้น
จะเกิดประกายไฟกระจายออกมา เพราะฉะนั้น
ฉันคิดว่าเมื่อเราพุ่งตัวขึ้นไปเหนือโลกอย่างนั้นเราก็....จะพูดอย่างไรดี?
โอ ฉันพูดภาษาจีนมากเกินไปจนลืมภาษาอังกฤษแล้ว
เราก็จะสามารถ....เปล่งประกาย ใช่ เปล่งแสงออกมาด้วย
และสามารถได้ยินเสียงด้วย เสียงนี้เป็นพลังสั่นสะเทือนชนิดหนึ่ง
ซึ่งดันเราให้ขึ้นไปสู่ระดับชั้นที่สูงขึ้น
แต่มันทำงานได้โดยไม่มีเสียงอึกทึกครึกโครมอะไร ไม่ยากเย็นอะไร
ไม่ต้องเสียเงิน และไม่มีอะไรอึดอัดน่ารำคาญ
นี่แหละคือวิธีการที่จะขึ้นไปสู่ระดับที่อยู่เหนือพ้นจากโลก
เหนือโลกขึ้นไป มีอะไรที่ดีกว่าโลกของเราบ้าง?
มันมีทุกสิ่งที่เราจะสามารถจินตนาการได้
รวมทั้งสิ่งที่ไม่สามารถจะจินตนาการได้เลย เมื่อเรามีประสบการณ์แล้วเราก็จะรู้เอง ไม่มีใครจะสามารถอธิบายให้เราฟังได้จริงๆ
แต่เราจะต้องยืนหยัดอยู่ในสภาพนั้น และเราต้องมีความจริงใจจริงๆ
มิฉะนั้นแล้วก็ไม่มีใครมาทำแทนตัวเราได้
ก็เหมือนกับที่ไม่มีใครสามารถมาทำงานแทนที่พวกเราในสำนักงานขององค์การสหประชาชาตินี้
แล้วเราก็ยังได้รับเงินเดือนอยู่
ไม่มีใครจะมาช่วยกินแทนเราแล้วเราจะอิ่มได้ เพราะฉะนั้น
วิธีการที่เราจะรู้ก็คือต้องมีประสบการณ์เอง
เราอาจจะฟังคนอื่นเล่าประสบการณ์ให้เราฟังก็ได้
แต่เราก็คงไม่ได้ประสบการณ์อะไรมากด้วยวิธีแบบนั้น
อาจจะมีประสบการณ์สักครั้งหนึ่งหรือสองสามครั้ง หรือมีได้ในบางวัน
ขึ้นอยู่กับพลังของบุคคลคนนั้นซึ่งเคยได้รับประสบการณ์โดยตรงจากพระเจ้า
ในกรณีแบบนี้เราอาจจะได้เห็นแสงบ้าง หรือได้ยินเสียงบางชนิด
ซึ่งเป็นไปเองตามธรรมชาติโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม
แต่ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะอยู่ได้ไม่นาน
เพราะฉะนั้นเราจึงจำเป็นต้องมีประสบการณ์ด้วยตนเอง
และต้องทำด้วยตัวของเราเอง
เหนือโลกของเรา ยังมีโลกอื่นๆอีกมากมาย ตัวอย่างเช่น
ที่อยู่สูงกว่าเราขึ้นไปหน่อยซึ่งเรียกว่า โลกทิพย์ (Astral world)
ตามศัพท์ของทางตะวันตก ในโลกทิพย์นี้ยังมีระดับชั้นย่อยๆ
แตกต่างกันอีกมากกว่าร้อยระดับ
แต่ละระดับย่อยนี้ก็เป็นโลกของมันเอง
ซึ่งเป็นตัวแทนของระดับความเข้าใจของเรา
ก็เหมือนกับเราเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัย
แต่ละชั้นปีที่เราเรียนผ่านไปก็เป็นตัวแทน
แสดงถึงความรู้ความเข้าใจของเราที่เพิ่มพูนมากขึ้นๆ
เกี่ยวกับเรื่องต่างๆที่สอนกันอยู่ในมหาวิทยาลัย แล้วเราก็ค่อยๆ
เรียนสูงขึ้นๆ จนจบการศึกษา
ในโลกทิพย์นี้ เราจะพบสิ่งมหัศจรรย์รูปแบบต่างๆ
มากมาย
และตัวเราเองก็อาจจะถูกยั่วยวนให้หลงใหลในเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์
เราอาจจะมีอิทธิปาฏิหาริย์เองก็ได้ เราอาจจะรักษาคนเจ็บป่วยได้
บางครั้งอาจจะมองเห็นบางสิ่งบางอย่างที่คนอื่นมองไม่เห็น
เราจะมีพลังอิทธิปาฏิหาริย์อยู่อย่างน้อยหกอย่าง
สามารถเห็นมิติอีกมิติหนึ่งที่นอกเหนือไปจากธรรมดา
อาจจะได้ยินเสียงจากระยะไกลโพ้น
โดยที่ระยะทางใกล้ไกลก็ไม่แตกต่างอะไรสำหรับเรา นี่แหละที่เรียกว่า
หูทิพย์ ตาทิพย์
แล้วเรายังสามารถหยั่งรู้ความคิดของผู้อื่นได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
บางครั้งก็สามารถเห็นได้ ฯลฯ
นี่เป็นพลังซึ่งบางครั้งเราจะได้รับเมื่อเราไปถึงระดับชั้นที่หนึ่งแห่งอาณาจักรของพระเจ้า
ภายในระดับชั้นแรกนี้
ฉันก็บอกแล้วว่ามีระดับชั้นย่อยๆแตกต่างกันจำนวนมากมายที่เราสามารถจะได้รู้ได้เห็น
ซึ่งไม่สามารถจะบรรยายออกมาเป็นภาษาได้ และเมื่อเราไปถึงที่นั่น เช่น
หลังจากรับการประทับจิตแล้วเรานั่งสมาธิ
หากระดับของเราอยู่ที่ชั้นที่หนึ่งนี้
เราก็จะมีความสามารถเพิ่มมากขึ้นหลายอย่าง
สามารถพัฒนาความเก่งกาจด้านหนังสือหนังหา ซึ่งเราไม่เคยมีมาก่อน
จะรู้หลายสิ่งหลายอย่างซึ่งคนอื่นๆ ไม่รู้
จะได้รับสิ่งหลายอย่างคล้ายสวรรค์บันดาล
บางทีอาจจะเป็นเรื่องเงินทองหรืออาจจะเป็นอาชีพการงาน
และอะไรอย่างอื่นมากมาย อาจจะเริ่มเขียนโคลงกลอนได้ วาดภาพได้
ทำบางสิ่งบางอย่างซึ่งเราไม่เคยสามารถทำได้มาก่อน และไม่คาดคิดว่าตัวเองจะทำได้นี่คือระดับแรก
เราจะสามารถเขียนบทกวีและเขียนหนังสือได้ไพเราะเพราะพริ้ง
เราอาจจะไม่ใช่นักเขียนมืออาชีพมาก่อน แต่ตอนนี้เราเขียนได้
เรื่องต่างๆเหล่านี้เป็นเพียงประโยชน์ทางด้านวัตถุซึ่งเราจะได้รับเมื่อเราอยู่ในระดับชั้นแรกนี้
จริงๆแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นของขวัญจากพระเจ้า
สิ่งเหล่านี้อยู่ในสวรรค์ในตัวเรา เพราะเราได้ปลุกมันให้มีชีวิตขึ้นมา
และใช้มันให้เป็นประโยชน์ นี่คือข้อมูลเกี่ยวกับระดับชั้นที่หนึ่ง โอเคไหม? อยากจะฟังต่ออีกไหม? อยากหรือ เอาละ
เคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาบ้างหรือเปล่า? เคยหรือ! ใครเล่าให้ฟังล่ะ?
งั้นหรือ เขาเล่าอะไรอย่างอื่นอีกบ้างไหม?
ทีนี้เราจะไประดับชั้นที่สูงขึ้น
ซึ่งเราจะได้เห็นได้รับอะไรอย่างอื่นอีกมาก ฉันคงไม่สามารถบอกได้หมดหรอก
เพราะเวลาจำกัด และก็ไม่จำเป็นต้องไปฟังเรื่องสวยๆ
งามๆ เหล่านี้ทั้งหมด
เรื่องขนมเค้กหรือลูกกวาด แล้วก็ไม่เคยได้ลองกินจริงๆ เพราะฉะนั้น
ฉันเพียงแต่ทำให้เกิดความอยากขึ้นมานิดหน่อย ถ้าหากเธอต้องการกินจริงๆ
ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เราจะให้อาหารจริงๆ
ทีหลัง ใช่แล้ว! ถ้ามีใครอยากจะกิน
ถ้าเราขึ้นไปสูงกว่านี้เล็กน้อย ไปถึงระดับชั้นที่สอง เราเรียก
ชั้นที่สอง ก็เพื่อให้เข้าใจง่ายๆเท่านั้น
ในชั้นที่สองเราจะมีความสามารถหลายอย่างมากกว่าชั้นแรก
รวมทั้งเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ด้วย
แต่ความสามารถที่เด่นชัดที่สุดซึ่งเราจะได้ในระดับชั้นที่สองนี้ก็คือ
การพูดได้คล่องแคล่ว มีคารมคมคาย สามารถอภิปรายโต้แย้งได้เก่ง
ไม่มีใครจะเอาชนะบุคคลซึ่งอยู่ในระดับชั้นที่สองนี้ได้
เพราะเขามีพลังสูงมากทางด้านการพูดจา
และสติปัญญาของเขาจะอยู่ในระดับสูงที่สุดที่ตัวเขาจะพึงมีได้
คนส่วนมากที่มีระดับสติปัญญาธรรมดาๆ
มีไอคิวธรรมดา จะไปเปรียบเทียบกับบุคคลนี้ไม่ได้เลย
เพราะไอคิวของเขาเปิดออกสู่ระดับชั้นที่สูงมาก
ไม่เฉพาะแต่สมองของกายเนื้อนี้เท่านั้นที่ได้รับการพัฒนามากขึ้น
มันเป็นพลังมหัศจรรย์ เป็นพลังแห่งสวรรค์
เป็นปัญญาที่อยู่ภายในตัวเรา ซึ่งเริ่มเปิดออกมาในตอนนี้
ในอินเดีย เขาจะเรียกระดับชั้นนี้ว่า โพธิ
ซึ่งหมายถึงระดับของสติปัญญา เมื่อใครได้รับชั้นโพธิแล้ว
ก็จะกลายเป็นพุทธะท่านหนึ่ง คำว่า พุทธะ ก็มาจากคำว่า โพธิ
เพราะฉะนั้น พุทธะก็จะเป็นอย่างที่ว่านี้แหละ ยังไม่จบนะ
ฉันไม่ได้มาแนะนำให้รู้จักเพียงแค่พุทธะเท่านั้น ยังมีมากกว่านี้อีก
ดังนั้นคนส่วนใหญ่จะเรียกบุคคลที่รู้แจ้งว่า พุทธะ
แต่ถ้าคนๆนั้นยังไม่ล่วงรู้ถึงระดับชั้นที่สูงกว่าชั้นที่สองก็จะรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง
และอาจจะคิดว่าเขาคือ พุทธะที่มีชีวิต
ลูกศิษย์ของเขาก็คงภูมิใจมากที่ได้เรียกเขาว่าเป็นพุทธะ
แต่จริงๆแล้วถ้าเขาเพียงแต่บรรลุถึงระดับชั้นที่สองซึ่งสามารถจะมองเห็นอดีต
ปัจจุบัน และอนาคต ของผู้อื่นที่เขาอยากจะรู้ได้และมีคารมคมคายสูงสุด
แบบนั้นก็ยังไม่ใช่ที่สุดแห่งอาณาจักรของพระเจ้า
ไม่ว่าใคร ก็ไม่ควรที่จะภูมิใจในความสามารถล่วงรู้อดีต ปัจจุบัน และอนาคต
เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นเพียงการบันทึกที่เรียกว่า อะกาชิก (Akashic)
ตามคำศัพท์ของทางตะวันตก
ใครที่ฝึกโยคะหรือฝึกสมาธิบางอย่างก็จะเข้าใจการบันทึกแบบอะกาชิก
ซึ่งก็เป็นเหมือนห้องสมุดที่อยู่ถัดไปในที่ทำการขององค์การสหประชาชาตินี้
ซึ่งมีภาษาต่างๆมากมาย ทั้งอาหรับ, รัสเซีย, จีน, อังกฤษ, ฝรั่งเศส,
เยอรมัน ทุกอย่างอยู่ในห้องสมุดถัดไปนี่เอง มีทุกภาษา
ถ้าใครสามารถอ่านภาษาเหล่านี้ได้หมด ก็จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในประเทศนั้นๆ
เข้าใจไหม? ในทำนองเดียวกัน ผู้ที่ไปถึงระดับชั้นที่สองก็จะสามารถเข้าใจ
และรู้ถึงจิตใจของผู้อื่นอย่างแจ่มแจ้งเหมือนกับที่เรารู้จักตัวเอง
ยังมีอะไรอีกมากมายที่เราจะมีได้ในระดับชั้นที่สองนี้
แต่เมื่อใครขึ้นมาถึงระดับนี้ก็รู้สึกว่าเลอเลิศแล้ว
เป็นพุทธะที่มีชีวิตแล้ว เพราะได้เปิดความเป็น โพธิ, เปิดปัญญาแล้ว
และจะรู้อะไรๆ
อีกมากมายจนไม่สามารถจะพูดได้หมด
ความมหัศจรรย์ทั้งหลายจะเกิดขึ้นกับเราไม่ว่าเราจะต้องการสิ่งนั้นหรือไม่
เพราะสติปัญญาของเราได้เปิดออกแล้ว
จึงรู้วิธีติดต่อกับแหล่งที่สูงขึ้นในการรักษาโรค
ในการจัดการกับชีวิตของเราให้ราบรื่นขึ้นและสติปัญญาของเราหรือ โพธิ
ได้เปิดออกจนสามารถได้รับข้อมูลทั้งหมดที่จำเป็น ทั้งจากอดีตและปัจจุบัน
เพื่อที่จะนำมาใช้จัดการหรือแก้ไขชดเชยบางสิ่งบางอย่างที่เราเคยทำผิดพลาดไว้ในอดีต
เข้าใจไหม? เมื่อแก้ไขข้อผิดพลาดแล้วก็ทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราไม่เคยรู้เลยว่า
เราไปทำให้เพื่อนบ้านของเราขุ่นเคืองใจ
ด้วยการทำอะไรบางอย่างโดยมิได้จงใจ พอถึงตอนนี้เรารู้แล้ว
มันก็เป็นเรื่องง่ายมาก! ถ้าเราไม่รู้มาก่อน
และเพื่อนบ้านก็รู้สึกไม่ดีต่อเราอยู่เงียบๆ
และพยายามจะหาทางทำอะไรข้างหลังเราในบางครั้ง เพื่อทำร้ายเรา
ทั้งนี้เพราะความเข้าใจผิด หรือเพราะเราไปทำอะไรที่ไม่ดีต่อเพื่อนบ้านไว้
แต่ตอนนี้เรารู้แล้ว เรารู้ว่าทำไมจึงเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น
มันก็กลายเป็นเรื่องง่าย โดยเราอาจจะไปหาเพื่อนบ้านผู้นั้น
หรือโทรศัพท์ไปหา หรือจัดงานเลี้ยงแล้วเชิญเพื่อนบ้านคนนั้นมาร่วม
เพื่อจะได้แก้ไขความเข้าใจผิด
เมื่อเราขึ้นไปถึงระดับของสติปัญญาก็เป็นทำนองแบบเดียวกันนี้
เราจะเข้าใจสิ่งต่างๆเหล่านี้ได้โดยอัตโนมัติ,
ฉันหมายถึงเข้าใจอย่างเงียบๆ,
และเราก็สามารถจัดการสิ่งเหล่านี้อย่างเงียบๆได้
หรืออาจจะติดต่อกับแหล่งพลังที่จะสามารถช่วยเราให้จัดการเรื่องเหล่านี้ได้
เพื่อให้ชีวิตของเราดีขึ้น มีการดำเนินชีวิตสะดวกขึ้น
ดังนั้นเราจึงสามารถลดการเกิดอุบัติเหตุต่างๆ
ลดสถานการณ์อันไม่พึงปรารถนา ภาวะต่างๆที่ไม่เหมาะกับชีวิตของเรา
ให้เหลือน้อยที่สุด เข้าใจไหม?
เพราะฉะนั้นเมื่อเราขึ้นไปถึงระดับชั้นที่สองก็วิเศษมากแล้ว
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ฉันอธิบายให้ฟังนี้จึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลมาก
มีความเป็นวิทยาศาสตร์มาก ไม่จำเป็นต้องคิดว่าโยคีหรือคนที่นั่งสมาธิ
เป็นมนุษย์ที่แปลกประหลาด หรือเป็น E.T., เธอรู้จักใช่ไหม
คือพวกที่มาจากนอกโลกน่ะ, พวกเขาก็เป็นมนุษย์แบบในโลกนี้แหละ
เหมือนพวกเราทุกคน แต่เขาได้พัฒนามากขึ้นแล้ว เพราะว่าเขารู้วิธีการ
ในอเมริกา เราชอบพูดกันว่า ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับการรู้วิธีการ (KNOW-HOW)
ถ้ารู้วิธีการก็เรียนได้หมด จริงไหม? เรียนได้ทุกอย่าง
เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่อยู่เหนือศาสตร์ของโลก
ซึ่งเราก็สามารถเรียนรู้ได้ด้วย ฟังแล้วอาจรู้สึกว่ามันแปลกประหลาด
แต่อะไรที่ยิ่งสูงก็ยิ่งเป็นเรื่องง่าย
ง่ายกว่าการเรียนในชั้นมัธยมหรือวิทยาลัยซึ่งเต็มไปด้วยโจทย์คำถามทางคณิตศาสตร์ที่ยุ่งยากซับซ้อนมากมาย
ในชั้นที่สอง...... ในชั้นที่สองนี้
ก็มีระดับชั้นย่อยๆซึ่งแตกต่างกันเป็นจำนวนมาก
ฉันหมายถึงว่าในระดับชั้นที่สองนี้ ยังมีระดับชั้นย่อยๆอยู่หลายระดับ
แต่ฉันพูดแบบสั้นๆ
เพราะฉันเล่ารายละเอียดทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นความลับของแดนสวรรค์ไม่ไหวหรอก
แต่เราจะรู้สิ่งต่างๆเหล่านี้ได้เมื่อเราเดินทางไปพร้อมกับอาจารย์ท่านหนึ่ง
ซึ่งเคยเดินทางไปมาแล้ว เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไร
แต่จะต้องใช้เวลานานมาก โดยเฉพาะถ้าเราต้องหยุดในแต่ละระดับ
ซึ่งยังมีระดับอีกมากมายเหลือเกิน มีระดับชั้นย่อยๆ
ลงไปอีก ถ้าเราจะดูทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ต้องใช้เวลานานมากทีเดียว
เพราะฉะนั้น บางครั้ง
อาจารย์ท่านหนึ่งอาจจะพาเธอไปดูแบบผ่านๆอย่างรวดเร็ว
จากระดับหนึ่งไปยังอีกระดับหนึ่ง เพราะถ้าเธอไม่จำเป็นต้องเป็นอาจารย์
เธอก็ไม่จำเป็นต้องเรียนอะไรมากมายให้ปวดหัวเปล่าๆ
ฉะนั้นก็แค่พาเธอผ่านไปแล้วก็กลับมาบ้าน
เพราะแม้แต่แค่นี้ก็ต้องใช้เวลานานแล้ว
บางครั้งอาจจะเสียเวลาตลอดชีวิตก็ได้ แต่สำหรับเรื่องการรู้แจ้งนั้นเรารู้ได้ในทันที
แต่ก็เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น
ก็เหมือนกับการลงทะเบียนเรียนนั่นแหละ
ในวันแรกที่เธอลงทะเบียนเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย
เธอก็กลายเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยทันที
ซึ่งตอนนั้นเธอยังไม่ได้จบปริญญาเอกหรอก หลังจากเรียนไปหกปี, สี่ปี
หรืออาจจะสิบสองปี เธอก็จบการศึกษา
แต่ว่าเธอจะได้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยทันที
ถ้ามหาวิทยาลัยนั้นเป็นมหาวิทยาลัยจริงๆ และถ้าเธอลงทะเบียนเข้าศึกษา
รวมทั้งปรารถนาอย่างจริงใจที่จะเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย จริงไหม?
เพราะฉะนั้น ทั้งสองฝ่ายต้องร่วมมือกัน
ในทำนองเดียวกัน
ถ้าเราต้องการจะไปสู่โลกเหนือโลก เช่น เพื่อความสนุกสนาน
หรืออะไรก็ตาม
เพราะเราไม่มีที่อื่นที่จะไปแล้วในนิวยอร์กนี้
เรารู้จักทุกสิ่งทุกอย่างในแมนฮัตตัน, ชายหาดทั้งหลาย Long Beach, Short
Beach, หรือทุกๆหาดแล้ว
สมมุติว่าเราอยากจะเดินทางไปเที่ยวเมืองของมนุษย์ต่างดาว E.T.
เพื่อดูว่าเขามีอะไรกัน ดีไหม? ทำไมจะไม่ล่ะ?
ในเมื่อเราต้องจ่ายเงินเยอะแยะเพื่อที่จะไป ไมอามี, ฟลอริดา,
เพียงเพื่อไปว่ายน้ำทะเล
แล้วทำไมเราจะไม่อยากไปโลกอื่นๆที่อยู่เหนือโลกของเรา
เพื่อดูว่าเพื่อนบ้านของเราหน้าตาเป็นอย่างไร เขาอยู่กันอย่างไร?
ฉันไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกอะไรเลย เพียงแค่เดินทางไกลออกไปอีกหน่อย
และเป็นการเดินทางด้วยจิตใจด้วยจิตวิญญาณแทนที่จะเป็นการเดินทางของกายเนื้อ
การเดินทางนั้นมีอยู่สองแบบ เพราะฉะนั้นจึงเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลมาก
และเข้าใจง่ายมาก เอาละเรากำลังอยู่ในระดับชั้นที่สองนะ โอเค
ระดับชั้นที่สอง มีอะไรที่ฉันควรจะบอกเธออีก? เพราะฉะนั้น
นี่แหละคือวิธีที่เราดำเนินชีวิตต่อไปในโลกนี้
แต่เราก็มีความรู้เกี่ยวกับโลกอื่นๆไปด้วยในเวลาเดียวกัน เข้าใจไหม?
เพราะว่าเรามีการเดินทาง ก็เหมือนเธอซึ่งเป็นคนอเมริกันคนหนึ่ง
หรืออาจจะเป็นคนชาติอะไรอย่างอื่นก็ได้ในโลกนี้
แล้วเธอก็เดินทางจากประเทศหนึ่งไปอีกประเทศหนึ่ง
เพื่อจะได้รู้ว่าประเทศเพื่อนบ้านมีความเป็นอยู่อย่างไร
ฉันคิดว่าพวกเธอหลายคนในองค์การสหประชาชาตินี้ไม่ใช่คนอเมริกัน
ไม่ใช่หรือ? ใช่แล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้เธอก็คงรู้แล้วนะว่ามันก็เหมือนกัน
เราสามารถเดินทางไปยังโลกถัดไป
หรือไปสู่ระดับชั้นของชีวิตแบบอื่นถัดไปเพื่อที่จะเรียนรู้เและเข้าใจ
แต่เนื่องจากระยะทางมันไกลมาก จนเราเดินไปไม่ได้ จะใช้จรวดก็ไม่ได้
แม้กระทั่งจะใช้จานบินก็ยังไม่ได้
โลกบางแห่งอยู่ไกลเกินกว่าที่จานบินจะพาไปได้ จานบินหรือ UFO คืออะไร
U=Unidentified, F=Flying, O=Object
ก็คือสิ่งที่บินได้ซึ่งยังบอกไม่ได้ว่าเป็นอะไร
แต่ในตัวเราก็มีเครื่องมือชนิดหนึ่ง
ซึ่งเร็วยิ่งกว่าจานบินทุกชนิดเสียอีก นั่นคือ วิญญาณ (Soul) ของเราเอง
บางครั้งเราก็เรียกมันว่า จิตวิญญาณ (Spirit)
เราสามารถบินไปด้วยสิ่งนี้ได้โดยไม่ต้องใช้เชื้อเพลิง
ไม่ต้องมีตำรวจจราจรมาดูแล ไม่มีปัญหาเรื่องรถติด หรืออะไรทั้งสิ้น
และไม่ต้องกังวลว่าสักวันหนึ่งชาวอาหรับจะไม่ขายน้ำมันให้เรา
เพราะมันสามารถพึ่งพาตัวเองได้ ไม่เคยเสีย
ยกเว้นว่าเราต้องการจะทำลายมันเองด้วยการฝ่าฝืนกฎแห่งจักรวาล
ฝ่าฝืนต่อความกลมกลืนสอดคล้องของโลกและสวรรค์
ซึ่งเรื่องนี้เราสามารถหลีกเลี่ยงได้ง่ายมาก
เราจะบอกให้ฟังว่าจะทำได้อย่างไรถ้าใครสนใจอยากรู้ ยกตัวอย่างเช่น
ฉันจะพูดสั้นๆ เท่านั้นนะ ตกลงไหม?
ฉันไม่ใช่นักเทศน์ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวล ฉันไม่พาพวกเธอไปโบสถ์หรอก
แต่จะยกตัวอย่างให้ฟังเท่านั้น
มีกฎบางอย่างในจักรวาลที่เราควรจะรู้ ก็เหมือนกับเวลาที่เราขับรถ
เราก็ต้องรู้กฎจราจร ไฟแดงก็ต้องหยุด ไฟเขียวก็ไปได้ ขับชิดซ้าย ชิดขวา
ฯลฯ..... บนทางด่วนขับเร็วได้แค่ไหน เพราะฉะนั้น ในจักรวาลก็มีกฎง่ายๆ
นี่ฉันหมายถึงจักรวาลที่เป็นวัตถุธาตุนะ เข้าใจไหม? แต่เหนือโลกของเรา
เหนือจักรวาลที่เป็นวัตถุธาตุนี้ ไม่มีกฏอะไร ไม่มีกฏอะไรเลย
เราเป็นอิสระ เป็นพลเมืองอิสระ
แต่เราจะต้องขึ้นไปให้ถึงจุดนั้นเราจึงจะสามารถเป็นอิสระ
และตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ อยู่ในร่างกายที่เป็นเนื้อหนังนี้
เราก็ควรจะต้องปฏิบัติตามกฏให้มากที่สุดเท่าที่สามารถ
เพื่อที่เราจะได้ไม่เกิดความยุ่งยาก และยานพาหนะของเราจะได้ไม่ถูกทำลาย
ดังนั้นเราก็จะสามารถบินได้เร็วขึ้น บินสูงขึ้นไปได้ โดยไม่มีปัญหา
กฎต่างๆเหล่านี้มีบันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิลของศาสนาคริสต์
และในคัมภีร์ของศาสนาพุทธหรือในคัมภีร์ของศาสนาฮินดู เป็นกฎที่ง่ายมาก
เช่น เราจะต้องไม่ทำร้ายเพื่อนบ้าน เราต้องไม่ฆ่า thou shall not kill
และต้องไม่ทำผิดต่อสัมพันธภาพแห่งความรัก ไม่ขโมย ฯลฯ
ไม่เสพสิ่งที่ทำให้เกิดความมึนเมา ซึ่งหมายถึงยาเสพติดในปัจจุบันนี้ด้วย
บางทีพระพุทธเจ้าท่านคงจะทราบว่า ในศตวรรษที่ 20 เราจะคิดทำโคเคน
(Cocaine) หรือยาเสพติดอะไรพวกนี้ ท่านจึงกล่าวไว้ว่า ห้ามเสพสิ่งเสพติด
ซึ่งรวมถึงการเล่นการพนันทุกชนิด
รวมทั้งสิ่งอื่นๆที่จะทำให้จิตใจของเรา.....พูดยังไงดี,
ไปยึดติดอยู่กับความพึงพอใจทางด้านวัตถุ
และหลงลืมการเดินทางแห่งจิตวิญญาณ ถ้าเราต้องการบินได้เร็ว
บินได้สูงโดยปราศจากอันตราย นี่ก็เป็นกฎทางด้านเนื้อหนัง
ก็คล้ายๆกับกฎทางด้านฟิสิกซ์ ถ้าเราจะส่งจรวดขึ้นไป
นักวิทยาศาสตร์ก็ต้องศึกษาระมัดระวังเรื่องกฎทางฟิสิกส์บางอย่าง
ก็เท่านั้นแหละ โอเค? เพราะฉะนั้น ถ้าเราต้องการจะบินให้สูงกว่านั้น
บินให้สูงกว่าจรวด และให้เร็วกว่าจานบิน UFO
เราจะยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังมากกว่านั้นอีกสักแค่ไหน?
ยังมีรายละเอียดอีกมากที่จะต้องอธิบาย ถ้าเธอสนใจที่จะรู้
เราจะพูดให้ฟังในตอนรับการประทับจิต
สำหรับตอนนี้เราไม่ต้องการจะทำให้พวกเธอเกิดความเบื่อหน่ายที่จะฟังเรื่องศีลหรือข้อบัญญัติเหล่านี้
ซึ่งเธออาจจะบอกว่า ฉันรู้แล้ว ฉันรู้แล้ว ฉันอ่านแล้วในคัมภีร์ไบเบิล
เรื่องบัญญัติ 10 ประการเหล่านี้
จริงๆ แล้ว พวกเราหลายคนเคยอ่านศีลข้อต่างๆ มาแล้ว
แต่ไม่ได้คิดถึงมันอย่างลึกซึ้งมากนัก หรือไม่ได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง
หรือบางทีเราต้องการจะเข้าใจ..... แบบเข้าข้างตัวเอง แบบที่เราทำ
แต่ไม่ใช่แบบที่มันหมายความจริงๆ เพราะฉะนั้น
ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรที่จะได้เตือนตัวเรา
หรือได้ฟังความหมายที่ลึกซึ้งขึ้นกว่านั้นอีกครั้งหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น
ในคัมภีร์ไบเบิล ในพระธรรมเก่า หน้าแรกๆ พระเจ้าตรัสว่า
เราได้สร้างสัตว์ทั้งหลายให้เป็นเพื่อนและเพื่อช่วยเหลือเจ้า
และเจ้าจะได้ปกครองสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น จากนั้นท่านก็ตรัสว่า
ท่านได้สร้างอาหารทุกชนิดเพื่อสัตว์ทั้งหลาย ตามชนิดของมัน
แต่พระเจ้าไม่ได้บอกให้เราไปกินมัน เปล่าเลย! และท่านตรัสว่า
เราได้สร้างอาหารทั้งมวล, พวกธัญพืชที่อยู่ในท้องทุ่ง
และผลไม้บนต้นไม้ต่างๆ ซึ่งมีรสชาติอร่อยและสวยงามน่าดู
สิ่งเหล่านี้แหละคืออาหารของเจ้า แต่น้อยคนนักที่จะสนใจคำพูดนี้
ดังนั้นคนจำนวนมากที่เชื่อในคัมภีร์ไบเบิลก็ยังคงกินเนื้อสัตว์อยู่
โดยไม่เข้าใจความหมายแท้จริงที่พระเจ้าหมายถึงเลย
และถ้าเรามาศึกษาวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
เราก็จะรู้ได้ว่า เราไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่กินเนื้อสัตว์
ระบบของเรา ลำไส้ของเรา กระเพาะของเรา ฟันของเรา
ทุกสิ่งทุกอย่างถูกสร้างขึ้นตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ให้เหมาะกับอาหารมังสวิรัติเท่านั้น
จึงไม่แปลกอะไรที่คนส่วนใหญ่เจ็บไข้ได้ป่วย แก่เร็ว
อ่อนเพลีย เชื่องช้า ทั้งๆที่ตอนเกิดมามีความสดใส
เฉลียวฉลาดมาก
แต่แล้วก็ค่อยๆเสื่อมซึมเซาลงทีละเล็กทีละน้อยทุกวัน
ยิ่งแก่มากขึ้นก็ยิ่งรู้สึกแย่ลงมากขึ้น
ทั้งนี้ก็เพราะเราทำลายยานพาหนะของเรา จานบินของเรา UFO ของเรา ดังนั้น
ถ้าเราอยากจะใช้ยานพาหนะนี้ให้นานขึ้นและปลอดภัยมากขึ้น
เราก็ต้องรู้จักดูแลรักษาอย่างถูกวิธี ยกตัวอย่างเช่น เรามีรถยนต์
พวกเธอคงขับรถกันทุกคนนะ! ถ้าเราเติมน้ำมันผิด อะไรจะเกิดขึ้น?
จะเกิดอะไร? มันอาจจะขับไปได้แค่ไม่กี่ฟุต
แล้วก็หยุดไม่สามารถขับต่อไปได้ แล้วเธอจะไปโทษรถไม่ได้
เพราะมันเป็นความผิดของเราเอง ที่เติมเชื้อเพลิงไม่เหมาะสมลงไป
หรือถ้าน้ำมันของเรามีน้ำปนอยู่ มันก็อาจวิ่งไปได้สักพักหนึ่ง
แล้วก็จะเกิดปัญหาใช่ไหม? หรือถ้าน้ำมันเครื่องของเราสกปรกเกินไป
และเราไม่ทำความสะอาด มันก็วิ่งไปได้สักพักหนึ่ง แล้วเราก็จะมีปัญหาตามมา
บางครั้งมันอาจจะระเบิด
เพราะเราไม่ได้ดูแลเอาใจใส่รถยนต์ของเราอย่างถูกวิธีใช่ไหม?
ทำนองเดียวกัน
ร่างกายของเราก็เหมือนยานพาหนะซึ่งเราสามารถใช้บินจากที่นี่ไปชั่วนิรันดร
ไปสู่ปัญญาระดับสูงสุด
แต่บางครั้งเราไปทำลายมันใช้มันอย่างผิดวัตถุประสงค์ ยกตัวอย่างเช่น
รถของเรามีไว้เพื่อขับไปไกลๆหลายๆไมล์ เพื่อนำเราไปถึงที่ทำงาน
ไปหาเพื่อนของเรา ไปชมทิวทัศน์สวยงามต่างๆ แต่เรากลับไม่ดูแลมัน
เอาน้ำมันผิดๆ ไปเติม
หรือไม่ดูแลน้ำมันเครื่อง ไม่ดูแลน้ำในหม้อน้ำ ทุกสิ่งทุกอย่าง
ทำให้มันไม่สามารถวิ่งได้เร็ว วิ่งไปได้ไม่ไกล
เราก็เลยได้แต่เอามาวิ่งวนอยู่ในสนามหญ้า วนอยู่ในสวนหลังบ้าน
ซึ่งไม่เป็นไรหรอก เข้าใจไหม? แต่มันเป็นการสิ้นเปลืองไปเปล่า
ผิดวัตถุประสงค์ของเราที่ซื้อรถมา เสียเงินทอง, เวลา
และพลังงานของเราไปโดยเปล่าประโยชน์ เท่านั้นแหละ ไม่มีใครที่จะถูกตำหนิ
หรือไม่มีตำรวจมาปรับเธอหรอก
เพียงแต่เธอทำให้รถของเธอเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ เสียเงินเสียทอง
ในเมื่อเธอสามารถจะไปได้ไกลๆ สามารถไปเห็นสิ่งต่างๆ
ได้มากมาย ได้ชื่นชมทิวทัศน์แปลกๆ
ในทำนองเดียวกัน ร่างกายของเราก็ช่วยให้เราอาศัยอยู่ในโลกนี้ได้
แต่เรายังสามารถดูแลสิ่งที่อยู่ภายในกายเนื้อของเรานี้ด้วย
เรายังมีเครื่องมืออื่นๆอีก
ซึ่งทำให้เราสามารถบินสูงขึ้นไปได้มากกว่านั้น
ก็เหมือนกับมนุษย์อวกาศซึ่งนั่งอยู่ในยานอวกาศ
ยานอวกาศก็คือเครื่องมือของเขา เขาควรจะต้องดูแลให้ดี
ไม่ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ทางฟิสิกส์
ยานของเขาก็จะทะยานไปได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย
แต่มนุษย์อวกาศที่นั่งอยู่ภายในนั้นมีความสำคัญ
ยานอวกาศเพียงแต่นำไปถึงจุดหมายปลายทาง
แต่ยานนั้นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด เข้าใจไหม สิ่งที่สำคัญก็คือ
ตัวมนุษยอวกาศและจุดหมายปลายทางของเขา หากเขาเอายานนั้นมาใช้วิ่งไปรอบๆ
Long Island ก็เป็นการเสียเวลาเปล่า เข้าใจไหม?
เสียเงินทองของชาติไปโดยไม่มีประโยชน์
ดังนั้น ร่างกายของเราจึงมีค่ามาก เพราะมีอาจารย์สถิตอยู่ภายใน
ด้วยเหตุนี้ในคัมภีร์ไบเบิลจึงมีกล่าวไว้ว่า เธอไม่รู้หรือว่า
เธอคือวิหารของพระเจ้า และพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพสถิตอยู่ภายในตัวเธอ
พระจิตอันศักดิ์สิทธิ์ก็เหมือนกัน คือสิ่งเดียวกัน
ถ้าร่างกายของเราเป็นที่ประทับของพระจิตศักดิ์สิทธิ์
หรือพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ เรานึกออกหรือไม่ว่ามันสำคัญยิ่งยวดขนาดไหน!
แต่คนจำนวนมากอ่านตรงนี้อย่างรวดเร็วและไม่เข้าใจ
ไม่เห็นความสำคัญของข้อความนี้ และไม่ได้พยายามศึกษาหาความจริง
นี่เป็นเหตุผลที่บรรดาลูกศิษย์ของฉันชอบศึกษาติดตามคำสอนของฉัน
ก็เพราะเขาสามารถค้นพบว่าใครนั่งอยู่ข้างใน มีอะไรอยู่เหนือโลกนี้
นอกเหนือไปจากการดิ้นรนต่อสู้ในชีวิตประจำวัน การหาเงินเลี้ยงชีพ
และปัญหาวุ่นวายต่างๆ มากมาย เรามีความงาม มีอิสรภาพ
มีความรู้มากมายกว่าอยู่ภายใน
และหากเรารู้วิธีการที่ถูกต้องเหมาะสมในการติดต่อกับสิ่งนี้
ทั้งหมดนี้ก็จะเป็นของเรา เพราะเรามีอยู่แล้วภายใน
แต่เป็นเพราะเราไม่รู้ว่ากุญแจอยู่ที่ไหน
เราปิดล็อคบ้านของเราไว้เป็นเวลานาน
จนตอนนี้เราลืมไปว่าเรามีทรัพย์สมบัติเหล่านี้ ก็เท่านั้นแหละ
เพราะฉะนั้นผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์ ก็คือ
ผู้ซึ่งสามารถช่วยเราเปิดประตูและแสดงให้เราเห็นว่าสิ่งที่เป็นสมบัติดั้งเดิมของเรานั้นคืออะไร
แต่เราก็ต้องใช้เวลาเดินเข้าไปภายใน และตรวจสมบัติทุกชิ้นที่เรามีอยู่
ที่พูดมานี้ เรายังอยู่ในโลกชั้นที่ 2 นะ
พวกเธอยังสนใจอยากไปไกลกว่านี้อีกไหม? (ผู้ฟังตอบว่าอยากไป)
เธออยากรู้ทุกอย่างโดยไม่ต้องทำงานอะไรเลยใช่ไหม? (อาจารย์หัวเราะ) ก็ได้
อย่างน้อยบางคนก็สามารถเล่าสภาพความเป็นอยู่ของต่างประเทศให้เธอฟังได้
ถ้าเขาเคยอยู่ที่นั่นมาแล้ว ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยไปมาก็ตาม จริงไหม?
อย่างน้อยเธอก็ยังมีความสนใจ บางทีเธออาจจะอยากไปก็ได้ โอเค
ทีนี้สูงกว่าโลกชั้นที่สองเป็นอย่างไร
จริงๆฉันยังไม่ได้เล่าทุกเรื่องในระดับชั้นที่สองนะ
แต่เธอก็รู้ว่าเราคงนั่งอยู่ที่นี่ทั้งวันไม่ได้
เอาละสูงกว่าระดับชั้นที่สองขึ้นไป เธออาจจะมีพลังมากขึ้น
ถ้าเธอมีความตั้งใจแน่วแน่และพยายามออกแรงเพื่อสิ่งนี้
เธอก็จะไปถึงระดับชั้นที่สาม
ที่เรียกว่าโลกที่ 3 นี้ เป็นอันดับชั้นที่สูงขึ้นไป
ผู้ที่จะขึ้นไปถึงชั้นนี้จะต้องเป็นบุคคลที่สะอาดหมดจด
อย่างน้อยต้องปราศจากหนี้สินทุกชนิดของโลกนี้ เข้าใจไหม?
ถ้าเรายังเป็นหนี้เจ้าผู้ครองโลกแห่งวัตถุนี้อยู่ เราก็ยังขึ้นไปไม่ได้
เหมือนกับเธอเป็นอาชญากรของประเทศใดประเทศหนึ่ง โทษของเธอยังใช้ไม่หมด
เธอก็ไม่สามารถข้ามพรมแดนไปยังอีกประเทศหนึ่งได้ เพราะฉะนั้น
หนี้สินของโลกนี้จะรวมถึงสิ่งต่างๆที่เราเคยทำตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน
และอาจจะในอนาคตของชีวิตเราด้วย
สิ่งต่างๆเหล่านี้ต้องได้รับการชดใช้ให้หมด
เหมือนเวลาที่เราผ่านด่านศุลกากรนั่นแหละ
ก่อนที่เราจะสามารถไปยังโลกระดับสูงขึ้นไป ในขณะที่เราอยู่ในโลกที่สองนี้
เราก็ต้องเริ่มทำงานแล้ว เข้าใจไหม
ต้องจัดการกับกรรมที่ยังคั่งค้างอยู่ทั้งของชาติที่แล้วและชาตินี้
เพราะถ้าไม่มีกรรมในอดีต เราก็ไม่สามารถมาอยู่ในชีวิตปัจจุบันนี้ได้
อาจารย์มีอยู่สองประเภท ประเภทแรกคืออาจารย์ซึ่งไม่มีกรรม
ต้องยืมกรรมของผู้อื่นเพื่อที่จะลงมา
อาจารย์ประเภทที่สองก็เหมือนกับพวกเรา เป็นมนุษย์ธรรมดา
แต่มีกรรมที่สะอาดที่สุด เพราะฉะนั้นใครๆก็สามารถจะเป็นอาจารย์ในอนาคตได้
บางครั้งผู้เป็นอาจารย์จะลงมาจากโลกในระดับสูง โดยยืมกรรมของผู้อื่นมา
ฟังแล้วเธอรู้สึกอย่างไร เรื่องการยืมกรรมน่ะ? (อาจารย์หัวเราะ)
เป็นไปได้นะ เป็นไปได้ ยกตัวอย่างเช่น ก่อนที่เธอจะลงมาที่นี่
เธอก็เคยมาที่นี่มาก่อนแล้ว ใช่ไหม?
และเธอเคยให้หรือรับอะไรจากใครต่อใครมาหลายชาติ หลายร้อยปีแล้ว
จากนั้นเธอก็กลับไปสวรรค์หรือไปยังดินแดนของเธอซึ่งอยู่ไกลมาก
อยู่ในระดับชั้นที่ต่างออกไป อย่างน้อยก็อยู่ระดับชั้นที่ห้า
ซึ่งที่นั่นเป็นบ้านของผู้ที่อยู่ในระดับชั้นที่เรียกว่า อาจารย์
แต่เหนือจากระดับชั้นที่ห้า ก็ยังมีอันดับชั้นอื่นๆ
อีกมาก
ทีนี้เมื่อเราต้องการจะกลับลงมาใหม่ เนื่องจากมีความเมตตาต่อสรรพสัตว์
หรือได้รับหน้าที่บางอย่างจากพระบิดา เราก็จะลงมา
และเนื่องจากเรามีบุญสัมพันธ์กับผู้คนในอดีตชาติ
เราก็สามารถยืมกรรมของเขามาได้บ้าง ก็คือหนี้นั่นแหละ ไม่มีอะไรอย่างอื่น
ไม่มีอะไรดีในหมู่มวลมนุษย์ นอกจากความเป็นหนี้
เราสามารถยืมหนี้มาแล้วเราก็จ่ายคืนไป เข้าใจไหม
โดยใช้พลังทางจิตวิญญาณค่อยๆจ่ายคืนช้าๆ จนกระทั่งทำงานบนโลกนี้เสร็จ
เพราะฉะนั้น อาจารย์พวกนี้ก็เป็นแบบหนึ่ง ใช่ไหม?
ยังมีอีกแบบหนึ่งซึ่งมาจากโลกนี้ หลังจากที่เขาได้บำเพ็ญปฏิบัติธรรม
เขาก็กลายเป็นอาจารย์ได้ทันทีโดยที่ยังอยู่ที่นี่
เหมือนกับนักศึกษาจบการศึกษานั่นเอง เพราะฉะนั้นในมหาวิทยาลัย
เราก็มีศาสตราจารย์ และมีนักศึกษา
ต่อมานักศึกษาก็เรียนจบและกลายมาเป็นศาสตราจารย์ได้ในภายหลัง เข้าใจไหม?
จึงมีทั้งผู้ที่เป็นศาสตราจารย์มานานมากแล้ว
และมีผู้ที่เพิ่งเป็นศาสตราจารย์หลังจากที่เขาเรียนจบได้ไม่นาน ฯลฯ
ในทำนองเดียวกัน ผู้ที่เป็นอาจารย์ก็มีแบบนี้ด้วย
คราวนี้ ถ้าเราต้องการจะไปยังโลกที่สาม
เราก็ต้องสะอาดหมดจดไม่มีกรรมตกค้างหลงเหลืออยู่แม้แต่นิดเดียว
กรรมก็คือกฎที่มีคำกล่าวไว้ว่า หว่านพืชอย่างไร ก็จะได้ผลอย่างนั้น
ก็เหมือนเราปลูกด้วยเมล็ดส้ม ก็จะได้ผลส้ม
ปลูกด้วยเมล็ดแอปเปิ้ลก็จะได้ผลแอปเปิ้ล นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่ากรรม
มันเป็นภาษาสันสกฤตซึ่งหมายถึง สาเหตุและการชดใช้การกระทำ
คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้พูดถึงกรรม แต่พูดว่า หว่านพืชอย่างไร
ก็จะได้ผลอย่างนั้น ซึ่งก็คือเรื่องเดียวกัน
คัมภีร์ไบเบิลเป็นคำสอนแบบย่อๆ ของอาจารย์ท่านหนึ่ง
และชีวิตของพระองค์ก็สั้นด้วย
ดังนั้นเราจึงไม่มีคำอธิบายมากนักในคัมภีร์ไบเบิล
และไบเบิลหลายตอนก็ถูกตัดทอนเปลี่ยนแปลง
เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้นำในสมัยนั้น
ซึ่งบุคคลเหล่านี้ไม่ใช่คนที่สนใจเรื่องทางจิตวิญญาณเสมอไป
เธอก็ทราบว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ก็มีคนซื้อ คนขาย มีนายหน้า
ทุกเรื่องเลย มีนายหน้าอยู่ในทุกแง่ทุกมุมของชีวิตเต็มไปหมด
แต่สำหรับคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งเป็นไบเบิลที่แท้จริงนั้น เราทราบดีว่า
มันแตกต่างจากที่เราเห็นอยู่เล็กน้อย มีความยาวมากกว่านิดหน่อย
มีความถูกต้องกว่า และเข้าใจง่ายกว่า อย่างไรก็ดี
เนื่องจากเราไม่สามารถจะพิสูจน์อะไรได้มากนัก เราก็เลยไม่พูดถึงเรื่องนี้
เดี๋ยวคนจะเข้าใจว่าเราดูหมิ่นศาสนาได้
เพราะฉะนั้นเราสามารถจะพูดได้ก็แต่เฉพาะบางเรื่องที่เราพิสูจน์ได้เท่านั้น
ถ้าอย่างนั้นพวกเธอก็อาจจะถามฉันว่า ท่านพูดถึงเรื่องของโลกที่สอง, สาม,
และสี่ แล้วท่านมีอะไรพิสูจน์ได้หรือเปล่า? ได้สิ ฉันสามารถพิสูจน์ได้
ถ้าเธอเดินไปกับฉัน เดินไปตามทางเดียวกัน เธอก็จะเห็นสิ่งเดียวกัน
เข้าใจไหม? แต่ถ้าเธอไม่เดินฉันก็ไม่สามารถพิสูจน์ให้เธอรู้ได้
นั่นเป็นสิ่งที่แน่นอน,จริงๆ เพราะฉะนั้น
ฉันจึงกล้าพูดเรื่องต่างๆเหล่านี้ก็เพราะเรามีข้อพิสูจน์
เรามีข้อพิสูจน์จากบรรดาลูกศิษย์หลายแสนคนที่กระจายอยู่ทั่วโลก
ดังนั้นเราจึงกล้าพูดในสิ่งที่เรารู้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราไปที่........
แต่เธอจะต้องเดินมาด้วยกันกับฉันนะ เธอต้องเดิน ถ้าเธอไม่ทำเช่นนั้น
เธอก็จะมาพูดไม่ได้ว่า ก็ท่านช่วยเดินแทนฉันหน่อยซี แล้วมาเล่าให้ฟัง
มาแสดงทุกสิ่งทุกอย่างให้ฉันเห็น ฉันไม่สามารถจะทำแบบนั้นได้หรอก
ยกตัวอย่าง ถ้าฉันไม่ได้มาที่องค์การสหประชาชาติ ไม่ได้มาอยู่ในห้องนี้
ไม่ว่าเธอจะเล่าให้ฉันฟังเกี่ยวกับห้องนี้มากแค่ไหนก็ตาม
ฉันก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์จริงๆ ใช่ไหม?
เพราะฉะนั้นเราจำเป็นต้องเดินไปพร้อมๆกับคนนำทางที่มีประสบการณ์
ฉันมีลูกศิษย์บางคนอยู่ในห้องนี้ ซึ่งมีเชื้อชาติต่างๆกัน
พวกเขาเคยมีประสบการณ์บางอย่างตามที่ฉันเพิ่งเล่าให้พวกเธอฟัง
บางคนก็มีเพียงบางส่วน บางคนก็ได้รับอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนแล้ว
ทีนี้ก็มาถึงระดับที่สูงกว่าโลกที่สาม
สิ่งที่เล่ามานี้ไม่ใช่หมดเกลี้ยงแล้วนะ เป็นเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น
เหมือนกับเป็นการเล่าเรื่องเกี่ยวกับการเดินทาง
เอาสิ่งละอันพันละน้อยนิดๆหน่อยๆมาพูดให้ฟัง ไม่มีรายละเอียดอะไรมากมาย
แม้แต่เวลาที่เราอ่านหนังสือเกี่ยวกับประเทศใดประเทศหนึ่ง
มันก็ยังไม่ใช่ประเทศนั้นจริงๆ ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น
เรามีหนังสือมากมายเกี่ยวกับเรื่องการเดินทาง เกี่ยวกับประเทศต่างๆในโลก
แต่เราก็ยังอยากจะไปที่นั่นด้วยตัวเอง จริงไหม?
เรารู้เรื่องเกี่ยวกับประเทศสเปน, เทเนรีฟ และกรีซ
แต่ก็เป็นเพียงการดูจากภาพยนตร์ หรืออ่านหนังสือเท่านั้น
เราต้องไปที่นั่น ได้มีประสบการณ์จริงๆ ได้รับความสุขจากการอยู่ที่นั่น
ได้กินอาหารอร่อยๆที่เขาให้มา ได้สัมผัสกับน้ำทะเล อากาศที่สดใส
ผู้คนที่เป็นมิตร และบรรยากาศต่างๆโดยรอบ
ซึ่งเราไม่สามารถจะมีประสบการณ์เหล่านี้ได้จากการอ่านหนังสือ เอาละ
สมมุติว่าเธอผ่านโลกที่สามไปแล้ว จะไปไหนต่อล่ะ? แน่นอน
เธอก็ต้องไประดับชั้นที่สูงขึ้น คือระดับที่สี่
โลกระดับที่สี่นี้มีความมหัศจรรย์พันลึกมาก
เราไม่สามารถใช้ภาษาธรรมดาๆมาบรรยายให้คนทั่วไปฟังได้
เพราะเกรงว่าจะเป็นการล่วงเกินผู้เป็นใหญ่แห่งโลกนั้นได้
เพราะโลกระดับที่สี่ มีความสวยงามมากจริงๆ
แม้ว่าบางส่วนจะเป็นความมืดมิดมาก
มืดยิ่งกว่าคืนที่ไฟดับในนิวยอร์กเสียอีก เธอเคยเจอบ้างไหม
ที่เมืองทั้งเมืองอยู่ในความมืดสนิท ใช่แล้ว! มันมืดกว่านั้นอีก!
ก่อนที่จะไปถึงแสงสว่าง จะเป็นความมืดมิดเป็นเสมือนเมืองต้องห้าม
ก่อนที่เราจะไปถึงความรู้ของพระเจ้า เราจะถูกหยุดอยู่ที่นั่น
แต่ถ้าเรามีอาจารย์ ซึ่งเป็นอาจารย์ที่เคยมีประสบการณ์มาแล้ว
เธอก็จะสามารถผ่านไปได้ มิฉะนั้นแล้ว
เราจะไม่มีวันหาหนทางในโลกแบบนั้นได้พบเลย
ในขณะที่เราผ่านระดับชั้นต่างๆ ขึ้นไป
เราไม่เพียงแต่จะมีความเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณเท่านั้น
ทางฝ่ายเนื้อหนังก็จะเปลี่ยนด้วย รวมทั้งด้านสติปัญญา
และสิ่งอื่นๆทุกอย่างในชีวิตของเรา
เราจะมองชีวิตด้วยทัศนคติที่แตกต่างออกไป เราจะดำเนินชีวิตต่างไป
วิธีการทำงานต่างไป แม้แต่งานของเรา งานที่เราทำอยู่ทุกวัน
ก็จะมีความหมายต่างไปจากเดิม เราจะเข้าใจว่าทำไมเราจึงต้องทำงานแบบนี้
ทำไมเราจึงต้องทำอาชีพนี้ ทำไมเราจึงควรต้องเปลี่ยนงาน
เราจะเข้าใจวัตถุประสงค์ของชีวิต
เพราะฉะนั้นเราจะไม่รู้สึกกระวนกระวายหรือร้อนใจ ใช่แล้ว!
แต่เราจะรอคอยไปอย่างเรื่อยๆ อย่างอดทน
เพื่อให้ภารกิจของเราบนโลกนี้เสร็จสิ้นลง
เพราะเรารู้ว่าเรากำลังจะไปที่ไหนต่อ
เรารู้ถึงสิ่งเหล่านี้ได้ในขณะที่ยังมีชีวิต สภาพเช่นนี้แหละที่เรียกว่า
ตายในขณะที่ยังมีชีวิต ใช่แล้ว!
ฉันคิดว่าพวกเธอบางคนคงเคยได้ยินอะไรทำนองนี้มาก่อน
แต่ฉันไม่รู้ว่าจะมีอาจารย์ท่านใดที่พูดต่างไปจากนี้หรือเปล่า
(อาจารย์หัวเราะ) เว้นแต่ว่า
เราจะต้องได้รับความสุขจริงๆจากประสบการณ์ภายใน
ถ้ามีคนมาบรรยายเกี่ยวกับรถเบนซ์
เขาจะเล่าให้กลายเป็นรถที่ต่างออกไปได้อย่างไร จริงไหม?
ก็มันเป็นสิ่งเดียวกัน เพราะฉะนั้น คนที่เป็นเจ้าของรถเบนซ์
รู้จักรถเบนซ์ดี ก็จะบรรยายออกมาเหมือนๆ กัน เข้าใจไหม
แต่สิ่งที่เขาเล่าก็ยังไม่ใช่รถเบนซ์จริงๆ
ดังนั้น ถึงแม้ว่า ฉันจะพูดให้พวกเธอฟังเป็นภาษาง่ายๆ ธรรมดาๆ
แต่เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา
และมันเป็นเรื่องที่เราต้องมีประสบการณ์ด้วยตนเอง ด้วยความขยัน
ด้วยความจริงใจ และมีผู้นำทาง การทำเช่นนั้นจะปลอดภัยกว่า
ถึงแม้ว่าอาจจะมีโอกาสที่เป็นหนึ่งในล้าน
ที่เราสามารถบำเพ็ญจนสำเร็จบรรลุได้ด้วยตนเอง แต่มันก็มีอันตราย
มีการเสี่ยง และผลที่ได้ก็ไม่มีหลักประกันแน่นอน
รวมทั้งไม่ปลอดภัยอีกด้วย มีบางคนในอดีตเช่น สวีเดนบอร์ก (Swedenborg)
ซึ่งสามารถทำสำเร็จได้ด้วยตนเอง และอีกคนหนึ่งคือ เกิร์ดจีฟ (Gurdjieff)
ซึ่งก็คาดว่าสามารถทำสำเร็จได้เอง ไปตลอดรอดฝั่งด้วยตัวคนเดียว
เมื่อฉันได้อ่านผลงานของบางคนก็พบว่า ไม่มีเลยที่จะปราศจากอันตราย
หรือความยุ่งยากต่างๆมากมาย
และก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถไปถึงระดับชั้นสูงสุดได้ทุกคน
เอาละ
หลังจากนั้นเธอก็จะขึ้นไปในระดับที่สูงขึ้น
หลังจากระดับที่สี่ก็ไประดับสูงกว่านั้น เป็นบ้านของบรรดามหาอาจารย์
ซึ่งก็คือระดับที่ห้า อาจารย์ทุกท่านลงมาจากระดับนี้
ถึงแม้ว่าระดับชั้นของบางท่านอาจจะสูงกว่าระดับที่ห้า เขาก็จะอยู่ที่นี่
มันเป็นที่อยู่ของบรรดาอาจารย์
เหนือระดับนี้ขึ้นไปยังมีแง่มุมต่างๆเกี่ยวกับพระเจ้าอีกมาก
ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ ฉันเกรงว่าจะทำให้พวกเธอสับสน เพราะฉะนั้น
ไว้คราวหน้าฉันอาจจะเล่าให้ฟัง หรือหลังจากการประทับจิตก็ได้
ให้เธอเตรียมใจที่จะรับฟังมากกว่านี้
แล้วฉันจะเล่าเรื่องที่น่าพิศวงเกี่ยวกับจินตนาการของเธอ
ว่าบางครั้งมันทำให้เธอมีความคิดที่ผิดๆ หลายอย่างเกี่ยวกับพระเจ้าได้อย่างไร
เอาละ ฉันยินดีที่จะตอบคำถามถ้าใครมีคำถาม
และก็ยินดีที่จะให้เธอไล่ฉันออกไปด้วยถ้าเธอรู้สึกว่ามันน่าเบื่อเกินไปแล้ว
(อาจารย์หัวเราะ) ฉันก็ยินดีที่จะไปเช่นกัน
มีคำถามอะไรไหม? เชิญได้ เดี๋ยวรอก่อนพร้อมแล้วหรือยัง
เดี๋ยวนะกรุณารอไมโครโฟนก่อน
คนอื่นจะได้ได้ยินที่เธอพูดด้วย |