อาจารย์เล่านิทาน
     

จงเป็นตัวอย่างที่กล้าหาญและซื่อสัตย์

 
 
 

ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ซีหู ฟอร์โมซา

3 พฤศจิกายน 2538 (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ) วิดีทัศน์หมายเลข 511

 
 
 
 

มีเรื่องเล่าเกี่ยวผู้ชายคนหนึ่งในรัฐฉี เขามีชื่อว่าเถียน วันหนึ่งเขาได้งานเลี้ยงใหญ่โตมากเพื่อบวงสรวงพระภูมิเจ้าที่ ผู้คนหลายพันคนได้มาร่วมงานเลี้ยงนี้และมีการทำอาหารมากมาย การรับประทาน การรื่นเริงสนุกสนาน และอะไรแบบนั้น

จากนั้นก็มีแขกคนหนึ่งมามอบของให้กับนายเถียน เป็นปลาและนกพันธุ์ที่หายากมาก และรังนกที่หายาก มันแพงมากในประเทศจีนและเป็นของที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ในการสร้างรังนั้น นกนางแอ่นจะต้องถ่มน้ำลายของมันออกมา แต่แล้วเมื่อคนมาขโมยเอารังของมันไป มันก็ต้องสร้างต่อโดยการสร้างรังใหม่อีกรังหนึ่ง แต่พอถึงเวลานั้น นกก็จะไม่มีน้ำลายและสารอาหารในร่างกายมันที่จะถ่มออกมาอีกต่อไป ดังนั้นมันก็จะถ่มจนเลือดออก แล้วน้ำลายบนรังในตอนนั้นก็จะเป็นสีแดงเลือด แต่รังนกสีแดงกลับแพงกว่าสีขาว และนั่นคือวิธีที่พวกคนรับประทานมัน

เพราะฉะนั้นขอให้ระวัง: ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่เป็นมังสวิรัติ จะเป็นผัก แม้เธอจะไม่ได้ฆ่านก แต่มันก็ตายจากความทรมาน จากการขาดอาหาร และขาดสารอาหารเหมือนๆ กัน เพราะฤดูกาลที่มันต้องสร้างรังไว้ให้พร้อมสำหรับลูกของมันได้มาถึง นั่นเป็นปฏิกิริยาที่เป็นไปตามธรรมชาติของนก ถ้าเราเอารังของมันไป มันก็จะสร้างรังใหม่ ซึ่งมันก็จะถ่มน้ำลายไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันสร้างรังขึ้นมา บางทีมันอาจไม่สมบูรณ์ และบางทีมันอาจสมบูรณ์ แต่ก็ต้องเอาชีวิตหรือสุขภาพมันมีค่าของมันเข้าแลก มันอาจเหนื่อยล้า แล้วพอถึงเวลาที่ลูกนกเกิดขึ้นมาก็ไม่มีใครสามารถดูแลพวกมัน แน่นอน มีมนุษย์ไงล่ะ พวกเขา “ดูแล” เด็กๆ โดยการเอาเด็กๆ ใส่เข้าไปในท้องอันอบอุ่นของพวกเขาและเก็บเอาไว้ตลอดกาล เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอยู่เสมอ

ในงานเลี้ยงของนายเถียนนี้ เมื่อมีคนมอบรังนกเลือดที่หายากเช่นนี้ให้แก่เขา ตัวอย่างเช่น หรือปลาที่หายากมาก นายเถียนก็รู้สึกซาบซึ้งใจมากและดีใจ เขาคงจะเป็นบุคคลชั้นสูงที่สำคัญมากในสังคม ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่มีงานเลี้ยงแบบนี้ และคงมีคนไม่มากนักที่มาร่วมงาน ดังนั้นเขาจึงซาบซึ้งใจและดีใจ แล้วเขาก็ถอนหายใจ พูดว่า “โอ! พระเจ้ามีความรักต่อพวกเรามาก ดูสิ่งที่พระองค์ประทานให้เรารับประทานทุกๆ วันสิ พระองค์สร้างสัตว์สารพัดชนิดเพื่อให้เราอิ่มท้องและเอร็ดอร่อยในรสอาหาร”

ทุกคนได้ยินประโยค ที่เขาพูดสรรเสริญพระเจ้าแบบนั้น จึงปรบมือด้วยความเห็นพ้องและชื่นชมสรรเสริญ แต่ในหมู่แขกที่มานั้น มีเด็กชายคนหนึ่งอายุเพียง 12 ขวบ บางทีเขาอาจเป็นมังสวิรัติ  เขายืนขึ้นและพูดว่า “ท่านครับ มันไม่ใช่เป็น อย่างที่ท่านพูดหรอกครับ” แล้วท่านเซอร์ก็ประหลาดใจมากและสะดุ้งตกใจ เขาถามเด็กว่า “หนูหมายความว่าอย่างไร มันไม่ใช่เป็น แบบที่ฉันพูดหรือ? หนูมีความเห็นเป็นอย่างอื่นหรือ หนูผู้มีอายุน้อยนิด? หนูรู้อะไรด้วยหรือ?”

เด็กชายก็พูดว่า “ครูของผมสอนผมอีกแบบหนึ่ง ครูผมพูดว่า “สรรพสัตว์มีความเสมอภาคในโลกนี้ พระเจ้าสร้างสรรพสัตว์ด้วยความรักแบบเดียวกัน ด้วยศิลปะ ด้วยพรสวรรค์ที่สร้างสรรค์ และด้วยความตั้งใจที่สร้างสรรค์แบบเดียวกัน” ดังนั้นจึงไม่มีใครในโลกนี้ที่ดีกว่าสรรพสัตว์อื่นใดในโลกนี้ พระเจ้าสร้างสรรพสัตว์ที่แตกต่างกันด้วยจุดประสงค์และเจตนาที่แตกต่างกัน หากท่านพูดว่า สรรพสัตว์ อย่างเช่น ปลา นก กระบือ และอื่นๆ มีไว้เพื่อให้เรารับประทาน เพราะพระเจ้าสร้างพวกมันขึ้นมาให้เรารับประทาน ผมก็คิดว่า ท่านผิด เพราะว่าลองดูยุงสิครับ มันกัดเราและดูดเลือดเรา และดูสิงโตและเสือสิครับพวกมันกินมนุษย์ ท่านคิดว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์ให้ยุง และเสือและสิงโตด้วยหรือเปล่าครับ?” ดังนั้นท่านเซอร์ พวกบุคคลสำคัญจึงไม่รู้ว่าจะโต้ตอบอย่างไร
 

เด็กชายก็พูดต่อว่า “ครูของผมพูดว่า ‘ในโลกนี้สรรพสัตว์ทุกชนิดมีความเท่าเทียมกัน แต่ส่วนใหญ่มนุษย์จะใช้ความฉลาด พละกำลัง และเล่ห์เหลี่ยม มาทำร้ายและเอาเปรียบสรรพสัตว์อื่นๆ ที่อ่อนแอกว่า อ่อนโยนกว่า อ่อนหวานกว่า และมีภัยน้อยกว่า ทั้งหมดก็มีเท่านี้’ เราไม่สามารถพูดว่า พระเจ้าสร้างสรรพสัตว์ใดๆ มาให้เรารับประทานหรือให้เราใช้” ดังนั้นแน่นอน พวกบุคคลสำคัญและพวกบุคคลสำคัญที่เล็กกว่าอื่นๆ ทั้งหมดในงานก็ปิดปากสนิท

ฉันคิดว่า เด็กชายบางคนของเรา วันหนึ่งพวกเขาก็จะพูดแบบเดียวกันนี้ ณ ที่ใดที่หนึ่ง อาจจะเป็นที่ทำเนียบขาวก็ได้ (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) ฉันเพียงแต่ล้อเล่น มันอาจจะไม่เป็นที่ทำเนียบขาว มันอาจเป็นที่ทำเนียบฟ้า” ทำเนียบชมพู” หรือ “ทำเนียบเหลือง” แล้วตอนนี้เด็กๆ ของเราส่วนใหญ่ก็ฉลาดมาก บางครั้งพวกเขาก็พูดออกมาตรงๆ ใน สิ่งที่พวกเขาคิดหรือตามที่ได้เรียนรู้มาจากที่นี่โดยไม่กลัวว่าจะทำให้ใครขุ่นเคือง

ในทางกลับกัน กลายเป็นว่า พวกเราผู้ใหญ่ซึ่งฉลาดกว่า แข็งแรงกว่า เป็นผู้ใหญ่ที่ฉลาด กลับกลัวที่จะพูดในบางครั้ง แม้กระทั่งภายในครอบครัว เราก็กลัวที่จะพูดกับผู้คนว่า เราเป็นลูกศิษย์อาจารย์ชิงไห่ เราถือศีล 5 และรับประทาน มังสวิรัติ อาหารที่มีเมตตา เพราะเรากลัวว่า คนจะหัวเราะเยาะเรา เรากลัวว่า คนจะตีจากและไม่เป็นเพื่อนเราอีกต่อไป เรากลัวว่า ตำแหน่งของเราจะสั่นคลอน เรากลัวว่า นายของเราจะหมดความชอบในตัวเรา เรากลัวว่าภรรยาของเราจะไม่รักเราอีกต่อไป เรากลัวว่าลูกๆ ของเราจะคิดว่าเราเป็นบ้าไปแล้ว และเรากลัวว่า เพื่อนๆ ของเราจะตีจากเรา เรากลัวว่าทุกคนจะมองดูเราหรือดูถูกเราคล้ายกับว่า เราเป็นบ้าหรือมาจากดาวดวงอื่น

เรากลัวทุกอย่าง เรากลัว แม้กระทั่งร้านขายเนื้อสัตว์จะมองดูเราด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป ทุกครั้งที่เราเดินผ่านในตอนนี้ เรากลัว ไม่ว่าเรื่องอะไรว่า เพราะเราได้เรียนรู้มาในทางลบว่า ทุกอย่างที่แตกต่างออกไป ทำให้คนปลีกตัวออกห่าง แต่ไม่จำเป็นเสมอไปหรอก ถ้าเราแตกต่างในทางที่ดี คนอาจทำตามก็ได้ มิฉะนั้นแล้วเราจะมีชีวิตที่แตกต่างออกไปทำไม ถ้าเรากลัวนักกลัวหนา? ถ้าเช่นนั้นเราก็ก้มศีรษะของเรา คำนับทุกคน และมีชีวิต แบบที่พวกเขาเป็นกันก็แล้วกัน แบบนี้เราก็จะมีความสงบสุขตลอดกาล, บางที เพราะเราจะอยู่ที่นี่ตลอดไป แล้วเราก็จะมีความสงบสุขกับมนุษย์ทั้งหลายเหล่านี้ตลอดไป แต่อาจจะไม่ใช่กับสัตว์ต่างๆ แล้วทุกที่ที่เราไป สุนัขก็จะเห่าเรา และวัวกระทิงก็ถึงอาจถึงกับขวิดเราก็เป็นได้

ฉันได้เห็นภาพมากมายของวัวกระทิงในสนามสู้วัวกระทิง บางครั้งเมื่อมันสามารถขวิดนักสู้วัวกระทิงได้ มันก็เอาจริงๆ – ไปสู่สวรรค์เลย นั่นเป็นลักษณะ ที่เราเรียกว่าอาจจะเป็นกรรม เพราะฉะนั้นหากพวกเราทุกคนกล้าหาญเหมือนเด็กชายคนนี้ซึ่งมีอายุ 12 ขวบ (มันเป็นเรื่องจริง) ฉันก็คิดว่า โลกนี้จะเป็นสถานที่ที่ดีขึ้น แล้วเราก็จะมีพี่น้องมากขึ้น หลั่งเลือดน้อยลง มีความรุนแรงน้อยลง มีสงครามน้อยลง และมีการพูดคุยเรื่องสันติภาพน้อยลง เพราะสันติภาพจะเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

แล้วเราก็ไม่ต้องใช้จ่ายเงินมากมายสำหรับโรงแรม 5 ดาวใน เจนีวา และพวกเครื่องบินส่วนตัวทั้งหลาย และผู้คุ้มกันและแชมเปญชั้น 1 และคาร์เวียร์ เราไม่ต้องเสียน้ำลายเพื่อพูดคุยเรื่องสันติภาพ เมื่อสันติภาพได้มาเยือนโลกของเราจริงๆ ถ้าทุกคนทำตามวิถีทางของนักบุญ ทำตามวิถีทางแห่งความไม่รุนแรงจากข้างในออกสู่ข้างนอกตั้งแต่เด็กเป็นต้นไป เด็กๆ ของเราทั้งหมดก็จะเป็นเหมือนกับเด็กในเรื่องนี้ เพราะจะต้องมีสักวันหนึ่ง ที่ผู้คนในโลกนี้เบื่อหน่ายสงคราม การต่อสู้ และความรุนแรง จะต้องมีสักวันหนึ่ง ที่พวกเขาจะมานั่งรวมกันและหยุดเรื่องเหลวไหลทั้งหมดนี้

การที่พวกเราซึ่งเป็นมนุษย์ไม่สามารถพูดคุยกันได้ด้วยภาษาของเราเองเป็นเรื่องที่น่าละอาย เราได้ลดสถานะของตัวเราลงมาสู่สถานะของสัตว์ แล้วเราก็ชอบใช้มันมาด่าสาปแช่งคนอื่น อย่างเช่น “เธอเป็นหมา ไอ้หมา” และอะไรแบบนั้น แต่สัตว์ไม่ได้เลวอะไรแบบนั้น พวกมันไม่เลวเหมือนกับมนุษย์เราบางคนเสียด้วยซ้ำ สัตว์บางครั้งต่อสู้เพราะความหิว พวกมันกินและฆ่าเพราะความหิว แต่หลังจากที่พวกมันอิ่มแล้ว พวกมันก็เชื่อง พวกมันไม่ออกไปทำร้ายใคร

บางครั้งสัตว์ก็สู้กับสัตว์อื่น แต่พวกมันปกป้องพวกของมัน แต่บางครั้งพวกเราซึ่งเป็นมนุษย์ พวกเราสู้กับทุกคน: เพื่อนบ้านของเรา ลูกของเรา ทุกอย่างของเรา เพราะเราไม่สามารถระงับความแตกต่างของเราเองด้วยคำพูด หรือการจัดการ หรือใช้สันติวิธีแบบสุภาพบุรุษ มันยากมากสำหรับเรา เพราะฉะนั้นถ้าเราคิดกันจริงๆ ในเรื่องนี้แล้วละก็ สัตว์บางตัวก็มีคุณสมบัติที่ดีมากมาย บางครั้งดีกว่าเราเสียด้วยซ้ำไป สุนัขมีความซื่อสัตย์มาก ม้ามีความจงรักภักดีมาก และวัวรักสันติมาก วัวให้และไม่เอาอะไรตอบแทน นอกจากหญ้าแห้ง และฉันไม่ทราบว่า เรามีสิทธิหรือศักดิ์ศรีที่ยิ่งใหญ่หรือไม่ที่จะดูถูกสัตว์ต่างๆ ซึ่งเรามักคิดเสมอๆ ว่าต่ำต้อยกว่าเราในเผ่าพันธุ์มนุษย์

ดังนั้นหากเรายังคงประพฤติตนในลักษณะที่ผู้คนในโลกประพฤติกันอยู่ทุกวันนี้ โดยการทำสงครามและยุติทุกอย่างด้วยปืน เลือด ชีวิตมนุษย์และอะไรแบบนั้น ฉันก็คิดว่า เราไม่มีศักดิ์ศรีพอเพียงหรือสิทธิที่จะมองเข้าไปในดวงตาของสัตว์ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องดูถูกพวกมัน ดังนั้นขอให้หวังในเรื่องนั้น และขอให้สอนลูกๆ ของเราด้วยตัวอย่างที่ดี ขอให้พวกเขามีความกล้าหาญและพูดจาตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์เหมือนอย่างเด็กชายในเรื่องนี้ นั่นคือหน้าที่ของเธอๆ จะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีแก่พวกเขา