มีคนบางคนมาขอให้ฉันสอนวิถีการทำสมาธิที่จะหยุดลมหายใจและชีพจร
ฉันก็บอกว่า "ไม่เห็นต้องรีบร้อนอะไร
รอสักหน่อยพอเธอตายไปสิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นไปเอง"
มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร
เราไม่มีความจำเป็นใดๆ
ที่จะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับระบบของธรรมชาติ
มันมิใช่หนทางสู่การรู้แจ้ง
แล้วพวกเขาก็ขอให้ฉันสอนวิธีการทำสมาธิที่จะทำให้ร่างกายร้อนขึ้น
จนคล้ายกลายเป็นเปลวไฟแห่งสมาธิ
เป็นพลังสมาธิโดยผ่านความร้อน ฉันก็บอกว่า
"ไม่จำเป็น โดดลงไปในเตาก็ใช้ได้แล้ว!"
เรื่องพวกนี้เหลวไหล!
ไม่เกี่ยวข้องกับการรู้แจ้ง
บางทีเหล่าอาจารย์หรือผู้บำเพ็ญในเทือกเขาหิมาลัยอาจไม่อบอุ่นพอ
จึงต้องบำเพ็ญสิ่งที่เราเรียกกันว่าความร้อน "ทัมโม"
จากจักระศูนย์กลางท้อง เพื่อให้เกิดความร้อน
เพื่อให้ร่างกายอบอุ่นในช่วงที่หนาวเย็นของหิมาลัย
แต่ที่นี่
เรามีระบบทำความร้อนทั้งบ้านและเครื่องทำความร้อน
เรามีทุกๆ อย่าง
จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องฝึกเช่นนั้น
แล้วฉันก็ยกตัวอย่างพระพุทธเจ้า
มีคนผู้หนึ่งมาหาพระพุทธเจ้าแล้วโอ้อวดว่า
เขาสามารถเดินข้ามน้ำไปสู่อีกฝั่งหนึ่งได้
พระพุทธเจ้าถามว่า
"ท่านบำเพ็ญมานานเท่าใดเพื่อให้ทำได้เช่นนี้?"
เขาก็บอกว่า "25 ปี" พระพุทธเจ้าตรัสว่า
"เสียเวลาและเสียเงินทำไม? อาตมาจ่ายเพียง 5
เบี้ยก็สามารถนั่งเรือข้ามน้ำได้แล้ว"
เหล่านี้เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง
เราบำเพ็ญเพื่อให้เรารู้แจ้งเพื่อจะได้ทราบว่า
เราทำอะไรเพื่อมนุษยชาติได้อีกบ้าง
ว่าเราเกี่ยวข้องกับจักรวาลอย่างไร
และว่าเราจะมอบสิ่งใดๆ
ให้กับจักรวาลได้อย่างไร
จักรวาลซึ่งให้เรามากล้น
หรือเพื่อให้เราได้เป็นอิสระจากความทุกข์
ให้เราได้เป็นอิสระจากการเป็นทาสแห่งการเวียนว่ายตายเกิด
แต่เราหาได้บำเพ็ญเพื่อโอ้อวดไม่
เราหาได้มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มความร้อนหรือความเย็นไม่
ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหยุดชีพจรและลมหายใจ
สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งอันไม่จีรังยั่งยืน
เป็นระบบการทำงานของธรรมชาติเราไม่นำมาใส่ใจ
ธรรมชาติอันเป็นพระเจ้ามิได้อยู่ในลมหายใจ
มิได้อยู่ในชีพจรหรือความร้อนจากช่วงท้อง
จริงอยู่ธรรมชาติอันเป็นพระเจ้าก็อยู่ในสิ่งเหล่านี้ด้วยเช่นกัน
แต่เป็นเพียงแง่มุมน้อยๆ หนึ่งเท่านั้น
เราควรแสวงหาส่วนทั้งหมดแล้วเราก็จะเข้าใจรายละเอียดทุกอย่าง
เราไม่ควรสนใจเพียงรายละเอียดเล็กน้อยแล้วลืมทั้งส่วน
ดังนั้น
เราจึงต้องเปลี่ยนแปลงความเข้าใจไม่ถูกต้องนั้นเสียเพื่อยกระดับของเรา
อย่างน้อยก็ระดับความเข้าใจทางสมองของเรา
เพื่อจะได้ทำความเข้าใจในระดับต่อไปได้
หากเรายังคงยึดติดอยู่กับความคิดหรืออคติล้าสมัยแบบนี้
เราก็ไม่มีหวังที่จะศิวิไลซ์ได้มากกว่านี้ที่จะมีสติปัญญามากกว่านี้
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ณ ปานามา 28
มกราคม 2534 (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)
ไม่ต้องสงสัยว่าเมื่อเธอบำเพ็ญปราณ
เธอย่อมจะได้ประโยชน์มากมาย
เธออาจจะมีสุขภาพดี
อาจจะมีชีวิตยืนยาวกว่าเดิมอีกสักหน่อย
เธออาจจะมีพลังอภินิหารบางอย่างหรืออาจจะรู้สึกสงบ
ไม่มีอะไรที่ไร้ซึ่งประโยชน์
แต่ลำพังเพียงปราณอย่างเดียวนำเธอไปไหนไม่ได้
เพราะเรามีชีวิตเป็นนิจนิรันดรโดยไร้ลมหายใจ
สิ่งที่เราเรียกว่าชีวิตนั้นต้องไม่ได้หมายความถึงร่างกาย
หากเธอว่าชีวิตคือร่างกายแล้วนั้น
แล้วเธอบำเพ็ญ
ลมหายใจก็จะสำคัญสำหรับร่างกายแต่เพียงสำหรับคนทั่วไปเท่านั้น
คนจำนวนมากไม่ต้องใช้มัน เธอได้อ่าน
"อัตชีวประวัติของโยคีท่านหนึ่ง" โดยท่านโยคะนันทะหรือไม่?
เมื่ออาจารย์ของท่านอยู่ในสมาธิ
ท่านไม่แม้กระทั่งจะหายใจ
เธอคิดว่าในขณะนั้นท่านมิได้มีปัญญาอย่างนั้นหรือเมื่อท่านมิได้หายใจ?
ปัญญาของท่านหายไปที่ไหน? ถ้าเช่นนั้น
ท่านได้มาซึ่งปัญญาอย่างไร
เมื่อท่านไม่มีลมหายใจเพื่อใช้บำเพ็ญปราณ?
ฉันรู้จักคนจำนวนมากซึ่งบำเพ็ญด้วยวิถีการหายใจแต่ไม่ใช่ปราณ
แต่เขาจะนับลมหายใจ
มีวิธีบำเพ็ญที่เกี่ยวข้องกับลมหายใจมากมายหลายวิธี
และใช้ลมหายใจเป็นวิธีการทำสมาธิ
และถ้ามองในเรื่องของการทำสมาธิมันช่วยได้
มันช่วยคนบางคนแต่ฉันจะไม่แนะนำให้ใครใช้วิธีนี้
ยังมีวิธีที่ดีกว่าอีกมากมายหลายวิธีแทนที่จะต้องมาพึ่งพาลมหายใจอันไม่จีรังยั่งยืน
เธอจะต้องฝึกฝนจิตใจให้สามารถทำสมาธิได้ด้วยตนเอง
ด้วยพลังของวิญญาณมิใช่โดยอาศัยเครื่องมือช่วยเหลือภายนอก
มิฉะนั้นแล้ว หากเธอประสบอุบัติเหตุ
เมื่อเธอสลบไป เมื่อเธอป่วย
หรือหลับแล้วไม่รู้ถึงลมหายใจของเธอ
แล้วเธอจะฝึกฝนได้อย่างไร?
เราจะฝึกฝนเพียงเฉพาะเมื่อเราตื่นอยู่หรือเมื่อรู้ตัวถึงลมหายใจไม่ได้
เราจะต้องฝึกฝนตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
และสิ่งนี้จะสามารถทำได้ด้วยเพียงวิญญาณเท่านั้น
ฉันรู้จักคนจำนวนมากซึ่งบำเพ็ญลมหายใจถึงระดับที่พวกเขาสามารถอยู่ได้โดยไร้การหายใจ
และนั่นคือระดับสูงสุดของวิถีนี้
หากใครสามารถหยุดการหายใจได้ ใครๆ
จะแสดงความยินดีกับเขา
เพราะนั่นคือระดับสูงสุดที่พวกเขาสามารถจะไปถึงได้
แต่เมื่อพวกเขาหยุดหายใจ
นั่นย่อมหมายความว่าท้ายที่สุดการหายใจมิได้สำคัญอะไร
เธอสามารถอยู่ได้โดยปราศจากมัน
ถ้าหากจะให้ฉันบอกความจริงกับเธอ
แท้จริงแล้วลมหายใจนั้นเราไม่ควรจะไปแตะต้องมัน
มีกระแส 2 อย่างในร่างกายเรา
กระแสหนึ่งนั้นที่เราเรียกกันว่าพลังชีวิต
หรือ "ฉาด" (Shabd)
และอีกกระแสหนึ่งเรียกว่า "มอเตอร์" หรือ
กระแสชีวิต
กระแสฉาดนั้นเป็นกระแสที่มาจากพระเจ้า
เป็นคลื่นที่สั่นสะเทือนในชีวิตทุกประเภท
ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีลมหายใจ
จะเคลื่อนไหวได้หรือเคลื่อนไหวไม่ได้
ฉาดนั้นคือกระแสที่เราได้ยิน
ส่วนอีกกระแสหนึ่งนั้นคือกระแสมอเตอร์
ซึ่งดูแลความร้อน ความเย็น ระบบย่อยอาหาร
ระบบการหายใจ และสิ่งต่างๆ ทั้งหลาย
รวมถึงการหายใจ
สิ่งเหล่านั้นถูกจัดการไว้เรียบร้อยแล้ว
และเราไม่ควรไปใส่ใจกับมัน
เราไม่ควรทำให้มันสั้นหรือยาวหรือหยุดมัน
หรือควบคุมมันด้วยวิธีใดๆ ก็ตาม
เพราะมันถูกจัดแจงโดยผู้มีสติปัญญาสูงสุด
หากเราวุ่นวายกับเครื่องจักรนี้มันอาจทำงานผิดพลาดไปได้
หากมันมีปัญหาเราก็ควรจะซ่อมมันหรือดูแลมัน
มิฉะนั้นแล้วเราไม่ควรไปยุ่งเกี่ยว
หรือเราอาจกดผิดปุ่มไปแล้วมันอาจจะเสียไปทั้งหมด
|