โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์

 
 ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่, ไทเป, ฟอร์โมซา,
17 ธันวาคม 1986 (เดิมเป็นภาษาจีน)
 
 

โพธิสัตว์มีหลายระดับชั้น: ระดับที่ 1 ระดับที่ 2....ระดับที่ 8 ไปจนถึงโพธิสัตว์ระดับที่ 10 และโพธิสัตว์-มหาสัตว์ด้วย มหาสัตว์คือโพธิสัตว์ที่ระดับสูงสุด-เป็นหัวหน้าของโพธิสัตว์ทั้งหมด แต่ก็ยังมีโพธิสัตว์อีกแบบหนึ่งซึ่งดูเหมือนว่าไม่ได้ช่วยเหลือผู้คนให้รอด เราเคารพนับถือพวกท่านว่าเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ เพราะว่าบุญกุศลของพวกท่านกว้างใหญ่ไพศาลราวกับมหาสมุทรซึ่งบริสุทธิ์และสงบมาก ฉะนั้นพวกท่านจึงเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ พลังของท่านเปรียบดังมหาสมุทรและพวกท่านจะทำงานกันแบบเงียบๆ ที่สุดเหมือนกับน้ำที่บริสุทธิ์ ไม่มีใครรับรู้ได้ถึงการดำรงอยู่ของท่าน ถึงแม้ว่าเราจะรู้ถึงนิรมาณกายแบบต่างๆ ของโพธิสัตว์ทั้งหลาย แต่โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์สูงกว่า เหนือกว่ามหาสัตว์ทั้งหลาย

ในจักรวาลมีระดับชั้นต่างๆ ที่รอให้เราบรรลุถึง และก็มีตำแหน่งมากมายให้เราได้รับ เพราะฉะนั้น การที่เพิ่งเข้ามาบำเพ็ญใหม่ๆ เราจึงไม่มีอะไรที่น่าจะคิดภาคภูมิใจได้ บางคนมีพลังปาฏิหาริย์อะไรนิดหน่อยก็เอามาโอ้อวดด้วยความหยิ่งทะนงตนแล้ว มีประโยชน์อะไรที่ได้รู้อดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตนิดหน่อย?

 

ถึงแม้ว่าเราจะรู้ว่าพรุ่งนี้โลกจะถูกทำลาย เราก็ไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย แล้วระหว่างเวลาช่วงตอนนี้ไปจนถึงพรุ่งนี้ เราก็จะรู้สึกหวาดกลัวที่สุดแล้วก็ยังกินไม่ได้นอนไม่หลับอีกด้วย แต่สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้โลกจะจบสิ้น อย่างน้อยพวกเขาก็ยังสามารถนอนหลับสบายและมีความสุขกับช่วงเวลาที่สงบมากกว่าเรา 24 ชั่วโมง

ฉะนั้นมันจึงไม่มีประโยชน์จริงๆ ที่ได้รู้ถึงอดีต ปัจจุบัน และอนาคต การที่จะปูทางสำหรับอนาคตของเรานั้นเราควรจะเริ่มด้วยการกระทำในปัจจุบันของเรา ในชีวิตประจำวันของเรา จงพยายามป็นคนดีมีศีลธรรม และรักษาศีลห้าอย่างบริสุทธิ์ตามที่ฉันสอนเธอแล้วว่า: อย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิต, อย่าลักขโมย, ให้ละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม, อย่าโกหกและอย่าดื่มแอลกอฮอล แค่รักษาศีลห้าเหล่านี้อย่างเคร่งครัดก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดถึงบัญญัติต่างๆ มากมายเกินไป ถ้าเธอสามารถรักษาศีล 5 ได้อย่างบริสุทธิ์แล้ว มันก็ไม่สำคัญแม้แต่ว่าเธอจะไม่เชื่อถือฉัน หรือไม่ได้บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม หรือไม่ได้อยากจะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เชื่อถือฉัน เธอก็ยังต้องเป็นคนดีและรักษาศีลห้าอย่างดีด้วย เพื่อที่อย่างน้อยเธอจะสามารถกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว

ฉันไม่เคยสอนอะไรที่ไม่ดีแก่เธอเลย เธออาจจะไม่เชื่อถือตัวฉัน...หรือตัวบุคคลคนนี้ก็ได้ แต่เธอควรจะเชื่อในคำสอนของฉัน ฉันสอนแต่สิ่งที่ดีๆ ให้แก่เธอ มันเป็นเรื่องที่ง่ายๆ ถ้าเธออยากจะเป็นมนุษย์ ก็คือเพียงแต่รักษาศีล 5 อย่างเคร่งครัดเท่านั้น แล้วเธอก็จะไม่มีความลำบากอะไร โดยการที่รักษาศีลห้าอย่างเคร่งครัดนั้น แม้ว่าเธอจะไม่ได้บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม เธอก็ยังสามารถจะเป็นมนุษย์ได้ ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่ง่ายเลยที่จะได้มีร่างกายมนุษย์อีก

ร่างกายมนุษย์เป็นสิ่งมีค่ามาก หากไม่มีร่างนี้เราก็จะไม่มีอวัยวะทั้งหกที่ใช้รับความรู้สึก และไม่มีความรู้สึกทั้งหกนั้น (อายตนะทั้งหก) ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการบำเพ็ญของเรา แน่นอน, เรารู้ว่าอวัยวะรับความรู้สึกและความรู้สึกทั้งหกนั้นเป็นอุปสรรคกีดขวางที่น่าชังที่สุด แต่เราก็ยังต้องใช้มันในการบำเพ็ญของเรา เราจะบำเพ็ญไปไม่ได้ ถ้าปราศจากมัน เข้าใจไหม? มันก็จริงที่เราไม่จำเป็นต้องใช้หูเพื่อจะได้ยินเสียงภายใน แต่เราจะฟังได้อย่างไรโดยที่ไม่มีหู? ภาพที่เห็นในสมาธินั้นก็ไม่ได้เห็นได้ด้วยตา แต่ถ้าไม่มีร่างกายนี้ เราก็ไม่สามารถจะรับรู้ได้ ไม่สามารถจะเห็นโลกของพุทธะได้เช่นกัน เราจะไม่รู้ถึงสวรรค์หรือนรกหรือแดนสวรรค์ปัจฉิมเลย เพราะฉะนั้นร่างกายมนุษย์จึงเป็นสิ่งที่มีค่ามาก

มันเป็นเรื่องง่ายถ้าหากว่าเธอไม่อยากจะมาเป็นมนุษย์ แต่อย่างไรก็ตาม มันก็จะยากมากขึ้นไปอีกที่จะเป็นพุทธะ เพียงแต่จะเป็นโพธิสัตว์ธรรมดาๆ ก็ยากพอแล้ว แต่การจะเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์นั้น ก็ยิ่งมีความยากลำบากอย่างแสนสาหัสกว่าอีกมากมายหลายอย่าง การที่จะเป็น “โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์” ....เป็นโพธิสัตว์สูงสุดและไร้รูป,จะต้องผ่านการทดสอบที่รุนแรงเข้มงวดสุดคณนา, สุดที่จะคิด จะกล่าวออกมาได้ ซึ่งเป็นบททดสอบที่จะผ่านได้ยากที่สุด เราอาจจะเวียนว่ายตายเกิดมาในโลกนี้หลายล้านครั้งแล้ว แต่เราจะไม่เคยได้ยินถึงบททดสอบที่รุนแรงเข้มงวดอย่างนี้ เราจะไม่มีวันได้ยินเลย

ถ้าเราเคยอ่านมามากๆ เราจะเคยอ่านเกี่ยวกับเรื่องของผู้บำเพ็ญที่ยิ่งใหญ่หลายคนในอดีต เกี่ยวกับบททดสอบที่ยากเย็นแสนเข็ญ และความเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่พวกเขาเหล่านั้นได้ประสบพบพาในวิถีทางบำเพ็ญ แต่ว่าแม้แต่ความลำบากที่เด่นชัดและเจ็บปวดที่สุดนั้นก็ยังไม่สามารถเทียบเทียมกับความลำบากที่โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ได้รับ ทั้งในด้านจำนวนความมากน้อยและความรุนแรงด้วย

โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์เกือบจะเป็นเหมือนกับพุทธะ เว้นแต่ว่าพุทธะนั้น “ไม่เคลื่อนไหว ในขณะที่โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ “เคลื่อนไหว” พวกท่านเดินทางไปในจักรวาลดูแลจักรวาลอย่างดีและรักษาให้มันอยู่ในระเบียบ หน้าที่ความรับผิดชอบของพวกท่านคือการดูแลจักรวาล ขณะที่หน้าที่ของมหาสัตว์คือการช่วยจิตวิญญาณของมนุษย์ให้รอดและนำพวกเขากลับบ้าน ใครที่อยากจะไปแดนสวรรค์ปัจฉิมก็ควรจะศึกษาอยู่กับมหาสัตว์ พวกท่านปรากฏตัวเองลงมาในโลกนี้เพื่อช่วยผู้คน และนำวิญญาณของพวกเขากลับสู่บ้านเกิดของเขานั่นคือ...อาณาจักรสวรรค์, แดนบริสุทธิ์ปัจฉิม

เธอสวดท่องชื่อทั้งหลายของโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ แต่ไม่รู้เลยว่าพวกท่านเป็นใคร ถึงแม้ว่าพวกท่านจะมาปรากฏต่อสายตาของเราเธอก็จะไม่รู้อยู่ดี มีแต่เพียงมหาสัตว์เท่านั้นที่รู้ว่า ใครคือโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ คนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางรู้ได้เลยเพราะว่าพวกท่านไม่อยากจะเปิดเผยระดับชั้นและพลังของท่าน พวกท่านจะดูปกติธรรมดามาก ธรรมดามากกว่าใครๆ เลย แม้แต่เวลาพวกท่านอยู่ในโลกนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าท่านคือโพธิสัตว์ พวกท่านจะหลีกเลี่ยงที่สุดในเรื่องการแสดงพลังอิทธิปาฏิหาริย์ใดๆ และทำงานไปอย่างเงียบๆ เท่านั้น คนธรรมดาจะไม่ได้สังเกตเห็นเลย

งานของโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์แตกต่างจากงานของมหาสัตว์ พวกท่านจะละเว้นจากการเข้าไปแทรกแซงกับกรรมของผู้คน ในขณะที่มหาสัตว์จะทำเช่นนั้น มหาสัตว์สามารถช่วยเหลือคนจากนรกและพาเขาไปสวรรค์ หรือพาใครก็ได้ที่มีกรรมหนักมากไปยังแดนสวรรค์ปัจฉิม แต่ในสถานการณ์อย่างเดียวกันโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์จะเพียงแต่เฝ้าดูอยู่ด้านหนึ่งโดยไม่กระทำการใดๆ งานของพวกท่านคือการดูแลการทำงานของจักรวาลและดูแลรักษาการดำรงอยู่ของจักรวาลให้คงอยู่ พวกท่านจะไม่ช่วยผู้คน เธออาจจะกำลังอดตายอยู่แล้ว หรือกำลังถูกเผาไหม้จากไฟนรก พวกท่านก็จะไม่คำนึงถึง สำหรับเรามนุษย์ธรรมดาอาจจะดูว่าโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์นี้โหดร้ายและห่างเหินมาก แต่พวกท่านไม่ได้เป็นแบบนั้น มันเป็นเพราะธรรมชาติของงานของท่านที่แตกต่างออกไปเท่านั้นเอง

แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ ฉันไม่คิดว่าพวกเธอจะสามารถผ่านการทดสอบทั้งหลายไปได้หรอก เพราะการที่จะเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์นั้น จะต้องผ่านระบบการฝึกที่เข้มงวดกวดขันและยากลำบากที่สุด กระบวนการฝึกที่แสนจะเจ็บปวดทุกข์ทรมานนี้ไม่สามารถจะใช้คำใดๆมาบรรยายได้และมนุษย์ทั่วไปจะไม่เคยได้ยินและสุดที่จะคิดไปถึงได้ ก็เหมือนกับในกองทัพที่มีการฝึกแบบต่างๆเช่นทหารราบ ทหารเรือ ทหารอากาศ จารชน และที่เสี่ยงชีวิตที่สุดคือ....หน่วยปฏิบัติการพิเศษที่ถูกฝึกให้ฆ่าศัตรูแบบที่ต้องประจัญหน้ากันเลยด้วย การฝึกของหน่วยปฏิบัติการพิเศษนั้นยากลำบากแสนสาหัสที่สุด ใช่ไหม?

การจะเป็นโพธิสัตว์นั้น จำเป็นต้องผ่านการฝึกหลายแบบ เพื่อที่จะสำเร็จระดับชั้นต่างๆ ดังนั้นการจะเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ได้ ก็ต้องผ่านการฝึกที่ลำบากที่สุด ลำพังการฝึกฝนที่ลำบากไม่ได้ทำให้คนใดกลายเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ได้ แต่มันเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องผ่านการฝึกที่ลำบากขมขื่นที่สุด โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์เป็นผู้ที่ได้รับการคัดเลือกมาเป็นพิเศษ เราไม่มีทางจะเป็นได้โดยเพียงแต่อาศัยความที่อยากจะเป็น ผู้บำเพ็ญคนใดที่ยังไม่พ้นจากไตรภูมิ (สามโลก) ก็ไม่มีทางหวังว่าจะถูกเลือกหรอก

โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ทุกท่านถูกเลือกจากในโลกที่ 5 ไม่มีใครจะเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ได้ภายในไตรภูมิ เพราะว่าเขายังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ บทเรียนต่างๆของเราในโลกนี้ยังไม่ได้เรียนเลย เพราะฉะนั้นเราจะไม่ได้รับการคัดเลือกให้ไปผ่านการฝึกที่ยากลำบากที่สุดหรอก ก่อนอื่นเราจะต้องกลายเป็นโพธิสัตว์แห่งโลกที่ห้าก่อน และก็เต็มใจที่จะเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ ก่อนที่จะมีคุณสมบัติสำหรับการคัดเลือกนั้น แต่ทันทีที่ถูกเลือก ผู้นั้นก็ต้องผ่านการฝึกที่ยากลำบากที่สุด ซึ่งเจ็บปวดทุกข์ทรมานและรุนแรงมากยิ่งกว่าระบบในนรกเสียอีก

ในการบำเพ็ญนั้นมีหลายระดับชั้นมาก และหนทางของการฝึกบำเพ็ญก็ยาวมาก เพราะฉะนั้นในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญใหม่คนหนึ่ง จึงไม่ควรจะคุยโวโอ้อวดไป ฉันบอกพวกเธอไม่ให้เปิดเผยประสบการณ์ของเธอแก่คนอื่นก็เพื่อผลดีสำหรับตัวเธอเอง ไม่ใช่สำหรับตัวฉัน เธอจะบอกให้คนรู้ไปหมดทั้งประเทศก็ได้ ฉันไม่เดือดร้อนอะไรหรอก แต่เธอจะทำอันตรายต่อตัวเธอเองโดยการเปิดเผยความลับของทรัพย์สมบัติของเธอเอง

เพราะฉะนั้น จงบำเพ็ญไปเงียบๆ เพราะว่าเราต้องป้องกันรักษาระดับชั้นของเรา และค่อยๆ ปีนขึ้นไปช้าๆ เพื่อจะเป็นพุทธะ, มหาสัตว์ และโพธิสัตว์ที่สูงขึ้นไป ถ้าผู้บำเพ็ญใหม่คนใดมีพลังอิทธิปาฏิหาริย์อะไรบางอย่าง แล้วก็เที่ยวไปประกาศโฆษณาตัวเองเพราะว่าเขายังไม่มั่นคงภายใน เธอก็ควรจะรู้ว่าคนแบบนี้เชื่อถือไว้ใจไม่ได้ พอเห็นคนเหล่านี้ ผู้บำเพ็ญที่บรรลุแล้วก็สามารถจะบอกได้ว่าพวกเขากำลังพบกับอุปสรรค....กำลังทุกข์ทรมานจาก “อาการเซ็น” ที่เราพูดถึงบ่อยๆ คนที่ไม่ได้กำลังทุกข์จาก “อาการเซ็น” จะไม่เที่ยวออกไปคุยโม้โอ้อวดแบบนี้

ผู้บำเพ็ญควรจะถ่อมตน ยิ่งเขามีระดับชั้นสูง เขาก็ยิ่งถ่อมตนมากขึ้น และยิ่งกลัวว่าคนจะรู้ถึงระดับชั้นและพลังของเขา บางคนตอนอยู่ในระยะเริ่มต้นบำเพ็ญก็ยังไม่เป็นไร แต่หลังจากได้บรรลุระดับชั้นอะไรนิดหน่อยและมีประสบการณ์อะไรบางอย่าง พวกเขาก็เที่ยวคุยโม้ไปทั่วทุกแห่ง พูดมากจนกระทั่งเจอกับอุปสรรคที่ชั่วร้ายหลายอย่าง ยิ่งระดับชั้นของพวกเขาสูงมาก อุปสรรคนั้นก็จะยิ่งชั่วร้ายมาก

เพราะฉะนั้นความผิดพลาดที่ร้ายกาจที่สุดในการบำเพ็ญก็คือการพูดถึงประสบการณ์ พอพูดออกไปมาก ประสบการณ์นั้นก็จะมีลักษณะบิดเบือนเพี้ยนไปไม่ตรงกับความจริง หรือไม่มีประสบการณ์มาอีกเลย มีแต่ภาพลวงมายาเท่านั้น มันเป็นเพราะว่าพลังที่รวบรวมเข้ามานั้นเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ และสิ่งแวดล้อมในการบำเพ็ญนั้นถูกทำลายไป เดิมสิ่งแวดล้อมในการบำเพ็ญนั้นเป็นกำแพงป้องกัน แต่พอผู้นั้นปล่อยให้มีการรั่วไหลออกมามากไป มารก็จะเจาะช่องและเล็ดลอดเข้ามาได้ ในการบำเพ็ญนั้น เรากลัวการมีทัศนคติที่คุยโวโอ้อวดและหยิ่งยโสโอหังมาก ยิ่งใครภาคภูมิใจมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเดือดร้อนมากเท่านั้น

ฉันก็รู้เหมือนกันว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องที่ง่ายมากสำหรับผู้บำเพ็ญที่จะยอมเชื่อถือในตัวอาจารย์ผู้หนึ่ง เพราะฉะนั้น ถ้าเธอไม่ได้เชื่อถือฉันมันก็ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก แต่มันเป็นเพราะบรรยากาศในระยะสุดท้ายนี้ของธรรม ในยุคปัจจุบันนี้จึงถูกเรียกว่ายุคสุดท้ายของธรรม

การบำเพ็ญไม่ใช่เรื่องที่ง่ายจริงๆ ในศูรางคมสูตรมีกล่าวไว้ว่า: ในยุคสุดท้ายของธรรม ถ้ามีใครที่มีความจริงใจในการบำเพ็ญอย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าเขาอาจจะเคยบำเพ็ญมาเพียงนิดเดียว แต่พุทธะและโพธิสัตว์ทั้งหลายก็จะมาและให้ความช่วยเหลือแก่เขาอย่างมากมาย โชคร้ายที่น้อยคนจะมีความจริงใจและมีความเชื่อมั่นศรัทธาในการบำเพ็ญ ส่วนมากพวกเขาจะเลือกวิธีที่ง่ายกว่าและสบายผ่อนคลายมากกว่า ไม่เต็มใจที่จะเลือกวิถีทางที่ยากและเคร่งครัด การที่จะบำเพ็ญตามวิธีของเรา ผู้นั้นจะต้องเป็นมังสวิรัติและนั่งสมาธิอย่างน้อยวันละสองชั่วโมงครึ่ง นอกจากนี้ เราถูกห้ามไม่ให้ฆ่า, โกหก, ประพฤติผิดในกาม, ลักขโมย และดื่มแอลกอฮอล สำหรับคนส่วนใหญ่แล้วจะรู้สึกว่าเรื่องนี้เคร่งครัดและลำบากเกินไป

แม้แต่ในโลกนี้ก็เถิด ถ้าใครอยากจะได้รับปริญญา Ph.D.....เป็นหมอเป็นนักกฎหมาย หรือมีเกียรติศักดิ์ศรีในสังคม ก็ต้องศึกษาเล่าเรียนอย่างหนัก ไม่ถูกหรือ? มันก็ต้องลำบากมากกว่าเป็นธรรมดาสำหรับผู้ที่อยากจะเป็นพุทธะหรือโพธิสัตว์ และได้รับการหลุดพ้นจากการเกิดและการตายในชาติเดียว

ในยุคสุดท้ายของธรรม ถึงแม้ว่าความจริงใจของเราจะมีนิดเดียว พุทธะและโพธิสัตว์ก็จะช่วยเรามากแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ดีมากจริงๆ ไม่อย่างนั้นการนั่งสมาธิสองชั่วโมงครึ่งของเธอก็ไม่มีอะไรเลยจริงๆนะ! พระศากยมุนีพุทธเจ้านั่งสมาธิตลอดทั้งวัน คนหลายคนนั่งสมาธิ 10 ถึง 20 ชั่วโมงโดยไม่ได้รับอะไรเลย ถ้าพุทธะและโพธิสัตว์ไม่ได้ช่วยเราด้วยพลังของท่าน เราก็จะไปไม่ถึงไหนเลยในการบำเพ็ญของเรา

ที่จริงแล้ว การบำเพ็ญไม่ได้ลำบากน่าขมขื่นมากมายอะไรจริงๆ หรอก แต่มันยิ่งยากมากกว่าที่จะกำจัดความหยิ่งยโสอวดดีไปได้ และก็ยิ่งยากมากขึ้นไปอีกที่จะปิดปากกว้างนี้ไว้ไม่ให้อะไรรั่วไหลออกมา ความหยิ่งยโสและการคุยโตโอ้อวดนั้นเป็นสิ่งที่ยากที่สุดที่จะแก้ไข ผู้บำเพ็ญที่ไม่มีประสบการณ์มากหรือไม่ก้าวหน้ามากในการบำเพ็ญนั้นส่วนใหญ่มีอุปสรรคขัดขวางจากความหยิ่งยโสของพวกเขา พวกเขาคุยมากไป ยังเพิ่งบำเพ็ญใหม่ๆแต่ว่าก็พูดมากแล้ว

พระศากยมุนีพุทธเจ้าก็ห้ามลูกศิษย์ของท่านไม่ให้พูดคุยโอ้อวดเช่นกัน พระโมคคัลลาน์มีพลังอิทธิปาฏิหาริย์ แต่ว่าพระพุทธเจ้าก็ห้ามไม่ให้เขาใช้ ฉันก็แนะนำเธอแบบเดียวกัน พอเธอบำเพ็ญปฏิบัติไป พลังอิทธิปาฏิหาริย์ทั้งหลายก็จะมาหาเราเองตามธรรมชาติ แต่เธอต้องไม่โอ้อวดเรื่องนี้ ถ้าเธอมีอำนาจที่สามารถอ่านใจคนได้ ก็จงอย่าให้ใครรู้จะดีกว่า ไม่อย่างนั้นคนจะกลัวเธอ กลัวว่าเธอจะอ่านใจของเขาออก เวลาที่พวกเขามาหาเธอ แล้วต่อไปก็จะไม่มีใครกล้ามาหาเธอ จริงไหม?

ถ้าหากว่าเธอมีพลังอย่างอื่นเช่น “ขาทิพย์” หรือ “ตาทิพย์” ก็เก็บเป็นความลับไว้เหมือนกัน คนอื่นอาจจะมาทำร้ายเราได้ถ้าพวกเขารู้เข้า มันไม่มีข้อดีอะไรเลย บางคนจะอิจฉาด้วย เพราะพวกเขาจะเกลียดเราที่เหนือกว่าพวกเขา ถ้าเราเกิดพูดอะไรไม่ถูกหูเขา เขาก็จะคิดหาวิธีทำร้ายเราด้วยเวทย์มนตร์ดำ เหมือนกับพระโมคคัลลาน์ เขาชอบใช้พลังอิทธิปาฏิหาริย์ แต่แล้วในที่สุดเขาก็ถูกทำร้ายจากคนนอกศาสนาที่มีเวทย์มนตร์ดำ

ฉะนั้นฉันจึงคอยแนะนำและตักเตือนเธออยู่ตลอดว่า อย่าเปิดเผยระดับชั้นในการบำเพ็ญของเธอให้คนอื่นรู้ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีบางคนที่ขจัดข้อเสียนี้ไปไม่ได้ เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกลักษณะนิสัยของเขาไปแล้ว มันจึงยากมากที่จะเปลี่ยนและก็ทำให้เกิดความลำบากยุ่งยากมากมาย ถ้าเราสังเกตุเห็นคนแบบนี้ก็จงอยู่ห่างๆจ ากเขาจะดีกว่า และอย่าไปฟังคำพูดของเขา ไม่อย่างนั้น เธอก็จะติดเชื้อไปด้วย เป็นเหมือนกับโรคติดต่อ

เวลาเธออยู่กับคนที่มีกรรมกีดขวางที่ชั่วร้าย...เธอไม่ต้องอาศัยพักอยู่กับเขาด้วยซ้ำไป แค่นั่งอยู่ใกล้ตัวเขา เธอก็ติดเชื้อรับปัญหาของเขามาครึ่งหนึ่งเรียบร้อยแล้ว เวลาเธอไปเยี่ยมคนป่วย...ไปคลุกคลีและติดต่อกับพวกเขา ความเจ็บไข้ได้ป่วยครึ่งหนึ่งของเขาก็ผ่านมาสู่ตัวเธอแล้ว เธอต้องรับเอากรรมของเขามาครึ่งหนึ่งแล้ว ไม่อย่างนั้น, ทำไมพุทธะและโพธิสัตว์ทั้งหลาย เวลาพวกท่านปรากฏร่างและมายังโลกนี้จึงกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาทั่วไปหลังจากที่พวกท่านเกิดมาล่ะ? ตอนแรกพวกท่านก็เป็นคนธรรมดาก่อน แล้วต่อมาจึงบำเพ็ญเพื่อเป็นพุทธะหรือโพธิสัตว์ ถึงแม้ว่าพวกท่านจะเป็นนิรมาณกายของพุทธะหรือโพธิสัตว์ แต่ท่านก็จะยังถูกแปดเปื้อนจากโลกนี้ ถ้าหากว่าไม่มุ่งบำเพ็ญต่อไป

ดูพระศากยมุนีพุทธเจ้าเป็นตัวอย่างก็ได้ พวกเธอทุกคนรู้ว่าท่านคือ Prabhapala มหาสัตว์ที่ลงมาจากสวรรค์ชั้นดุสิต หน้าที่ภารกิจของท่านก็คือช่วยคนบนโลก แต่อย่างไรก็ตาม เวลาผ่านไปสามสิบปีแล้วหลังจากที่ท่านเกิดมา ท่านก็ยังไม่ได้ทำอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อสรรพสัตว์เลย ท่านเป็นเจ้าชายซึ่งไม่ต้องทำงาน ได้แต่มีความสุขเพลิดเพลินกับสิ่งทางโลกอยู่ทุกวัน...ไม่มีความคิดอะไรเกี่ยวกับการบำเพ็ญเลย

ตอนที่ท่านเกิดมานั้น ท่านสามารถเดินไปได้ 7 ก้าว ตอนนั้นท่านยังรู้ตัวอยู่ว่าท่านเป็นใคร ท่านจึงพูดว่า “ฉันคือผู้สูงสุดในสวรรค์และบนแผ่นดิน” แต่พอท่านโตขึ้น ท่านก็เปลี่ยนไปกลายเป็นคนไม่รู้อะไรเลยเช่นกันและยิ่งไม่รู้เรื่องอะไรยิ่งกว่าคนธรรมดาทั่วไปเสียอีก เพราะมีผู้หญิงสวยๆ แวดล้อมมากมาย ท่านจึงเพลิดเพลินมีความสุขกับโลกอยู่ทุกวัน และก็ไม่คิดถึงอะไรอย่างอื่นเลย ท่านถูกล้อมรอบไปด้วยบรรยากาศที่สะดวกสบายอย่างจงใจให้เป็นอย่างนั้น บิดามารดาของท่านเอาอกเอาใจท่านอย่างมาก ท่านได้รับการสรรเสริญเยินยอจากข้าราชบริพาร พวกเขากีดกันท่านไม่ให้รู้จักกับสถานการณ์อันไม่พึงปรารถนาต่างๆ และห้ามไม่ให้ใครไปเตือนใจท่านให้นึกถึงการมุ่งมั่นเพื่อบำเพ็ญปฏิบัติต่อไป ดังนั้นก่อนที่ท่านจะอายุถึง 30 ปี ท่านจึงเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ท่านคือนิรมาณกายของมหาสัตว์ท่านหนึ่ง และได้บรรลุความเป็นพุทธะมานานแล้ว แต่พอเกิดมาในโลกนี้ ท่านก็กลายเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เพราะฉะนั้น โลกนี้จึงน่ากลัวจริงๆ ถ้าไม่มุ่งบำเพ็ญปฏิบัติต่อไป แม้แต่ผู้ที่เป็นพุทธะหรือโพธิสัตว์ลงมาเกิด ก็จะหลงทางไปอย่างแน่นอน ดังนั้นไม่ว่าจะอยู่ภายใต้สถานการณ์ใดๆ ท่านก็ต้องบำเพ็ญอีก

พวกเธอถามฉันเรื่อยว่า “ทุกคนไม่ได้มีธรรมชาติพุทธะหรอกหรือ? ทำไมเรายังเป็นมนุษย์ธรรมดาอยู่ล่ะ?” มันก็เป็นเพราะว่า หลังจากที่เรามายังโลกนี้แล้ว เราก็ “ติดเชื้อ” และถูกส่งเชื้อต่อมาให้จากคนธรรมดา โลกก็เหมือนกับบริเวณที่มีโรคระบาด ตอนแรกมีคนเดียวที่ได้รับโรคนั้นมา ไม่นานมันก็แพร่ไปยังคนอื่นเป็นสองหรือสามคน แล้วก็ลามไปยังคนมากขึ้นๆจนกระทั่งทั้งบริเวณติดเชื้อไปหมด บางครั้งทุกคนและแม้แต่สัตว์ทั้งหลายในเมืองนั้นก็เสียชีวิตไปด้วย ไม่เว้นแม้แต่ลูกแมวหรือลูกหมาที่จะมีชีวิตอยู่รอดไปได้ เพราะฉะนั้นโรคติดต่อจึงน่ากลัวมากจริงๆ

ก็คล้ายๆ กับเวลาที่พุทธะหรือโพธิสัตว์มายังโลกนี้ พวกท่านก็จะกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาๆไปด้วย ถ้าหากว่าพวกท่านไม่บำเพ็ญต่อไป เดิมพวกเราเป็นพุทธะกันทุกคน มีธรรมชาติพุทธะกันทุกคน แล้วทำไมเราถึงไม่รู้ล่ะ และก็ไม่ได้รับรู้ด้วย? มันก็เป็นเพราะว่า เราถูกโลกนี้เอาเชื้อมาติดเป็นเวลานานมาแล้ว ตอนนี้เราเพิ่งจะเริ่มบำเพ็ญ แล้วเราจะรู้ทันทีได้อย่างไร? อย่างไรก็ตาม ด้วยการบำเพ็ญอย่างขยันขันแข็ง ไม่ช้าก็เร็วเราก็จะกลายเป็นโพธิสัตว์ “ผู้ที่บำเพ็ญจะกลายเป็นโพธิสัตว์ ผู้ที่ไม่บำเพ็ญจะกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ” -เหตุผลนี้ชัดแน่นอน ไม่มีอะไรอื่นที่จะนำมากล่าวอีกแล้ว

เธอเห็นอยู่แล้วว่าแม้แต่พระศากยมุนีพุทธเจ้าก็ใช้เวลาบำเพ็ญอยู่ 6 ปีเพื่อจะกลายเป็นพุทธะ พระเยซูคริสต์บำเพ็ญนานกว่าสิบปีแล้วในที่สุดก็กลายเป็นมหาอาจารย์ สังฆปรินายกองค์ที่หกคือท่านฮุ่ยเหนิงรู้แจ้งอยู่แล้วตอนที่ท่านได้พบกับสังฆปรินายกองค์ที่ 5 คือท่านหงเหริน แต่ท่านก็ยังต้องหลบซ่อนตัวเองและบำเพ็ญอยู่อีก 16 ปี หลังจากที่สังฆปรินายกองค์ที่ 5 ท่านหงเหรินได้ถ่ายทอดธรรมแก่ท่านแล้ว ส่วนโพธิธรรมก็ไม่ได้ช่วยโปรดสรรพสัตว์ส่งขึ้นสวรรค์ไปในระหว่างสมัยของท่าน เพราะว่าพลังของท่านดูจะยังไม่มากพอ (อาจารย์หัวเราะ) ไม่มีใครฟังท่านเลย ท่านจึงพูดอยู่กับฝาผนังอยู่ถึง 9 ปี ฉันได้ยินมาว่าเพราะการนั่งสมาธิเป็นเวลานานมากของท่านนี้ ต่อมาท่านจึงเดินไม่ได้ ในสมัยหลังๆ นี้ เรามักจะได้เห็นภาพของท่านในท่าเดิน นั่นเป็นภาพของนิรมาณกายของท่านที่ปรากฏให้คนเห็น

มีคำกล่าวอยู่ว่า “ผู้ที่อยู่ใกล้ชาดก็จะเปื้อนสีแดง และผู้ที่อยู่ใกล้หมึกก็จะเปื้อนสีดำ” การคลุกคลีกับคนเลว ผู้นั้นก็จะกลายเป็นคนเลว การคลุกคลีกับคนดีมีศีลธรรม ผู้นั้นก็จะกลายเป็นคนมีศีลธรรม การอยู่กับคนที่มีการศึกษา ผู้นั้นก็สามารถจะเรียนรู้อะไรบางอย่าง การอยู่กับคนโง่ ผู้นั้นก็จะกลายเป็นคนโง่ไปด้วย คนที่พูดภาษาอังกฤษคล่องๆ ก็จะลืมได้เช่นกัน ถ้าเขาไม่ได้พูดภาษาอังกฤษมา 30 ปี การที่จะพูดภาษาอังกฤษจะต้องมีการฝึกพูดทุกวัน ถ้าเธออยู่กับคนที่ไม่พูดภาษาอังกฤษไปนานๆ ต่อไปเธอก็จะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ หรือพูดได้ไม่คล่อง

ก็เหมือนกับตัวฉัน ตอนนี้ฉันพูดภาษาเอาแลคได้ไม่คล่องนัก เพราะฉันไม่ได้พูดมานานแล้ว และฉันก็ยังมีปัญหากับภาษาอังกฤษของฉันอีกด้วยนะ (มีเสียงหัวเราะ) แต่ก็จะหมดปัญหานี้หลังจากที่ฉันได้อยู่ในสหรัฐอเมริกาสัก 2-3 วัน แต่ถ้าฉันยังคงพูดภาษาจีนไปเรื่อยๆ ทุกวันแบบนี้ บางทีอีก 30 ต่อไปฉันอาจจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นก็เป็นแบบเดียวกับการบำเพ็ญ โดยการที่ได้อยู่กับคนแบบหนึ่งเธอก็จะกลายเป็นเหมือนเขาในที่สุด นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำไมเราจึงต้องระมัดระวังในการเลือกอาจารย์ที่แท้จริงในการบำเพ็ญ

เอาล่ะ ตอนนี้เธอยังอยากจะกลายเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์อยู่อีกหรือเปล่า? (มีบางคนตอบ:ยังอยากเป็น) บางคนยังจะทำหน้ายาวอยู่เลยเวลาถูกฉันดุว่านิดๆหน่อยๆ แล้วอย่างนี้พวกเขาจะหวังที่จะได้เป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ได้อย่างไรกัน? (เสียงหัวเราะ) มันไม่ง่ายหรอกนะที่จะเป็นโพธิสัตว์แบบนี้ พอเธอปฏิญาณตนที่จะกลายเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ เธอก็จะลำบากมากทันที แม้แต่อาจารย์ธรรมดาๆ ท่านหนึ่งยังมีความลำบากมากมายเหลือเกิน แล้วเธอนึกออกไหมว่าโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์จะลำบากขนาดไหน?

ในจักรวาลนี้นอกจากพุทธะแล้ว โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์นี่แหละที่มีสถานะที่สูงสุดรองลงไป ตำแหน่งที่สูงสุดในจักรวาลคือพุทธะสูงสุดหรืออนุตรสัมมาสัมโพธิ ส่วนโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์นั้นสูงสุดเป็นอันดับ 2 พวกท่านอยู่เหนือกฎของจักรวาล ท่านจะไปสวรรค์และนรกเป็นธรรมดาๆเหมือนกับเราไปตลาดเพื่อซื้ออาหาร ท่านเหล่านี้สามารถจะไปไหนก็ตามที่ต้องการ และจะทำอะไรก็ได้แล้วแต่จะชอบ ไม่มีสิ่งใดอื่นอีกที่สูงกว่าหรือเหนือกว่าท่าน เพราะว่าพุทธะสูงสุดนั้นไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ มาตั้งแต่เดิม อนุตรสัมมาสัมโพธินั้นนิ่งสนิทอย่างสมบูรณ์ที่สุด เพราะฉะนั้นในความเป็นจริง โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์จึงสูงสุด

ถ : ขอถามอาจารย์หน่อยว่า มีพุทธะอยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นหรือ?

อ : เปล่า, พุทธะหมายถึงพลัง ตัวอย่างเช่นในประเทศอังกฤษ แน่นอนที่พระราชินีอยู่ในตำแหน่งที่สูงสุด แต่ท่านก็ไม่ได้ทำอะไรเลย และไม่เข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงในเรื่องการเมืองการปกครอง ท่านเป็นแต่เพียงสัญลักษณ์ของตำแหน่งที่สูงสุด แต่ว่านางแธตเชอร์(นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น) มีชื่อเสียงที่สุด ทุกประเทศรู้จักเธอ ใครก็ตามที่อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงที่สุดเสมอ เธอเป็นที่รู้จักกันดีมากกว่าพระราชินี ทุกๆ คนเกรงกลัวเธอ และเธอสามารถจะทำอะไรก็ได้ตามต้องการ แน่นอนที่ตำแหน่งพระราชินีนั้นสูงที่สุด แต่ว่าก็ไม่มีอำนาจมากเท่ากับนายกรัฐมนตรี ถูกไหม? พระราชินีไม่ได้เดินทางไปไหนต่อไหน ไม่ได้ทำอะไร และจะไม่ได้เป็นผู้ที่เปลี่ยนแปลงกฎหมายใดๆ แต่ว่านายกรัฐมนตรีต้องทำทุกสิ่งทุกอย่าง เธอเป็นคนที่ดุและเข้มงวดมาก และบางครั้งก็ถูกคนอื่นคัดค้านไม่ยอมรับ

ตัวอย่างเช่น นางแธตเชอร์มีชื่อเสียงในการเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดุและแข็งกร้าว คนเรียกเธอว่าสตรีเหล็ก เพราะว่าเธอแน่วแน่มั่นคงมากในทัศนคติความคิดเห็นของเธอ และเธอก็มีอำนาจมาก แม้แต่พระราชินีของอังกฤษก็ยังไม่สามารถทำอะไรกับเธอได้ ได้แต่เพียงแนะนำเธอว่า “กรุณาอย่าเข้มงวดมากนักเลย พยายามผ่อนผันบ้างสักนิดหน่อยในบางครั้งเถอะ” แต่เธอก็ยังไม่ยอมอยู่ดี ไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอกหรือ?

เพราะฉะนั้นก็เช่นเดียวกันกับโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ ในจักรวาลนี้ ท่านเหล่านี้มีอำนาจมากที่สุด ถ้าเธออยากจะเป็นก็จงขยันให้มากขึ้นก็แล้วกัน แต่ฉันเกรงว่าเธอจะทนกับระบบการฝึกที่ลำบากแสนสาหัสที่สุดนั้นไม่ไหวนะซี เพราะฉะนั้นก็ค่อยๆ ไปอย่างช้าๆ ก็แล้วกัน เป็นโพธิสัตว์ก่อนแล้วค่อยไต่ขึ้นไป แต่ถ้าเธอปฏิญาณตนอย่างสุดใจวันหนึ่งเธอก็จะได้เป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์แน่นอน เราสามารถจะเป็นสิ่งที่เรามีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะเป็น...เรื่องนี้แน่นอนที่สุด แต่ว่ามันอาจจะไม่ได้เป็นจริงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว...บางทีอาจจะเป็นในชาติหน้า หรืออีกหลายๆ ชาติต่อไป อย่างไรก็ตามถ้าเธอตั้งใจมาก เธอก็อาจจะประสบความสำเร็จได้ในที่สุด

ถ : โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์จะมายังโลกนี้ไหม?

อ : มาซี! ? ทำไมจะไม่มาล่ะ? พวกท่านอยู่ทุกหนทุกแห่งเลย

ถ : ท่านเหล่านั้นจะมีกรรมไหมเวลาที่มายังโลกนี้? ท่านจะติดเชื้อจากโลกนี้ไปด้วยไหม? (มีเสียงหัวเราะ)

อ : ไม่มี, ท่านจะไม่มีกรรมอะไรเลย แล้วก็จะไม่ติดเชื้อจากโลกนี้ด้วย

ถ : พวกท่านมายังโลกนี้ด้วยนิรมาณกายเหมือนกันหรือ?

อ : ท่านแตกต่างจากนิรมาณกายของมหาสัตว์ พวกท่านคือกฎ และพวกท่านมีอำนาจทั้งหมดทุกอย่าง...มีพลังอิทธิปาฏิหาริย์ และสามารถจะกลายร่างเป็นอะไรก็ได้ตามต้องการ พลังปาฏิหาริย์ของท่าน, พลังของท่าน และอำนาจบังคับบัญชาของท่านมีอยู่ตลอดเวลา พวกท่านแตกต่างจากโพธิสัตว์ธรรมดาๆ

ถ : ถ้าอย่างนั้น ฉันก็อยากจะเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์คนหนึ่ง

อ : ฉันรู้ว่าเธออยากจะเป็น(มีเสียงหัวเราะ) แต่มันไม่ได้ง่ายดายอย่างนั้นหรอกนะ พอเธอบำเพ็ญบรรลุถึงโลกชั้นที่ 5 แล้วค่อยมาพูดเรื่องนี้กันใหม่ดีกว่า

ถ : ขอถามอาจารย์หน่อยว่า โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ต้องผ่านกระบวนการของการเกิดและการเติบโตขึ้นมาหรือไม่ เวลาที่ท่านมายังโลกนี้?

อ : มันไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้นเสมอไปหรอก พวกท่านแตกต่างจากโพธิสัตว์ธรรมดาๆ

ถ : พวกท่านมายังโลกนี้เพื่อทำงานของท่านเท่านั้นหรือ?

อ : ถูกต้อง! ท่านมาแล้วก็ไปตามแต่ท่านจะต้องการ

ถ : แต่ว่าโพธิสัตว์ธรรมดาๆ ต้องเกิดมาตอนที่ท่านมาในตอนแรก? ถูกหรือไม่?

อ : ถูก! โพธิสัตว์ธรรมดาต้องอาศัยการเกิดคลอดออกมาก่อน ซึ่งโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ไม่ต้องทำอย่างนั้น พวกท่านสามารถจะกลายร่างเป็นอะไรก็ได้ตามต้องการ สามารถกลายเป็นแมลงวันตัวหนึ่งหรือก้อนหินก้อนหนึ่งได้ทันที แต่ว่ามีพลังอำนาจอยู่ในก้อนหินก้อนนั้นหรือแมลงวันตัวนั้น ไม่ว่าท่านจะกลายร่างของท่านเป็นอะไร ท่านก็จะยังรู้ตัวอยู่อย่างสมบูรณ์ว่าท่านเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ ท่านสามารถหายตัวไปหรือปรากฏมาเป็นสิ่งมีชีวิตใดๆ ก็ได้ตามต้องการ ท่านสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์คนหนึ่งหรือเป็นสุนัขตัวหนึ่งก็ได้แล้วแต่จะชอบ แต่สุนัขตัวนี้จะไม่ใช่สุนัขธรรมดาๆ และจะไม่มีกรรมอะไรเลย เป็นอิสระจากกรรม

เวลาอยู่ในรูปร่างมนุษย์ท่านก็จะไม่ติดเชื้อกรรมจากคนอื่น และก็ไม่ถูกแปดเปื้อนจากสังคมด้วย ไม่ว่าท่านจะมีรูปร่างเป็นอะไร สติของท่าน สำนึกของท่านก็จะตื่นอยู่ตลอดอย่างสมบูรณ์ โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์อยู่ในตำแหน่งที่สูงสุด ถ้ามีพระเจ้าสูงสุดจริงๆ พวกท่านก็รองลงมาจากพระเจ้านิดหน่อยเท่านั้น พระเจ้าเป็นอันดับ 1 พวกท่านเป็นอันดับ 2 เข้าใจไหม?

ถ : โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ได้รับการฝึกที่ไหน?

อ : พวกท่านได้รับการฝึกในมิติที่อยู่เหนือขึ้นไป

ถ : ท่านเหล่านั้นจะยังคงเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ไปตลอดกาล หรือว่าในที่สุดพวกท่านจะกลายเป็นพุทธะไป?

อ : ท่านจะเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ไปตลอดกาล พวกท่านจะกลายเป็นพุทธะก็ได้ถ้าท่านอยากจะเป็น แต่ว่าท่านไม่ต้องเป็นก็ได้

ถ : อาจารย์, ท่านบอกว่าโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ไร้อารมณ์สนใจหรือเป็นห่วงเป็นใยต่อสิ่งที่มีอิทธิพลโน้มน้าวจิตใจใดๆ ทางภายนอก สมมุติว่าสรรพสัตว์ผู้หนึ่งบังเอิญได้พบกับนิรมาณกายของโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ พวกท่านจะช่วยเหลือเขาไหม?

อ : ท่านจะไม่ช่วย

ถ : ทำไม?

อ : เป็นเพราะว่ามีโพธิสัตว์อื่นๆ ที่กำลังทำหน้าที่นั้นอยู่แล้ว!

ถ : แต่พวกท่านก็ยังสามารถช่วยคนได้อีกทางหนึ่ง!

อ : ทำไมท่านจึงควรจะช่วยเธอล่ะ? โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับเธอเลย พวกท่านดูแลทั้งจักรวาล ไม่ใช่แค่คนคนเดียวหรือสองคนหรือกลุ่มใด พวกท่านแตกต่างจากมหาสัตว์

ถ : ถ้าพวกท่านพบคนที่กำลังจะตาย พวกท่านจะช่วยเขาไหม?

อ : ท่านจะช่วยเขาได้อย่างไร? ถ้าเธอไม่ได้เป็นหมอ แล้วเธอจะช่วยรักษาคนป่วยได้อย่างไรเวลาพวกเขามาหาเธอ? พวกท่านไม่สามารถจะทำงานแบบนี้ได้หรอก ท่านมีธุระวุ่นวายอยู่มากเกินกว่าที่จะมาดูแลเรื่องของคนๆ เดียวหรือ 2 คน หรือแม้กระทั่งทั้งโลกก็ตาม พวกท่านมีงานยุ่งมาก ยุ่งมากที่สุดจริงๆ! พวกท่านไม่มีเวลาจะมาดูแลคนๆ หนึ่งหรือ 2 คนหรอก

ถ : อาจารย์จะช่วยยกตัวอย่างสักหนึ่งให้เห็นภาพได้ไหมว่า การฝึกที่ลำบากแสนสาหัสที่โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์จะต้องผ่านนั้นเป็นอย่างไร?

อ : เรื่องนี้อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้หรอก เพราะว่าในโลกนี้ไม่มีระบบการฝึกแบบนี้ (มีเสียงหัวเราะ) ฉันเพิ่งบอกเธอไปแล้วว่า การฝึกนี้รุนแรงลำบากและเจ็บปวดทุกข์ทรมานมากกว่าในนรกอีก มันเหลือที่เธอจะนึกคิดวาดภาพออกมาได้

ถ : แล้วในโลกระดับสูงๆ ขึ้นไปนั้นจะมีสิ่งที่เลวร้ายอย่างนี้ได้อย่างไรกันล่ะ?

อ : มันไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายอะไร แต่เป็นการฝึกที่จำเป็นและสำคัญ

ถ : ทุกๆ คนสามารถเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์นี้ได้หรือเปล่า?

อ : เรื่องนี้จะต้องได้รับการตัดสินจากการคัดเลือก พอเธอถูกเลือกขึ้นมาพวกเขาก็จะเริ่มฝึกเธอไปอย่างช้าๆ

ถ : ใครเป็นผู้ตัดสินใจ?

อ : โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ทั้งหลายเป็นผู้ตัดสิน พวกท่านจะเลือกใครก็ได้ตามที่ท่านต้องการและเราจะไม่ได้รู้ล่วงหน้าเลย เราเพียงแต่รู้ หลังจากเราถูกเลือกแล้ว เพราะว่าเราจะต้องผ่านความลำบากและความทุกข์ทรมานแบบต่างๆ แต่อย่างไรก็ตาม เธอจะไม่ถูกเลือกหรอกในขณะที่ยังอยู่ในโลกนี้น่ะ...ฉันสามารถรับประกันกับเธอได้แน่นอนในเรื่องนี้ (มีเสียงหัวเราะ) หลังจากเธอขึ้นไปถึงโลกที่ห้าแล้วค่อยมาพูดกัน เธอได้แต่มีทางเป็นไปได้ที่จะถูกเลือก หลังจากที่เธอผ่านพ้นไตรภูมิไปแล้วเท่านั้น