เดือนธันวาคม ปี 2547
เป็นประวัติศาสตร์ที่คลื่นยักษ์ได้ถล่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างหนัก
ทำให้ผู้คนเสียชีวิตและสูญหายเป็นจำนวนหลายแสนคน
ขณะที่สถานที่เกิดเหตุยังไม่ได้กลับสู่ปรกติ วันที่ 28 มีนาคม 2548
เกิดแผ่นดินไหวแรงขนาด 8.7
ริคเกอร์ทางทิศตะวันตกของหมู่เกาะสุมาตรานอกชายฝั่งทะเลอันดามัน
ทำให้ประชาชนในประเทศ ศรีลังกา อินเดีย มาเลเซีย ไทย ต่างหวาดผวา
ผู้คนกลัวคลื่นยักษ์จะกลับมาถล่มอีก
หลังจากทราบข่าวแผ่นดินไหวอาจารย์วิชาอิเล็กตรอน คุณเฉาหมินต้า ซึ่งมีอายุ
38 ปีแห่งโรงเรียนเทคโนโลยีกล่าวว่า
“ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องหลายครั้งเมื่อเร็วๆ นี้
ไม่ใช่ภัยธรรมชาติธรรมดา เป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมเพื่อพัฒนาตามอำเภอใจ
โดยไม่คำนึงถึงระบบนิเวศน์ เกิดเป็นกรรมมาตามสนอง” “ผมเสียใจ !
ที่ไม่สามารถไปช่วยเหลือได้ทันท่วงที ! ทำให้ผม
นึกถึงสถานที่เกิดเหตุคลื่นยักษ์สึนามิอยู่ในสภาพที่ขาดความช่วยเหลือ”
จากกลางเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์
อาจารย์เฉาหมินต้าเคยไปสถานที่เกิดเหตุคลื่นยักษ์สึนามิ ยังเมืองโมตารา
ประเทศศรีลังกา เพื่อร่วมทำงานแจกจ่ายสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยนานประมาณ
1 เดือน พูดถึงสภาพสถานที่เกิดเหตุคลื่นยักษ์สึนามิว่า “บ้านเรือนหายไปหมด
ผมเห็นผู้ประสบภัยนั่งใจลอยอยู่บนพื้นที่บ้านตัวเองสิ่งปรักหักพังกองอยู่เป็นภูเขา
พวกเขาไม่ทราบว่าจะจัดการอย่างไร?”
อาจารย์เฉาเข้าเป็นสมาชิกสมาคมนานาชาติอนุตราจารย์ชิงไห่เป็นเวลา 10 ปี
สมาชิกของสมาคมนานาชาตินอกจากทำหน้าที่ช่วยเหลือภัยกับงานการกุศลจากสถานที่ต่างๆ
ทั่วโลกแล้ว ขณะเดียวกันก็ได้นั่งสมาธิเพื่อการรู้แจ้งทางจิตวิญญาณ
โดยไม่ได้มุ่งสะสมทรัพย์สินเงินทอง ดังนั้น
เมื่อภัยคลื่นยักษ์สีนามิที่เกิดขึ้นปีที่แล้ว
อาจารย์เฉาจึงได้เข้าร่วมกับสมาชิกสมาคมนานาขาติชาวเกาหลี จำนวน 31
คนจัดตั้งคณะกู้ภัยขึ้น เดินทางไปช่วยเหลือที่เมืองมอตารา ประเทศศรีลังกา
เนื่องจากตัวเองเป็นหัวหน้าคณะ
อาจารย์เฉานอกจากแจกสิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวันให้กับผู้ประสบภัยแล้ว
ยังได้นำคณะกู้ภัยไปช่วยเหลืองานกู้ภัยด้วย
พูดถึงงานกู้ภัยแล้วอาจารย์เฉากล่าวว่า
“ผมคิดว่าสิ่งสำคัญต้องช่วยเหลือผู้ที่สูญเสียญาติ
เพื่อให้หายจากอาการหวาดกลัว ผมหมายถึงว่า
ต้องช่วยให้จิตใจที่ได้รับความกระทบกระเทือนให้กลับคืนสู่ปกติ ดังนั้น
พวกเราจึงได้จัดงานบันเทิงให้กับเด็กในพื้นที่ขึ้นเป็นพิเศษ
นอกจากนี้พวกเราก็ได้เช่าเครื่องจักรที่ยกของหนักในพื้นที่ช่วยทำการเก็บขยะกองโตทั้งวันทั้งคืน”
“ผลปรากฏเด็กๆ ยิ้มได้หมู่บ้านเริ่มกลับสู่สภาพปกติ
ใบหน้าของชาวบ้านก็มีชีวิตชีวาขึ้นชาวบ้านในพื้นที่เป็นคนบริสุทธิ์ไร้เดียงสา
ดังนั้น ไม่นานก็กลับสู่สภาพเอางานเอาการ “หลังจากที่อาจารย์กลับถึงเกาหลีแล้ว
ได้ไปเยี่ยมแรงงานชาวศรีลังกา ที่เมืองกวางโจว
แจ้งข่าวสถานการณ์ที่บ้านเดิมให้ฟัง
อาจารย์เฉากล่าวว่า “เมื่อพวกเราอ่านข่าวภัยพิบัตินักข่าวมักเสนอแต่ข่าวว่า
ได้รับเงินบริจาคจำนวนเท่าไร หลังจากนั้น ผู้คนก็จะลืมเรื่องต่างๆ ไป
แต่ว่าพวกเราเดินทางไปที่ศรีลังกา หลังจากเกิดภัยคลื่นยักษ์สึนามิเป็นเวลา
3 อาทิตย์แล้ว เห็นสถานที่เกิดเหตุยังเป็นสภาพที่น่าอนาถเหมือนเดิม
ไม่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเลย” เขาเน้นว่า “พวกเราควรจะมองภัยพิบัติเป็นปัญหาทั่วโลก
โดยไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องของประเทศอื่น”
เมื่ออาจารย์เฉา
อยู่ที่โรงเรียน จะคุยเรื่องจุดมุ่งหมายในการใช้เทคโนโลยี
ท่านให้ความสนใจกับการพัฒนารถที่ใช้เชื้อเพลิงที่ไม่มีมลพิษ
ปัจจุบันกำลังวิจัยอยู่ที่มหาวิทยาลัยสีเขียว (Green University)
เมืองหันหยัง ทางทิศใต้ของรัฐชิ่งซ่าน อาจารย์เฉา กล่าวในที่สุดว่า “นานมาแล้ว
ที่โรงเรียนไม่ได้จัดการสอนเรื่องสิ่งแวดล้อมกับระบบนิเวศน์วิทยา ความจริง
พวกเราควรจะสอนเด็กในชีวิตประจำวัน ให้สนใจปัญหาสิ่งแวดล้อมกับระบบนิเวศน์”
ถ้าพวกเราทำลายธรรมชาติตามอำเภอใจ
ผลสุดท้ายมนุษย์เองต้องมารับกรรมที่ตัวเองก่อไว้” อาจารย์เฉา
เน้นในที่สุดว่า จากเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิ
พวกเราต้องให้ความสนใจกับปัญหาที่แท้จริง ที่มนุษย์กำลังเผชิญอยู่ (รายงานโดยนักข่าวเฉาซ่าน)