ทำไมอาจารย์ต้องได้รับการประทับจิต

 

ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ลอสแองเจลิส แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
14 ธันวาคม 2540 (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)

 

ถ: เมื่อเหล่ามหาอาจารย์ลงมาเกิดในโลกนี้ ทำไมท่านเหล่านั้นยังต้องได้รับการประทับจิต หรือจำเป็นต้องมีอาจารย์อีก?

อ: จริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็นสำหรับพวกเขานักหรอก แต่จำที่พระเยซูเคยพูดได้ไหม? “ปล่อยให้เป็นไปตามกฎ” ท่านเองได้รับการเจิมโดยจอห์นเป็นผู้ทำพิธี และผู้คนมักถามท่านด้วยคำถามเดียวกันนี้ ท่านบอก “ปล่อยไปตามกฎ” ให้กฎได้ทำหน้าที่ของมัน กฎเกณฑ์แห่งจักรวาล สมมุติฉันเดินทางมาสหรัฐอเมริกาโดยถือสัญชาติอังกฤษ ฉันก็ต้องทำงานตามกฎหมายของประเทศนี้แม้ว่าจะแตกต่างกันเล็กน้อย ฉันต้องขับรถชิดขอบทางด้านขวา ไม่ใช่ชิดซ้ายเหมือนในอังกฤษ ไม่เช่นนั้นอาจเกิดปัญหาขึ้น แค่เพียงเราทำให้เหมือนๆ คนอื่น

แล้วทำไมล่ะ? ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยกับการมีครู อีกอย่างถ้าเธอมีครูทุกคนก็จะทำตาม ถ้าเธอมีอาจารย์ของเธอ พวกเขาจะรู้สึกเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าทุกอย่างเป็นเรื่องมหัศจรรย์เกินไปจะทำให้ผู้อื่นตื่นกลัว สมมุติอาจารย์ทะยานลงมาจากสวรรค์แล้วพูดว่า “ฉันอยู่นี่ มหาอาจารย์ บรา บรา บรา...” ฉันคิดว่าคนทั่วไปไม่ค่อยชอบแบบนี้เท่าไรนัก พวกเขาจะคิดว่าเป็นการสะกดจิต การหลอกลวง หรือการกระทำของปีศาจ เธอจะทำเช่นนั้นไม่ได้แน่ ความจริงก็เป็นเรื่องแย่เต็มทีอยู่แล้วที่อาจารย์จะต้องมาในรูปแบบทางกายภาพ ไม่ว่าในรูปร่างแบบใดก็ตาม เพราะคนยังยึดติดอยู่กับรูปแบบนี้ พวกเขาคิดว่า “โอ้ นี่คือรูปแบบของอาจารย์ รูปแบบอื่นๆ ย่อมไม่ดี”

พระเจ้าไม่สามารถปรากฎต่อหน้าเราในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งได้ตลอดเวลา ถ้าท่านมาในรูปของพระเยซู พุทธศาสนิกชนก็จะพูดว่า “ไม่ ไม่ ไม่ใช่สำหรับฉัน!” และถ้าท่านมาในรูปของพุทธะอย่างที่หลายคนอยากเห็น ฝ่ายคาทอลิกก็จะพูดว่า “ไม่ ไม่ นี่มันพวกนอกรีต” หรืออะไรทำนองนี้ จึงเป็นเรื่องที่ยุ่งยากทีเดียว ดังนั้นเราจึงต้องค้นหาสัจธรรมภายใน ไม่สำคัญว่าอาจารย์ท่านจะมีครูหรือไม่ ท่านมาที่นี่ ท่านกินข้าวได้ ท่านกำเนิดมา มีร่างกายและเติบโตขึ้น ได้ร่ำเรียน และทำทุกอย่างเหมือนๆ คนอื่น ข้อนี้จึงไม่ต่างกับเรื่องการประทับจิต

และมันก็เป็นเรื่องดีที่ได้อ่อนน้อมถ่อมตน ได้นั่งอยู่แทบเท้าคนบางคนได้ เรียนรู้ในฐานะของลูกศิษย์เสียก่อน ไม่มีปัญหาสำหรับอาจารย์ อาจารย์สามารถเป็นได้ทุกอย่างแล้วกับการเป็นลูกศิษย์ทำไมจะเป็นไม่ได้? นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่องที่จะบอกเธอคืออาจารย์ทุกคนที่ลงมายังสหโลกธาตุ ความทรงจำ บารมี และพลังทั้งหมดจะสูญสิ้นไป หลังจากมีอายุได้ 4 ขวบหรือราวๆ นี้ จากนั้นเขาจะจำอะไรไม่ได้อีก เช่นเดียวกับคนอื่นๆ เขาต้องเริ่มเรียนรู้ใหม่ เขาต้องหาดอกกุญแจอีกครั้งจากอาจารย์ที่ยังมีชีวิตผู้จะคอยส่งกุญแจให้แก่เขา

ถ: อาจารย์บางท่านหลังจากได้รับการประทับจิต พวกเขาก็ค้นพบสัจธรรมด้วยตนเองได้เร็วมากอาจเป็น 6 เดือนหรือใน 1 ปี แต่บางท่านต้องใช้เวลาหลายปีอาจเป็น 20 ปี 25 ปี จึงจะได้ประสบการณ์แห่งสัจธรรมนี้ ในเมื่อพวกท่านล้วนเกิดมาเพื่อเป็นอาจารย์ ทำไมต้องใช้เวลามากมาย?

อ: อ๋อ ไม่มีปัญหา เป็นเพียงความตั้งใจที่จะทำเช่นนั้นเพื่อแสดงให้คนทั่วไปเห็นว่าไม่จำเป็นต้องรวดเร็วเสมอไป ดูอย่างฉันยังต้องใช้เวลาถึง 25 ปี เธอจึงไม่ต้องกังวลใจในความก้าวหน้าของเธอที่ยังช้าอยู่ เป็นความพยายามของเหล่าอาจารย์ที่จะให้ผู้คนได้เห็นและให้กำลังใจพวกเขา ยกตัวอย่างสมมุติฉันรู้แจ้ง ประจักษ์แจ้งในสัจธรรมอย่าง “ยิ่งใหญ่” ในเวลา 6 เดือน และผู้คนชอบมัน คนที่ชอบอะไรเร็วๆ แบบนี้ก็จะมาหาฉันและพูดว่า “ใช่ อาจารย์ยังทำได้ในเวลา 6 เดือน เพราะฉะนั้นฉันต้องทำได้ใน 6 วัน!” (เสียงหัวเราะ) บางคนจะรู้สึกด้อยกว่าถ้าต้องใช้เวลานานเกิน ถ้าเขาหันไปมองอาจารย์ท่านอื่นทั้งในอดีตและในปัจจุบันก็จะคิดว่า “โอ...อาจารย์ท่านนั้นใช้เวลา 25 ปีเพื่อจะเป็นพุทธะ เทียบดูแล้วอย่างฉันก็พอใช้ได้นะถึงแม้จะก้าวหน้าไม่เร็วนัก เพราะแม้แต่ผู้ที่เกิดมาเพื่อเป็นอาจารย์ ท่านยังใช้เวลาตั้งนาน” ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่สำคัญมากนัก นี่เป็นข้อแรก

ข้อที่ 2 คือมีอาจารย์อยู่ 2 ประเภท แบบที่ 1 คือฝึกฝนเพื่อเป็นอาจารย์ (อาจารย์ที่ถูกสร้างขึ้น) อีกแบบคือเกิดมาเพื่อเป็นอาจารย์ “อาจารย์โดยกำเนิด” จะสำเร็จเร็วและ “อาจารย์ผู้ถูกสร้าง”จะเหมือนกับพวกเราที่นี่ คือท่องเที่ยวไปหลายศตวรรษ กลับมาเกิดเป็นพันๆ ครั้งในโลกนี้ และนี่เป็นครั้งแรกที่เขามาเพื่อระลึกได้และใช้ความพยายามเพื่อเป็นอาจารย์ และมันเป็นความมุ่งหมายเหมือนพรหมลิขิตของเขา เขาถูกกำหนดให้เป็นเช่นนั้น สำหรับอาจารย์อีกแบบ ท่านเกิดมาด้วยความตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น เกิดมาพร้อมพรของอาจารย์เรียบร้อยแล้ว นำพาพลังทั้งจากอดีต ปัจจุบัน และอนาคตมาสู่โลกนี้เพื่อการทำงาน แบบนี้จึงต้องเร็ว ไม่มีความแตกต่างระหว่างช้าหรือเร็ว เพราะเราทุกคนล้วนเคยเป็นอาจารย์มาแล้วในอดีต เพียงแต่ว่าอาจารย์บางท่านระลึกได้ไปก่อนหน้านี้นานมาแล้ว และกลับมาอีกครั้งเพื่อเป็นอาจารย์โดยกำเนิด แต่บางคนเพิ่งถูกสร้างขึ้นใหม่ให้เป็นอาจารย์ที่นี่

ถ: มีอาจารย์ผู้สมบูรณ์พร้อมหรือมหาอาจารย์บางท่าน บางครั้งไม่เคยออกจากถ้ำในหิมาลัยเลย พวกท่านอยู่ที่นั่นตลอดเวลาและมีเพียงไม่กี่คนที่ได้รับการช่วยเหลือจากท่าน?

อ: โอ...นั่นเป็นการทำงานของอาจารย์ เราเป็นใครถึงได้มาบอกว่ามหาอาจารย์ควรจะทำอะไรบ้าง? อาจารย์แต่ละท่านล้วนมีจุดมุ่งหมายเฉพาะของทั้งเขาหรือเธอ หน้าที่เฉพาะที่ต้องทำ การนั่งอยู่ที่หิมาลัยก็เป็นการดีเหมือนๆกับการออกไปสั่งสอนผู้คน อาจารย์บางท่านชอบที่จะออกไปเข้าสังคมกับคนทั่วไป และอาจารย์บางท่านเพียงแต่นั่งอยู่ที่นั่นและช่วยเหลือผู้อื่นด้วยกระแสคลื่น ด้วยสิ่งที่ท่านมอบให้แก่โลกนี้ซึ่งดีที่สุดแล้ว เหมือนนายแพทย์บางคนก็มาเป็นศาสตราจารย์สอนอยู่ตามมหาวิทยาลัย บางคนก็รักษาคนไข้อยู่ในโรงพยาบาล หมอบางคนก็ปลดเกษียณตัวเองแล้วเลิกทำงานไปเลย (เสียงหัวเราะและปรบมือ)

เราได้รับการช่วยเหลือจากอาจารย์ ไม่ใช่เฉพาะในสิ่งที่มองเห็นจับต้องได้ แต่ยังมีไมตรีจิตและแสงจากอาจารย์เมื่อท่านเข้าสมาธิ ที่หิมาลัยหรือที่ไหนก็ตาม แน่นอนว่าจะมีผลโดยตรงมากกว่าสำหรับผู้มีบุญสัมพันธ์กับเหล่าอาจารย์ ได้ติดต่อกับตัวตนของอาจารย์ซึ่งจะทำให้พวกเขาสามารถระลึกรู้ได้เร็วขึ้น และอาจารย์ท่านอื่นบางครั้งก็นั่งในภูเขาหิมาลัยและสนับสนุนผ่านทางกระแสจิตหรือวิญญาณแก่การทำงานของอาจารย์นั้นๆ ทุกคนล้วนมีงานที่ต้องทำ ไม่มีปัญหาสำหรับเรื่องนี้