ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับสถานีวิทยุช่อง 5
ในรายการ “ซันเดย์โฟกัส” ประเทศไทย

 
 

วันที่ 23 ธันวาคม 2537 (เดิมเป็นภาษาอังกฤษและไทย) 

บทนำ

ในระหว่างการสัมภาษณ์สดนี้ ผู้ดำเนินรายการได้เปิดเผยความรู้สึกอันแท้จริงภายในของเธอออกมา เธอได้เชื้อเชิญให้ท่านอาจารย์อยู่ในเมืองไทยอย่างถาวรด้วยความจริงใจ ซึ่งท่านอาจารย์รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมากถึงความศรัทธาและความรักของประชาชนชาวไทยที่มีต่อตัวท่าน ก่อนที่ท่านอาจารย์จะจากเมืองไทย ท่านจึงมีความรู้สึกลังเลที่จะจากอย่างมาก

ถ: ฮัลโหล (อ: ฮัลโหล) ค่ะ ยินดีมากที่ท่านมาออกรายการวิทยุของช่อง 5 นี้ เรามีคุณมโน คูรัตน์ เป็นผู้แปลนะคะ เราจะถามเป็นภาษาไทย และคุณมโน จะแปลเป็นภาษาอังกฤษให้นะคะ
 
อ: ขอบคุณค่ะ (ท่านอาจารย์กล่าวขอบคุณเป็นภาษาไทย) ขอบคุณ
ถ: คำถามแรกก็คือ ท่านเริ่มสนใจแสวงหาธรรม หรือแสวงหาสัจธรรมตั้งแต่เมื่อไหร่?
อ: ฉันก็จำไม่ได้ว่าตั้งแต่เมื่อไร คงจะเริ่มตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก ตั้งแต่เด็กๆ
ถ: ท่านใช้เวลานานเท่าไหร่ในการบรรลุสัจธรรม นับตั้งแต่เริ่มแรกเมื่อเริ่มสนใจแสวงหาสัจธรรม?

อ: โอ! เรื่องนี้ก็ไม่ทราบจำนวนปีที่แน่นอน แต่ฉันเดาว่าคงจะค่อยสะสมมากขึ้นๆ เป็นเวลาหลายปี เริ่มตั้งแต่เมื่อเราถามคำถามแรกๆ กับตัวเอง เช่น เรามาจากไหน ทำไมเรามาอยู่ที่นี่ ทำนองนั้น ดังนั้น สำหรับบางคนอาจต้องใช้เวลาตลอดชีวิตของเขาก็ได้ ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าใช้เวลาเท่าไหร่ และเริ่มตั้งแต่ตอนไหน มันค่อยๆ จริงจังชัดเจนขึ้นในช่วงอายุประมาณ 30 ปี ในช่วงที่มีอายุระหว่าง 28-30 ปี ประมาณนั้น แล้วก็จริงจังมากขึ้นๆ แล้วจึงเกิดผลออกมาในตอนนั้น

ถ: การบรรลุสัจธรรมเป็นการเกิดปาฏิหาริย์หรือเปล่า เราทราบได้อย่างไรว่าเราบรรลุแล้ว?

อ: จริงๆ แล้วเรื่องนี้ยากที่จะอธิบายออกมาเป็นภาษามนุษย์ และก็ไม่มีปริญญาหรือการสอบที่เราจะสามารถบอกได้ว่า เรามีประกาศนียบัตร หรืออะไรบางอย่างที่จะพิสูจน์ได้ว่ามันเป็นความจริง มันเป็นการตื่นขึ้นภายใน และทำให้เราทราบว่าเรารู้อะไรหลายๆ อย่าง ทำให้เราทราบว่าเราเข้าใจธรรมชาติของตัวตนของมนุษย์อย่างแท้จริง เราจะเข้าใจตัวตนที่แท้จริงซึ่งอยู่ในแต่ละคน หรือทุกๆ สิ่งในจักรวาล

ถ: ก่อนที่ท่านจะบรรลุสัจธรรมนั้น ท่านมีสิ่งกีดขวางหรือมีอุปสรรคมากไหม?

อ: ใช่ มี แต่ตอนนั้นฉันก็ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นอุปสรรค เพราะในชีวิตของเรานี้เราทุกคนก็เคยมีประสบการณ์ของความทุกยากลำบาก ไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่ง ดังนั้น ฉันก็เลยคิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต จึงไม่รู้สึกอะไรมากและก็ยังแสวงหาต่อไปเรื่อยๆ

ถ: ในโลกนี้มีธรรมวิถีอยู่มากมาย ทำไมท่านจึงเลือกและยอมรับเอาธรรมวิถีกวนอิมเป็นวิถีในการปฏิบัติของท่าน ?

อ: ใช่ ฉันเองก็เคยปฏิบัติธรรมวิถีต่างๆ มามากมาย ก่อนที่จะตระหนักว่า ธรรมวิถีกวนอิมนี้เป็นธรรมวิถีซึ่งช่วยให้เราไปถึงระดับสูงสุดได้เร็วที่สุด จึงเป็นเหตุผลที่ฉันประกาศให้ใครที่ต้องการได้รับโชคดีอันนี้ ได้รับทราบเหมือนกับที่ฉันได้รับ

ถ: เราอยากจะให้ท่านอาจารย์ช่วยอธิบายองค์ประกอบ และหลักการที่แท้จริงของธรรมวิถีนี้ให้เราทราบหน่อยค่ะ?

อ: โอเค จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้เป็นธรรมวิถีอะไรที่เขียนขึ้นมาได้หรอก แต่เราเรียกมันว่าธรรมวิถีก็เพราะในเวลาที่มีการประทับจิต คนที่เป็นครูหรือเพื่อนของเราคนนั้น จะสามารถช่วยให้คนที่สนใจจะรู้ถึงสัจธรรม สามารถเปิดพลังภายในของตนเองออก เพื่อจะได้จำธรรมชาติแห่งพุทธะของตนเองได้ และธรรมวิถีนี้ไม่ใช่คำพูด การถ่ายทอดธรรมวิถีจะกระทำในความเงียบ และเมื่อถ่ายทอดแล้ว ผู้แสวงหาสัจธรรมที่ได้รับการถ่ายทอดก็จะได้รับการรู้แจ้งส่วนหนึ่ง

ยกตัวอย่างเช่น เราอาจจะเห็นแสงอันเจิดจ้าของพุทธะ หรือได้ยินคำสอนบางอย่างจากพุทธะโดยตรง อาจจะเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะของตนเอง แต่ก็แน่นอนว่าจะต้องมีเครื่องช่วยบางอย่าง เช่น มีการแนะนำ หรือมีครูที่จะสอนลูกศิษย์ว่าควรจะนั่งอย่างไร ควรจะผ่อนคลายอย่างไร และควรจะตั้งความสนใจไว้ที่ไหน แต่เรื่องพวกนี้จะไม่มีอะไรเลย ถ้าไม่มีพลังซึ่งอยู่เบื้องหลังธรรมวิถีนี้

ถ: เนื่องจากธรรมวิถีนี้ไม่สามารถถ่ายทอดโดยใช้คำพูด แล้วท่านถ่ายทอดสิ่งนี้อย่างไร?

อ: ขั้นแรก ตัวอาจารย์จะต้องรู้จักตัวตนที่แท้จริงของตนเองก่อน จากนั้น การถ่ายทอดก็จะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติในระดับของการดำรงอยู่ที่ต่างออกไป ในระดับของการสำนึกรู้ตัวที่มีต่างออกไป หมายความว่าจิตสำนึกของอาจารย์และลูกศิษย์จะเชื่อมต่อกัน และก็จะมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งเราไม่สามารถอธิบายเป็นภาษาพูดได้ ยกตัวอย่างเช่น เราไม่สามารถอธิบายความรักระหว่างคู่รัก หรือความรักระหว่างแม่กับลูกได้ แต่ความรักนั้นมีอยู่จริงและทั้ง 2 คนก็เข้าใจ

ถ: ตาปัญญา อยู่ที่ไหนและท่านเปิดมันได้อย่างไร?

อ: เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องนามธรรมทั้งสิ้น แต่ฉันจะพยายามเต็มที่ จะลองพยายามอธิบายเป็นภาษาธรรมดาๆ ดู หวังว่าฉันจะสามารถอธิบายให้กระจ่างได้ ตาปัญญาจริงๆ แล้วไม่ใช่ตา เพียงแต่ว่าหลังจากมันเปิดแล้ว เราจามารถเห็นสิ่งต่างๆ มากมายในจักรวาล และเราสามารถจะเห็นสัจธรรมได้โดยไม่ต้องพึ่งภาษา หรือพระสูตร หรือคัมภีร์ หรือคำสอนใดๆ ทั้งสิ้น และมีจุดศูนย์กลางอันหนึ่งซึ่งเชื่อมต่อระหว่างตัวเรากับพลังของจักรวาล อยู่ตรงกึ่งกลางความคิดจิตใจของเราแต่ไม่ได้เป็นร่างกายจริงๆ จากจุดนี้ ถ้าเรามองผ่านออกไปตรงหน้าผากของเรา ตรงบริเวณกึ่งกลางหน้าผากแถวๆ นั้น เหนือคิ้วขึ้นไปประมาณหนึ่งนิ้วตรงบริเวณกลางๆ หน้าผาก เราก็จะเห็นธรรมชาติที่แท้จริงของจักรวาล

สำหรับสมัยใหม่นี้เราอาจจะเปรียบเทียบการเปิดตาปัญญาเหมือนกับเครื่องมือทางอิเลกทรอนิกส์ หรือแม่เหล็กไฟฟ้า เธอคงทราบใช่ไหม เราสามารถเปิดโทรทัศน์จากที่ไกลๆ หรือเปิดไฟจากที่ไกลๆ ได้โดยไม่ต้องแตะมัน....คล้ายๆ กับว่าเราไม่เห็นใครแตะปุ่มอะไรเลย บางทีเราเดินไปที่ประตูแล้วประตูก็เปิดออก แต่ของอย่างอื่นเราอาจจะต้องใช้มือของเราทำงาน เข้าใจไหม? ดังนั้น การเปิดตาปัญญาจึงเป็นเรื่องนามธรรมมากทีเดียว อาจเปรียบคล้ายๆ กับพวกเครื่องอิเลกทรอนิกส์ หรือแม่เหล็กไฟฟ้า ไม่มีการจับต้องวัตถุอะไรเลย ดังนั้น ผู้ที่เป็นอาจารย์จึงไม่จำเป็นต้องอยู่กับลูกศิษย์ อาจจะทำได้ทั้งๆ ที่อยู่ห่างกันเป็นพันๆ หรือล้านๆ ไมล์ ก็ยังเกิดได้และได้ผลเหมือนกัน เป็นสิ่งที่เร็วกว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่าเครื่องมืออิเลกทรอนิกส์ หรือรีโมทคอนโทรล เพราะระยะห่างนั้นไม่มีขีดจำกัด

ถ: ท่านอยากจะให้ทุกคนในโลกนี้ปฏิบัติธรรมวิถีกวนอิมหรือไม่ และทำไม?

อ: เพราะว่าพวกเราทุกข์ทรมานกันมาก ถ้าผู้คนมีความสุขกับชีวิตของเขาและไม่มีความทุกข์ ยกตัวอย่างเช่น เขาปฏิบัติตามศีล 5 ของพุทธศาสนา หรือบัญญัติของคริสตศาสนา เช่น ไม่ฆ่า ไม่โกหก ไม่ทำร้ายผู้อื่น ไม่เล่นการพนัน ไม่ดื่มเหล้าและเสพยาเสพติดอะไรทำนองนั้น ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็นอะไรมากมายที่ทุกคนจะต้องบำเพ็ญปฏิบัติ แต่เพราะว่าคนส่วนใหญ่มีความทุกข์กันมาก แม้แต่คนที่ร่ำรวยและมีตำแหน่งสูงก็ยังมีความทุกข์ ดังนั้น ถ้าพวกเราแต่ละคนในโลกนี้ปฏิบัติธรรมวิถีกวนอิมได้ ก็จะเป็นการดีขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน เพราะผู้ที่ปฏิบัติธรรมวิถีกวนอิมจะมีความสุขภายใน ซึ่งเงินหรือตำแหน่งใดๆ ไม่สามารถเทียบเท่าได้เลย และไม่สามารถนำมาแลกได้เลย เป็นความสุขที่คงอยู่ตลอดไปไม่มีอะไรมาเปลี่ยนได้

ถ: ถ้าเราบรรลุถึงระดับสูงสุดหลังจากบำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม เราจะรู้สึกอย่างไร และมีลูกศิษย์ของท่านอาจารย์คนไหนได้บรรลุถึงระดับนี้แล้วบ้างไหม?

อ: ถ้าใครบรรลุถึงระดับสูงสุดในการบำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม เขาก็จะคล้ายๆ กับพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร หรือที่เรารู้จักกันในนามของกวนอิมโพธิสัตว์ ซึ่งสามารถจะได้ยินทุกสิ่งทุกอย่าง มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง สามารถช่วยผู้คนที่อยู่ตามมุมต่างๆ ของจักรวาลได้โดยไม่จำเป็นต้องไปอยู่ใกล้ๆ ไม่จำเป็นต้องรู้จักชื่อของคนนั้น หรือรู้จักตัวคนๆ นั้น และแน่นอนลักษณะนี้ก็คือเป้าหมายของคนที่นับถือศาสนาต่างๆ นั่นเอง คือ เพื่อที่จะอยู่ทุกหนทุกแห่งได้ เป็นแหล่งแห่งพระพรของทุกคนที่มีความทุกข์ยาก ลูกศิษย์ของเราบางคนก็ขึ้นมาถึงระดับใกล้เคียงนี้แล้ว แต่คนเหล่านี้เขาสุภาพ ถ่อมตัวมาก เราจะไม่สามารถบอกได้ หรือในระหว่างการนั่งสมาธิเราก็อาจจะเห็นได้ว่าใครอยู่ในระดับใด

ถ: อยากจะขอเรียนถามท่านอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด คือสงสัยว่าหลังจากเราตายไปแล้วจะไม่เหลืออะไรเลย หรือว่าเราจะต้องกลับมาเกิดใหม่?

อ: สำหรับการไม่มีอะไรเหลือ หรือกลายเป็นศูนย์นั้น ไม่ใช่แน่ๆ แต่เรื่องที่เราจะกลับมากเกิดใหม่หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าเราปฏิบัติตนอย่างไรในชีวิตนี้ ขึ้นอยู่กับว่าเราได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราแล้วหรือไม่ ถ้าเรารู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราแล้ว ก็จะไม่มีการกลับมาเกิดใหม่ นอกจากว่าเราเลือกที่จะกลับมาเกิดใหม่เองเพื่อที่จะมาช่วยเหลือคนอื่นๆ

ถ: เหตุผลของการไม่รับประทานไข่คืออะไร เราดื่มนมได้หรือไม่?

อ: เราดื่มนมได้ เราดื่มได้ เรื่องนมนี่ไม่มีปัญหาเพราะเราไม่ต้องฆ่าสัตว์เพื่อเอานมมา แต่สำหรับไข่ถึงแม้ว่าจะเป็นไข่ลมที่ยังไม่ได้รับการผสม มันก็ยังมีสัญลักษณ์แห่งชีวิตและความตายรูปแบบหนึ่งบรรจุอยู่ภายใน สัญลักษณ์แห่งการเกิดใหม่ นอกจากนี้ไข่ยังมีความสามารถในการดึงดูดพลังงานทางด้านลบ หรือพลังงานที่ไม่ดี บางทีเราอาจจะอ่านหรือเคยทราบหรือเคยได้ยินว่า พวกนักเวทมนตร์คาถาหลายคนเขาใช้ไข่มาดึงดูดหรือล่อเอาสิ่งที่ไม่ดี หรือจิตชั่วร้ายออกจากคนที่ถูกสิงหรือถูกครอบครอง ดังนั้น เราก็คงไม่อยากดึงดูดเอาสิ่งไม่ดีเข้ามาในตัวของเรา เพราะตอนนี้เรากำลังพยายามขึ้นไปสู่ธรรมชาติทางด้านบวกหรือทางด้านดี

ถ: เมื่อเราเปิดตาปัญญาของเราแล้ว เราจะใช้ปัญญานั้นในชีวิตประจำวันของเราอย่างไร? การเปิดตาปัญญามีประโยชน์อะไร?

อ: แน่นอน เมื่อเราได้ตระหนักรู้ถึงปัญญาของเราอีกครั้งหนึ่ง เราก็สามารถใช้มันได้ในทุกๆ ด้านของชีวิตประจำวันของเรา ยกตัวอย่างเช่น เราจะมีความรักมากขึ้น มีความอดทนมากขึ้น ฉลาดมากขึ้นในงานที่เป็นชีวิตประจำวันของเรา รวมทั้งในการจัดการแก้ไขเรื่องยุ่งยากทุกอย่างในชีวิต คนลักษณะแบบนี้จะช่วยครอบครัวของเขาได้มาก ช่วยตัวเขาเอง เพื่อนๆ ประเทศชาติ รวมทั้งโลกทั้งโลกนี้ด้วย ผู้ที่มีทั้งปัญญาและคุณธรรมในเวลาเดียวกันจะเป็นบุคคลที่มีประโยชน์เสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน

ถ: ในเมืองไทยมีคนจีนเป็นจำนวนมากซึ่งมีประเพณีที่ยึดถือต่อกันมา ในการถวายอาหารให้แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว หรือไหว้เจ้า และปกติก็มักจะใช้หัวหมู หรือ เป็ดไก่ในการไหว้ ซึ่งเป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ท่านอาจารย์คิดว่า เขาควรจะเปลี่ยนมาใช้ผัก หรือผักหรือผลไม้แทนหรือไม่?

อ: แน่นอน ถ้าทำแบบนั้นก็จะดีต่อบรรพบุรุษของเขามากกว่า
ถ: เขาควรจะต้องเปลี่ยนไหม?

อ: ไม่ เขาไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน แน่นอน เราไม่ควรจะไปบังคับคนอื่นให้มีความเห็นเหมือนกับเรา เขาต้องการจะทำอะไรเขาก็ต้องทำอย่างนั้น แต่เพราะเธอถามฉันก็เลยต้องตอบ คนส่วนใหญ่ที่นี่นับถือพุทธศาสนา ถึงแม้จะเป็นคนจีนก็ถือพุทธกันเป็นส่วนใหญ่ ถ้าเขาอ่านคัมภีร์กษิติครรภ์โพธิสัตว์ ในคัมภีร์พุทธศาสนาเล่มนี้มีกล่าวไว้ชัดเจนว่า ตอนที่มีคนตายหรือตอนที่มีคนเกิด ไม่ควรจะมีการฆ่าสัตว์เลย มิฉะนั้นผลบุญของคนที่ตายไปจะลดน้อยลง และผลบุญในชีวิตของแม่และเด็กที่จะเกิดมาก็จะลดน้อยลง จะทำให้เขาลำบากกันมากขึ้น การถวายอาหารมังสวิรัติย่อมดีกว่าแน่นอน แม้ว่าหลังจากบรรพบุรุษจะเสียชีวิตไปแล้ว ถ้าลูกหลานต้องการจะเป็นผู้มีกตัญญู เขาก็ควรจะถวายอาหารมังสวิรัติจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าสำหรับวิญญาณที่จากโลกนี้ไปแล้ว

เรื่องนี้มีกล่าวอยู่ในคัมภีร์ของพุทธศาสนา คัมภีร์นี้มีชื่อว่า “คัมภีร์กษิติครรภ์โพธิสัตว์” ถ้าใครอยากอ่านก็ลองไปอ่านดูอีกครั้งก็ได้ มีกล่าวไว้ว่า ถ้าบุคคลใดเพิ่งจะเสียชีวิตไปและพวกญาติฆ่าไก่หรือหมู หรืออะไรทำนองนั้น เพื่อที่จะทำบุญเซ่นไหว้ไปให้เขา หากบุคคลนั้นควรจะต้องได้ไปสวรรค์อยู่แล้ว การกระทำดังกล่าวจะทำให้เขาไปสวรรค์ช้าลง และหากบุคคลนั้นมีหนี้กรรมหนักอยู่แล้ว เธอคงเข้าใจนะ หมายถึงเขาทำสิ่งไม่ดีไว้มากในชีวิตของเขา การฆ่าสัตว์เพื่อนำมาถวายให้เขาก็จะทำให้เขาได้รับการลงโทษมากขึ้นไปอีก ดังนั้นการฆ่าซึ่งเกิดจากการกระทำขอญาติพี่น้อง แต่ทำไปเพื่อตัวเขาก็จะทำให้ตัวเขาต้องลงไปอยู่ในนรกลึกกว่าเดิม หรืออยู่ในระดับขั้นต่ำลงไปอีก ซึ่งก็เป็นระดับที่มีความทุกข์ทรมานมากขึ้น

ถ: พวกเราได้ยินมาว่าท่านอาจารย์ศึกษาศาสนาต่างๆ ในโลกนี้มากมาย ศาสนาใดเป็นศาสนาที่ท่านใช้เป็นหลักมากที่สุด?

อ: ฉันคิดว่า ฉันใฃ้คัมภีร์ของพุทธศาสนามากกว่าอย่างอื่น เพราะฉันเดินทางไปตามประเทศต่างๆ จำนวนมากซึ่งอยู่ในทวีปเอเซีย แต่เวลาฉันอยู่ในประเทศตะวันตก ฉันก็มักจะใช้หลักของคริสต์ศาสนาหรืออะไรทำนองนั้นเพื่อที่จะให้คนเข้าใจ

ถ: ตอนนี้ท่านมีลูกศิษย์กี่คน และอยู่ในประเทศไหนมากที่สุด?

อ: ฉันคิดว่าคงจะนับไม่ไหว แต่อาจจะพูดได้ว่ามีมากกว่าแสนคน อาจจะมีถึงล้านคน มีอยู่มากที่ฟอร์โมซาเพราะว่าฉันอยู่ที่นั่นหลายปี นานมาก

ถ: ถ้าคนที่ประทับจิตแล้วไม่สามารถถือปฏิบัติหรือทำตามที่สัญญาไว้ได้ จะเป็นบาปหนักหรือไม่? เขาจะเลิกปฏิบัติได้หรือไม่?

อ: แน่นอนเขาเลิกได้ทุกเวลา การเป็นลูกศิษย์นั้นเป็นเรื่องยาก แต่การเลิกนั้นเป็นเรื่องง่าย เขาก็จะหยุดอยู่ที่ระดับที่เขาไปถึงและไม่ก้าวหน้าไปไหน หากเขาไม่ต้องการขึ้นไประดับสูงอย่างจริงใจ และแน่นอนถ้าเขาทำบาป เขาก็ต้องได้รับผลเหมือนๆ กับคนอื่น

ถ: เราอยากทราบรายละเอียดเกี่ยวกับ “ชิงไห่เดย์” ซึ่งเป็นวันที่ 25 ตุลาคม เรื่องนี้มีความเป็นมาอย่างไร และมีกิจกรรมอะไรในวันนั้น?

อ: เนื่องจากพวกเราช่วยเหลือคนอเมริกันไว้มาก เช่น เวลามีภัยพิบัติ เกิดน้ำท่วม หรือทางด้านอื่นๆ เช่น โรคเอดส์ มะเร็ง คนร่อนเร่พเนจร หรือเด็กซึ่งไม่มีที่อยู่อาศัย อะไรทำนองนี้ ดังนั้น รัฐบาลอเมริกันจึงตัดสินใจให้รางวัลแก่ฉัน จริงๆ แล้วมีด้วยกัน 2 ครั้ง และมีการตั้งชื่อตามชื่อของฉัน ครั้งหนึ่งคือวันที่ 25 ตุลาคม ซึ่งจัดโดยรัฐฮาวาย และอีกครั้งหนึ่งคือวันที่ 22 กุมภาพันธ์ โดย 6 มลรัฐซึ่งอยู่ทางตะวันตกตอนกลาง แต่ฉันคิดว่าลูกศิษย์เลือกเอาวันแรกคือ วันที่ 25 ตุลาคม พวกเขาก็ฉลองกันตามแบบนั้นทุกๆ ปี และพวกเขาก็ต้องการจะฉลองแบบนั้นทุกปี ตามที่ต่างๆ ในโลกด้วย

ถ: วัน “ชิงไห่เดย์” นี้มีกันทั่วโลกเลยหรือ?

อ: สำหรับเฉพาะพวกลูกศิษย์ของเรา และอาจจะมีพวกที่เคยประสบความเดือดร้อนและได้รับการช่วยเหลือบางคน แต่ไม่ใช่ทุกคนหรอก บางทีอาจจะเป็นแบบนั้นหลังจากฉันตายแล้วก็ได้ (อาจารย์หัวเราะ)

ถ: ท่านอาจารย์สามารถรำลึกอดีตชาติได้หรือไม่ ท่านสามารถทำนายอนาคตได้หรือไม่?

อ: อา! บางครั้งถ้าจำเป็นก็ได้ แต่เราไม่มาเสียเวลาจมอยู่กับอดีตตลอดเวลา และก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่เราจะต้องไปทำนายอนาคต เพราะว่าอะไรมันจะเกดมันก็ต้องเกิด คนที่บำเพ็ญปฏิบัติเขาจะไม่กังวลเกี่ยวกับอดีต และไม่กังวลถึงอนาคตด้วย

ถ: เราได้ยินมาว่าท่านอาจารย์เคยมาเมืองไทยแล้ว 2 ครั้ง และครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แต่ 2 ครั้งแรกไม่ค่อยมีข่าว หรือมีการโฆษณามากนัก แต่ครั้งนี้มีการโฆษณาเยอะแยะเลย อยากทราบว่าหลังจากบรรยายธรรมเสร็จแล้ว รู้สึกได้ผลเป็นที่น่าพอใจหรือไม่?

อ: ทั้ง 2 ครั้งก็เป็นที่น่าพอใจมาก ไม่ว่าจะโฆษณาหรือไม่โฆษณา คนก็มากันเต็มแน่นทั้ง 2 ครั้ง การบรรยายธรรมจะมีคนมาเต็มแน่นเสมอๆ บางคนก็ไม่มีที่นั่งต้องกลับบ้านไป แต่บังเอิญครั้งนี้หนังสือพิมพ์ต้องการจะให้เกียรติฉัน ซึ่งฉันก็ไม่สมควรจะได้รับเกียรติแบบนี้หรอก ก็เลยทำให้ผู้คนทราบกันเยอะ แต่ฉันคิดว่าคนไทยให้การต้อนรับผู้คนดีมาก และมีความเป็นมิตรมาก ดังนั้น ถ้าฉันปฏิเสธก็อาจทำให้เขาเสียใจ ดังนั้น ฉันจึงยอมรับเกียรตินั้นโดยยอมรับในนามของคนดีทุกๆ คนในโลก

ถ: ในชีวิตประจำวันท่านอาจารย์มีกิจกรรมอะไรบ้าง?

อ: โอ ก็มีหลายอย่างมาก ฉันตอบคำถามของพวกลูกศิษย์ ของคนทั่วไป หรือแขกที่มาเยี่ยมเป็นครั้งคราว ฉันตอบจดหมาย หรือ บางครั้งก็ตรวจดูหนังสือซึ่งพวกลูกศิษย์ถอดออกมาจากเทปเพื่อที่จะทำเป็นหนังสือ บางครั้งก็ออกแบบเสื้อผ้าเพื่อช่วยให้โลกดูสวยงาม หรือออกแบบอัญมณี บางทีก็วาดภาพ หรือออกแบบอะไรอย่างอื่น บางครั้งก็ไปว่ายน้ำถ้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย และบางครั้งนอกจากนั่งสมาธิแล้วก็อาจต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ เช่น บุคคลจากรัฐบาล หรือคนที่มีตำแหน่งสูงๆ หรือฉันอาจไปเยี่ยมเขา ตอบคำถามเขาเพื่อให้คำแนะนำ หรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านมนุษยธรรม อะไรทำนองนี้ หรืออาจจะช่วยคนจน ไปดูสถานที่ที่เกิดภัยพิบัติเพื่อจะได้รู้ว่าจะช่วยเขาได้อย่างไร เพื่อจะได้หาเงินมาช่วยเขา อะไรทำนองนี้

ถ: ถ้าพวกเราอยากจะให้ท่านอาจารย์อยู่ในเมืองไทยอย่างถาวร ท่านอาจารย์จะตอบรับหรือไม่? และเรื่องสุดท้ายที่เราอยากจะให้ท่านทำก็คือ ช่วยกรุณาอวยพรพวกเราที่เป็นคนไทยด้วย

อ: โอ ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจมากต่อการเชื้อเชิญนี้ แต่ฉันไม่ใช่บุคคลที่เป็นอิสระ ฉันจะทำทุกอย่างตามแผนการที่จักรวาลมอบหมายให้ฉันทำ และจะไปทุกแห่งที่ฉันถูกขอร้องให้ไป สำหรับตอนนี้มีประเทศต่างๆ ประมาณ 30 ประเทศรออยู่ ซึ่งฉันก็ยังไม่ได้ตอบรับไปเลย ฉันรักเมืองไทยมากที่สุด เรื่องนี้ทุกๆ คนทราบดีว่าเมืองไทยเป็นประเทศที่ฉันชอบมาก และแน่นอน ฉันก็อยากจะอยู่ที่นี่นานๆ แต่ฉันคงให้สัญญาไม่ได้ว่าจะอยู่อย่างถาวร อย่างไรก็ดี ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจจริงๆ ต่อความรัก ความเมตตาของคนไทย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำเชื้อเชิญซึ่งเพิ่งจะกล่าวจากปากของพิธีกรเมื่อสักครู่นี้ ฉันขอบคุณเธอมากๆ

ถ: สุดท้ายนี้ เราคงจะต้องกล่าวคำขอบคุณอย่างสูงต่อท่าน และดิฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงที่ท่านมาออกรายการของดิฉันในครั้งนี้ ขอขอบคุณมากๆ อีกครั้งนะคะ

อ: เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาร่วมรายการนี้ ขอให้พุทธะอวยพรแก่พวกเธอและประเทศของเธอ
ถ: ขอบคุณมากค่ะ