วิธีที่จะค้นพบทรัพย์สมบัติภายใน
 

ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ โรงแรมปางสวนแก้ว จ.เชียงใหม่ ประเทศไทย

วันที่  4 ธันวาคม 2537 (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษไม่ได้ตัดทอน)

บทความนี้ได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ เซ็นทรัล เดลี่นิวส์ ฟอร์โมซา กรกฎาคม 2539

เมล็ดพันธ์แห่งการรู้แจ้งอยู่ภายใน
เด็กๆ ก็สามารถรู้แจ้งได้เช่นกัน
ผู้เป็นอาจารย์เสี่ยงทุกอย่างเพื่อเตือนให้เรานึกถึงความยิ่งใหญ่ของเรา
หลังการรู้แจ้ง ทุกสิ่งก็กลายเป็นธรรมชาติโดยสมบูรณ์
ธรรมชาติพุทธะของเราดำรงอยู่ตลอดเวลา
ทุกคนเป็นพี่น้องกัน
การกินมังสวิรัติเป็นประโยชน์ต่อตัวเธอและโลก
การทำสมาธิสามารถเผยความลับของความตาย
การทำสมาธิเป็นการสวดภาวนาที่ลึกซึ่งที่สุด
การรู้แจ้งอยู่เหนือกาลเวลาและระยะทาง
การกินมังสวิรัติทำให้กายและใจบริสุทธิ์
การตระหนักรู้ภายในเท่านั้นที่ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ
อาจารย์ที่แท้จริงจะอยู่ทุกหนแห่ง
 
 

นไทยสุภาพอ่อนโยนและนิ่มนวลมาก พวกเขาไม่ทำอะไรแบบเร็วๆ เร่งร้อน ฉะนั้นเวลาพวกลูกศิษย์ติดป้ายว่า “การรู้แจ้งฉับพลัน” ฉันจึงไม่รู้ว่ามันจะชวนใจคนไทยหรือเปล่า ฉันกำลังคิดไปว่าบางทีเราควรจะเปลี่ยนเป็น “การรู้แจ้งแบบช้าๆ” (อาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ) ฉันรู้สึกแปลกใจนะที่เห็นว่ามีคนมากันมากเพราะฉะนั้นบางทีมันอาจจะไม่เป็นไรก็ได้ ความจริงแล้ว เราช้ากันมามากแล้วในการได้รับการรู้แจ้ง เพราะว่าเรามีความสุขเพลิดเพลินกับสิ่งสร้างสรรค์ต่างๆ ทางวัตถุทางร่างกายมาหลายชาติ

สำหรับบางคนก็หลายร้อยหลายพันหรือหลายล้านชาติมาแล้ว จึงรู้สึกเหนื่อยและเบื่อหน่ายกับละครทางโลกวัตถุนี้เต็มที เราอยากจะมีวิธีที่เร็วๆ บางวิธีที่จะได้รู้แจ้งจะได้กลับบ้าน จะได้กลับสู่ดินแดนแห่งพุทธะ หรือกลับสู่อาณาจักรของพระเจ้า นี่เป็นคำศัพท์ที่แตกต่างกันในศาสนาต่าง? บางทีนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่คนมาขอรับการรู้แจ้งฉับพลันเพราะว่าพวกเราบางคนไม่อยากจะอยู่ในโลกนี้นานเกินความจำเป็นนานกว่าชาตินี้
ฉันก็มีความรู้สึกแบบเดียวกันนี้ก่อนที่ฉันจะไปอยู่ภูเขาหิมาลัย หลังจากที่ฉันได้เรียนรู้เห็นความทุกข์ยากและหายนะต่าง ๆ มากมายในโลกนี้แล้ว ฉันรู้สึกว่าตัวเองก็กำลังร่วมทุกข์และเจ็บปวดไปกับผู้คนในโลกนี้ และฉันปรารถนาจะมีวิธีการช่วยบรรเทาทุกข์แบบรวดเร็วทันทีไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด ถึงแม้ว่าฉันจะต้องสละชีวิตของฉันก็ตาม บางทีด้วยเหตุนี้พระเจ้าหรือพุทธะจึงสงสารฉันและทำให้ความปรารถนาของฉันสมหวัง
เมล็ดพันธุ์แห่งการรู้แจ้งอยู่ภายใน

ฉะนั้นก็เป็นเช่นเดียวกับเพื่อนบำเพ็ญของเรามากมายหลายพันคนทั่วโลก เมื่อหัวใจของพวกเขากำลังร่ำร้องหาความเป็นอิสระหลุดพ้น เมื่อหัวใจของพวกเขากำลังใฝ่หาสัจธรรมใฝ่หาปัญญาที่สูงสุดด้วยความจริงใจ พุทธะทั้งสิบทิศหรือพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพก็ได้ทำให้พวกเขาสมความปรารถนาเช่นกัน พวกเขาได้รู้แจ้งแล้วเช่นกัน และรู้แจ้งมากขึ้นๆ ทุกวันด้วยการบำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม ถ้าหากว่ามีผู้อื่นใดในอนาคตที่อยากจะได้รับพรเดียวกันนี้ด้วย พวกเราก็สามารถแบ่งปันสิ่งนี้กับพวกคุณได้เพราะว่าผลหรือเมล็ดพันธุ์ของการรู้แจ้งอยู่ในตัวเราเองอยู่แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องไปหามันที่ไหน ดังนั้น เราเคยเห็นในคัมภีร์โบราณต่างๆมาแล้วว่าพุทธะท่านต่างๆ หรืออาจารย์ต่างๆ ได้รับการรู้แจ้งในสถานที่ต่างๆ กันและด้วยความมานะพยายามแบบต่างๆในช่วงเวลาต่างๆกัน บางท่านก็ฝึกบำเพ็ญแบบวินัยจัดเคร่งครัด บ้างก็บำเพ็ญแบบสบายๆเป็นฆราวาส บางคนใช้เวลานานหลายปีหรือตลอดชีวิตจึงบรรลุการรู้แจ้งอย่างสมบูรณ์ บางคนก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือน บางคนก็รู้แจ้งทันที

เด็กๆ ก็สามารถรู้แจ้งได้เช่นกัน
มีโพธิสัตว์ผู้หนึ่งในแวดวงที่ใกล้ชิดกับพระศากยมุนีพุทธเจ้าในตอนนั้น ท่านเล่าเรื่องเกี่ยวกับลูกสาวมังกรอายุแปดขวบได้บรรลุความเป็นพุทธะ ฉะนั้นก็หมายความว่า อายุ เพศ พวกคุณรู้นะ อย่างเช่น ชาย หญิงหรือยีนต่างๆ (หน่วยพันธุกรรม) เช่น ดีเอ็นเอ ไม่ว่าจะเป็นมังกรหรือมนุษย์ หรือว่าสถานที่ไม่ได้ทำให้เกิดความแตกต่างอะไรเลยสำหรับความเป็นนักบุญ สำหรับการรู้แจ้ง ก็อย่างที่เรารู้ว่ามังกรอาศัยอยู่ก้นทะเลลึกคิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้นนะ และเธอก็เป็นเด็กอายุแค่ 8 ขวบ ถ้าพวกคุณคนไหนเคยอ่านปุณฑริกสูตรก็จะรู้

ทีนี้ถ้าเด็กหญิงอายุ 8 ขวบสามารถบรรลุความเป็นพุทธะได้ก็หมายความว่ามันคงจะต้องเป็นในทันทีหรืออาจจะ 2 ปีเป็นอย่างมาก เพราะว่าตั้งแต่สมัยโบราณมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ผู้เป็นอาจารย์จะไม่ประทับจิตให้เด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ ฉะนั้นระยะเวลาที่มากที่สุดที่ลูกมังกรตัวนั้นจะใช้เพื่อได้รู้แจ้งก็คงจะเป็น 2 ปีบรรลุความเป็นพุทธะนะ ไม่ใช่รู้แจ้ง

เรามักจะเคยได้ยินบ่อยๆ ว่ามีแต่มนุษย์เท่านั้นที่สามารถกลายเป็นพุทธะได้ เฉพาะมนุษย์สามารถได้รู้แจ้งและก็เฉพาะเด็กผู้ชายหรือผู้ชายที่กลายเป็นพุทธะได้ ตอนนี้ก็มีอีกเรื่องหนึ่งแล้วที่ขัดกัน เด็กผู้หญิง ผู้หญิง หรือแม้แต่เด็กเล็กๆ ก็สามารถได้รับการรู้แจ้งเช่นกัน เรามีเด็กๆหลายคนที่อยู่ในประเภทที่คล้ายๆ กันนี้ด้วย พวกเขาได้รู้แจ้งตอนอายุยังน้อยมาก ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงสรรเสริญยกย่องผู้บำเพ็ญที่ศึกษาสัจธรรมมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะว่าเวลาเราอายุน้อย จิตใจของเราจะบริสุทธิ์กว่าและมันจะง่ายกว่าในการที่จะยกระดับตัวเราเองขึ้นสู่ระดับของความเข้าใจในระดับที่สูงขึ้น สู่ระดับจิตสำนึกภายในที่สูงขึ้น

แต่คนโบราณเหล่านี้ได้รับการรู้แจ้งและในที่สุดวันหนึ่งได้บรรลุความเป็นพุทธะกันได้อย่างไร? นี่เป็นคำตอบที่เราต้องรู้โดยการบำเพ็ญอย่างวินัยจัดเคร่งครัด หรือแบบสบายๆ ผ่อนคลายหรือจากความบริสุทธิ์ของความเป็นเด็ก บางทีอาจจะจากทั้งหมดทุกอย่างนี้ก็ได้ แต่ว่ามันก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เหล่านี้อย่างแท้จริงที่เราได้รู้แจ้ง มันมีความลับอยู่อย่างหนึ่งตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้ว และก็จนเมื่อไม่นานมานี้เท่านั้น มันถึงได้รับการเปิดเผยต่อคนทั่วไปไม่มากก็น้อย

เพราะว่าในสมัยโบราณถ้าใครอยากจะศึกษาวิธีลับนี้กับผู้เป็นอาจารย์ พวกเขาจะต้องข้ามน้ำข้ามเขาและทำอะไรหลายอย่างที่เหนื่อยยากลำบากกายเพื่อจะได้รับความรักและให้อาจารย์ยอมรับเป็นลูกศิษย์ในตอนนั้น เหตุผลมีอยู่หลายข้อ บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าในสมัยโบราณการบำเพ็ญแบบที่เป็นเรื่องลึกลับเข้าใจยากเกี่ยวกับทางจิตวิญญาณแบบนั้นจะทำให้เกิดอันตรายมากมายต่อผู้เป็นอาจารย์และลูกศิษย์ มีการรบกวนกลั่นแกล้งมากมายจากผู้คนจากรัฐบาลและจากองค์กรศาสนาที่ไม่เชื่อว่าสิ่งต่างๆ เหล่านั้นจะมีอยู่นอกระบบศาสนาของพวกเขา เพราะฉะนั้นทั้งอาจารย์และลูกศิษย์ก็ต้องเก็บไว้เป็นความลับและทำอะไรไม่ให้คนสังเกตเพื่อจะได้ไม่ชักนำอันตรายเข้ามาหาตัวเอง

ผู้เป็นอาจารย์เสี่ยงทุกอย่างเพื่อเตือนให้เรานึกถึงความยิ่งใหญ่ของเรา
ดูจากกรณีของพระเยซู ของประกาศกโมฮัมเหม็ด และแม้แต่พระศากยมุนีพุทธเจ้าก็ตาม ทุกท่านถูกรบกวนกลั่นแกล้งไม่มากก็น้อยในช่วงเวลาที่พวกท่านเทศน์สอน ฉันศึกษาคัมภีร์ต่างๆ มาหลายคัมภีร์ในอินเดียจากศาสนาต่างๆ มหาอาจารย์หลายท่านของศาสนาต่างๆถูกกลั่นแกล้งรบกวน บางครั้งก็ถูกด่าว่าหรือเผาทั้งเป็นเพราะว่าพวกท่านเทศน์สอนสัจธรรม กระทั่งพระศากยมุนีพุทธเจ้า พระองค์มีชื่อเสียงมากเกิดมาอย่างสูงส่งมีสกุล พระองค์เป็นเจ้าชายและชื่อเสียงความเมตตา และปัญญาของพระองค์ก็แพร่ไปทั่วประเทศอินเดียและประเทศใกล้เคียง แต่กระนั้นหลายคนและลัทธินิกายทางศาสนาแบบต่างๆ ก็ยังกลั่นแกล้งพระองค์และพยายามจะลอบฆ่าพระองค์ด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่สำเร็จ

อีกเหตุผลหนึ่งก็คือบางทีผู้เป็นอาจารย์อาจจะอยากให้ลูกศิษย์รู้คุณค่าของสิ่งที่ท่านให้แก่พวกเขา ถ้าพวกเขาได้มันมาด้วยการทำงานหนักและจากการทรมานตัวเองเพื่อลบล้างความผิด เพราะผู้เป็นอาจารย์รู้ว่าจิตวิทยาของมนุษย์เป็นแบบนั้นบ้างเหมือนกัน สิ่งใดที่เราทำงานหนักเพื่อให้ได้มาหรือเราพยายามไล่ตามแสวงหา เราก็อาจจะเห็นคุณค่ามันมากกว่าสิ่งที่เราได้มาแบบง่ายๆ สบายๆ เกินไป

ด้วยเหตุนี้จึงมีการทดสอบการทดลองต่างๆมากมายสำหรับลูกศิษย์ก่อนที่อาจารย์จะรับพวกเขาเป็นลูกศิษย์เสียอีก ในสมัยก่อน ผู้เป็นอาจารย์บังคับให้ลูกศิษย์ทิ้งบ้าน ทิ้งความสุขความยินดีทางด้านเนื้อหนัง สละชีวิตที่สุขสบายทุกอย่างเพื่อติดตามเขาและให้เขาทำงานที่ใช้แรงงานเพียงเพื่อจะทดสอบความเข้มแข้งและความจริงใจของลูกศิษย์ ในคัมภีร์เก่าๆ เราได้อ่านเรื่องราวต่างๆหลายเรื่องที่เป็นการฝึกแบบคล้ายๆ กัน แต่ในสมัยใหม่ฉันไม่คิดว่าการทำแบบนั้นจะได้ผล เพราะว่ามีคนไม่มากที่จะมีเวลาให้อาจารย์ทดสอบไม่ใช่ว่าวิธีทดสอบนั้นจะไม่ดี มันดีมาก มีคุณค่ามากและมีประโยชน์มาก

ประโยชน์อย่างหนึ่งก็คือผู้เป็นอาจารย์จะรับภาระน้อยลงจากกรรมสะสมของลูกศิษย์ เพราะว่าเขาทำงานชดใช้มันและอาจารย์ก็ใช้บททดสอบต่างๆ ความยากลำบากต่างๆ เพื่อฝึกฝนเคี่ยวเข็ญลูกศิษย์เพื่อทำให้เขาบริสุทธิ์ขึ้นในคำพูด การกระทำ และความคิดแบบนั้นแล้วผู้เป็นอาจารย์ก็ไม่ต้องทำงานหนักมากกับตัวเขาในเวลาที่ประทับจิตให้ไม่ต้องรับกรรมของลูกศิษย์ที่เป็นภาระหนักมากขนาดนั้น

เพราะฉะนั้นก็มีประโยชน์บางอย่างในการทดสอบและทดลองต่างๆ ที่อาจารย์ในสมัยโบราณทำต่อลูกศิษย์ แต่วิธีนี้ก็ทำให้มนุษยชาติเสียเปรียบหลายอย่างเช่นกันทำให้โลกของเรายังอยู่ในสภาวะที่ถดถอยเมื่อเทียบกับโลกอื่นๆ อีกหลายโลกที่เจริญกว่าก้าวหน้ากว่าในจักรวาล เป็นเหตุให้จนกระทั่งเดี๋ยวนี้เราจึงยังมีการแบ่งแยกทางศาสนาหรือมีสงครามศาสนา แม้กระทั่งภายในศาสนาเดียวกันและทำให้โลกของเรายังทุกข์ทนกับความหิวโหยและความอยุติธรรมมากมาย กระทั่งจนปัจจุบันนี้ในหลายประเทศคำสอนแบบของเรา แบบของพระพุทธเจ้าและแบบของพระเยซูก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดเผยแก่คนทั่วไป และมันจะเข้าศตวรรษที่ 21 อยู่แล้ว มนุษย์ลงไปเหยียบดวงจันทร์ ไปสำรวจดาวอังคาร ฯลฯ มาแล้ว แต่ผู้คนยังคงถดถอยมากในด้านความคิดและในด้านความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณของพวกเขา

แต่การที่จะเปิดเผยความลับต่อคนทั่วไปก็ยังไม่ง่ายเหมือนกับที่เราอยากจะให้มันเป็นอย่างนั้น อาจารย์หลายท่านจึงเสียชีวิตไปเพราะการเสี่ยงบอกคนทั่วไปถึงปัญญาที่สืบทอดอยู่ภายในตัวพวกเขาเอง เสี่ยงชีวิต เสี่ยงชื่อเสียงและความสบายของพวกเขาเพื่อจะยกระดับความรู้ทางจิตวิญญาณของพวกเขา ข่าวสารทางจิตวิญญาณใดๆที่เรามีในปัจจุบันนี้ก็เป็นสิ่งที่บรรดาอาจารย์ในสมัยโบราณได้ทิ้งเอาไว้และเราเป็นหนี้พวกเขามาก อะไรก็ตามที่เรารู้แม้จะเพียงเล็กน้อยที่หลงเหลืออยู่ทุกวันนี้นั้นเราเป็นหนี้สิ่งเหล่านั้นต่อมหาอาจารย์ทุกๆท่านในอดีต ด้วยเหตุนี้บางทีคนจึงชอบสร้างวัด สร้างโบสถ์ และสุเหร่าต่างๆเพื่อระลึกถึงมหาอาจารย์ทั้งหลายเพื่อแสดงความกตัญญูต่อมหาอาจารย์เหล่านี้ผู้ซึ่งเสี่ยงทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อประโยชน์สุขของโลก แต่ว่าการสร้างวัดสร้างโบสถ์ก็ยังไม่พอ มันยังไม่พอที่เรารู้สึกขอบคุณต่ออาจารย์เหล่านั้น แต่เราต้องใช้ข่าวสารต่างๆ ที่พวกท่านทิ้งไว้ให้เราให้เป็นประโยชน์ด้วย เพราะว่านั่นเป็นวัตถุประสงค์ของการที่พวกท่านมายังโลกนี้ซึ่งก็คือเพื่อเตือนใจเราให้ระลึกถึงธรรมชาติพุทธ? (ธรรมชาติพระเจ้า) ระลึกถึงปัญญา ถึงอาณาจักรของพระเจ้าภายในตัวเราเอง และเราต้องใช้ความเข้มแข็งทั้งหมดของเราเพื่อที่จะค้นพบมันเลยทีเดียว

เพราะว่าอาจารย์ทั้งหลายไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะมีความสุขชื่นชมกับความเคารพยกย่องนับถือและการบูชาของคนในโลก พวกท่านมาเพื่อทำให้พวกเขากลายเป็นอาจารย์ด้วยเช่นกัน เพื่อเตือนให้พวกเขาระลึกถึงความยิ่งใหญ่ของพวกเขาภายในตัวเอ
นั่นคือวัตถุประสงค์ของผู้เป็นอาจารย์ทั้งหลาย

พระพุทธเจ้ากล่าวว่าฉันมาเพื่อทำให้พวกเธอเข้าใจธรรมชาติพุทธะของเธอ พระองค์บอกว่าพระพุทธเจ้าและสรรพสัตว์ทั้งหลายเท่าเทียมกันไม่มีอะไรแตกต่างกัน แม้ว่าเราจะเชื่อและนับถือพระพุทธเจ้า แต่เราก็ยังไม่รู้ว่าธรรมชาติพุทธะเป็นอย่างไร เพราะว่าไม่มีใครสอนเรา หรือบางทีเราอาจจะไม่ได้พยายามให้มากพอที่จะเข้าใจด้วยตัวของเราเอง สำหรับคนที่โชคดีได้พบมันด้วยตนเองแล้วก็ไม่เป็นไร แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ที่ล้มเหลวมาหลายครั้งแล้วในอดีต ในหลายๆ ชาติ มันก็จะยากมากขึ้นทุกทีๆ

คนที่มีตาทิพย์บางคนซึ่งมีตาที่สามเปิดแล้วและมีพรสวรรค์ในการมองเห็นแบบคนในสวรรค์ พวกเขาได้เห็นว่าโลกนี้เต็มไปด้วยดวงวิญญาณเก่าๆ หมายความว่าคนในโลกนี้กลับมาใหม่อีกครั้งแล้วครั้งเล่ามายังโลกเดิม มาอยู่ในสถานการณ์แบบเดิม มีความเป็นอยู่แบบเดิม มันเป็นเพราะว่าเราล้มเหลวในครั้งแรกในการที่จะกลับบ้าน และเราก็ล้มเหลวเป็นครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ครั้งที่ 4 และหลายพันครั้งในการที่จะระลึกขึ้นได้ว่าเรามาจากไหน เพราะว่าเราลืมธรรมชาติพุทธะของเราไปแล้ว ไม่ได้หมายความว่าเราเสียมันไปแล้ว เรายังสามารถจะหามันพบได้ในเวลาใดก็ได้ คนหลายแสนหลายล้านคนในโลกนี้ได้พบทรัพย์สมบัติของพวกเขาแล้วรวมทั้งตัวฉันเองด้วย และพวกคุณก็จะพบได้เช่นกัน

หลังการรู้แจ้งทุกสิ่งก็กลายเป็นธรรมชาติโดยสมบูรณ์
หลายคนถามฉันว่า “หลังจากรู้แจ้งแล้ว ท่านจะกลายเป็นอย่างไร? บุคลิกลักษณะของท่านเปลี่ยนไปอย่างไร? ท่านใช้ชีวิตอย่างไร? ท่านคิดอย่างไร? ท่านทำอะไรหลังจากรู้แจ้งแล้ว หรือหลังจากถึงความเป็นพุทธะแล้ว” ฉันคิดว่าพวกคุณก็อยากจะรู้เหมือนกัน ใช่ไหม? ใช่หรือไม่? (ผู้ฟัง: “ใช่!” คนปรบมือ) ฉันจึงบอกพวกเขาไปว่า “หลังจากรู้แจ้งแล้ว? เวลาหิวฉันก็กิน เวลาเหนื่อยฉันก็นอน” แต่ว่านั่นเป็นแค่ในส่วนร่างกายของตัวฉันเองเท่านั้นที่กำลังทำอย่างนั้น ส่วนอื่นซึ่งเป็นส่วนทางจิตวิญญาณซึ่งเป็นธรรมชาติพุทธะได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาแล้ว และกำลังทำบางสิ่งบางอย่างอย่างอื่นไปพร้อมๆ กับงานหน้าที่ทางร่างกาย ฉะนั้นนั่นก็หมายความว่าถ้าบุคคลหนึ่งกลายเป็นพุทธะแล้ว คุณอาจจะบอกไม่ได้จากภายนอกว่าเขาได้บรรลุอะไรแล้วภายใน คุณบอกไม่ได้ด้วยตาเนื้อหรือการรับรู้เห็นทางกายว่าบุคคลนั้น รู้แจ้งแล้ว หรือว่ากลายเป็นพุทธะแล้วหรือไม่ แต่ถ้าเรามีการรับรู้ทางจิตวิญญาณเปิดแล้ว ปัญญาของเราเปิดแล้ว และเราฝึกสมาธิหรือเรามีพรสวรรค์ทางด้านจิตวิญญาณมาตั้งแต่เกิด เราก็จะสามารถบอกได้หรือเราสามารถจะบอกได้ ถ้าเราศึกษากับพุทธะท่านนั้น ตอนนั้นเราจะค้นพบว่าบุคคลคนนั้นยิ่งใหญ่เพียงไร

มันก็เหมือนกับยิ่งเราเรียนภาษาอังกฤษมากขึ้น เราก็ยิ่งรู้ว่าครูภาษาอังกฤษของเราเก่งแค่ไหนเมื่อเขาพูดภาษาอังกฤษไม่อย่างนั้นบางทีเราก็อาจจะรู้เพียงนิดหน่อย แต่เราจะตัดสินความรู้ของครูไม่ได้ ถ้าเราไม่ดำเนินไปตามทิศทางเดียวกันและศึกษาวิถีเดียวกัน

ฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุดก็ยังคือเราค้นพบความยิ่งใหญ่ของตัวเราแล้วเราก็จะสามารถตัดสินความยิ่งใหญ่ของผู้อื่นได้ มิฉะนั้นก็อย่างที่เรารู้ว่า พระพุทธเจ้าก็ยังต้องกินเวลาท่านหิวแม้จะแค่วันละมื้อ และเวลาเหนื่อยท่านก็พักผ่อน และก็มีการเจ็บไข้ได้ป่วยบางอย่างด้วยเช่นกัน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและอนามัยของสิ่งแวดล้อม ถึงแม้ว่าจะมีอยู่ส่วนหนึ่งของพุทธะซึ่งไม่เคยเจ็บป่วยไม่เคยเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลีย ไม่เคยหิว นั่นก็คือตัวตนที่แท้จริง นั่นคือพุทธะที่แท้จริงซึ่งพวกเราทุกคนมีอยู่ภายในตัวเราเอง ก่อนที่เราจะเกิดและหลังจากที่เราตายแล้ว เราก็ยังมีสิ่งนั้นอยู่

ธรรมชาติพุทธะของเราดำรงอยู่ตลอดเวลา
นั่นคือวัตถุประสงค์ของการที่พวกเรามาที่นี่ในวันนี้และของการที่เรากำลังจะไปที่อื่นใด นั่นก็คือเพื่อแบ่งปันข่าวดีนี้กับพวกคุณว่าเราสามารถพบกับธรรมชาติพุทธะของเรา ตัวตนที่แท้จริงของเราอีกครั้งหนึ่งซึ่งไม่เคยตาย ไม่เคยเกิด ไม่เคยเจ็บป่วยและดำรงอยู่ตลอดเวลา แน่นอนนี่เป็นของขวัญที่ให้ฟรีเสมอทุกเวลา (คนปรบมือ) พวกคุณชอบของฟรีหรือ? (อาจารย์หัวเราะ) ใช่แล้ว มันหายากนะ ปัจจุบันนี้ไม่มีอะไรฟรีหรอก มันก็ฟรีเหมือนกัน แต่ว่าเราก็ต้องทำงานเพื่อมันด้วย หมายความว่าหลังจากที่ปัญญาเปิดออกเป็นครั้งแรกแล้วเราก็ต้องพยายามสงวนรักษามันไว้ พัฒนาและทำให้มันก้าวหน้าสูงขึ้นสู่ความเป็นพุทธะด้วยความมานะพยายามของตัวเราเอ ด้วยการทำสมาธิทุกวัน นอกจากการนั่งสมาธิทุกวันๆ ละ 2-3 ชั่วโมงในส่วนของพวกคุณแล้วนอกเหนือจากนั้นทุกอย่างฟรีหมด ทั้งเวลาคำแนะนำ พลังงานความช่วยเหลือของฉันทุกอย่างฟรีทุกเวลาไม่ว่าเวลาใด และมันก็ฟรีเพราะว่าฉันหาเงินได้เอง ฉันดูแลตัวฉันเองได้ ฉันไม่ต้องการเงินบริจาคของพวกคุณ

มันเป็นการดีนะที่มีพุทธะรวยๆ (อาจารย์หัวเราะ) หมายความว่าถ้าฉันเป็นพุทธะนะ หมายความว่าถ้าคุณเชื่อว่าฉันเป็นพุทธะนะ คนส่วนใหญ่คิดว่าฉันเป็นพุทธะ แต่ฉันไม่คิดอะไรเลย ฉันเพียงแต่ทำหน้าที่ของฉันในฐานะพี่สาวคนหนึ่งในโลกเพื่อตอบแทนความกรุณาของพวกคุณ เพราะว่าเนื่องจากความกรุณาของผู้คนในโลก ฉันจึงเติบโตขึ้นมาได้ ฉันจึงได้รับการศึกษาได้มีตาปัญญาเปิดกว้าง ฉะนั้นมันเป็นเรื่องธรรมดาที่ฉันมอบเวลาและพลังของฉันเพื่อโลกนี้

ทุกคนเป็นพี่น้องกัน
ก็เหมือนกับพวกเด็กๆ หลังจากที่พ่อแม่แก่แล้วและพวกเขาเติบโตขึ้นมาพวกเขาก็ดูแลพ่อแม่ในฐานะของลูกที่กตัญญ? ฉะนั้นด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นเกียรติสำหรับฉันที่ได้ช่วยเหลือบริการผู้คน ดังนั้นฉันจึงให้สิ่งใดก็ตามที่ฉันมีรวมทั้งเงินทองของฉัน ความสงสารเห็นอกเห็นใจ ความรักและเวลาของฉัน เพราะว่าจากพุทธทั้งหลายและจากสิ่งที่เราเห็นหลังจากรู้แจ้งแล้วนั้นทุกคนเป็นพี่น้องกัน เป็นแต่เพียงเพราะว่ามีคนที่ทุกข์ยากในโลกนี้ทั้งทางกายและทางใจ ดังนั้น เราจึงต้องช่วยในเรื่องใดก็ตามที่เราทำได้ไม่ใช่ว่ามีใครเป็นครูหรือใครเป็นลูกศิษย์

แน่นอนเวลาเราใฝ่หาอยากได้ปัญญาและการหลุดพ้นมาก และเราได้พบเพื่อนที่ดีซึ่งเต็มใจจะช่วยเราโดยไม่มีพันธะใดๆ แล้ว ในสภาวะของเราที่เรายังไม่รู้อยู่นั้นเราก็จะรู้สึกขอบคุณมาก และก็แน่นอนเราจะเคารพบูชาผู้ที่เรียกว่าครู หรือเพื่อนทางจิตวิญญาณผู้นั้น และผู้ที่เรียกว่าครูผู้นั้นบางครั้งก็ต้องทนทุกข์กับความบูชาความรัก ความเคารพของผู้ที่เรียกว่าลูกศิษย์ แต่ว่าเรื่องนี้มันไม่จำเป็นเลยถ้าพวกเราทุกคนเท่าเทียมกัน ถ้าพวกเราทุกคนล้วนมีธรรมชาติพุทธะและคุณสมบัติแบบพระเจ้าอยู่ภายใน ก็ไม่มีใครควรจะขอบคุณต่ออีกฝ่ายหนึ่งสำหรับสิ่งใดเลย สิ่งสำคัญอย่างเดียวสำหรับเราที่จะทำก็คือถือคำสอนของครูคนใดก็ตามที่เราไว้วางใจ และฝึกปฏิบัติอย่างขยันขันแข็งจนกว่าเราจะไปถึงสภาวะเดียวกันกับครูคนนั้น นั่นคือการขอบคุณที่ดีที่สุดจากนักเรียน

แน่นอนพวกเราไม่ใช่ทุกคนจะเคยชินกับวิถีชีวิตแบบนักบุญเช่นในสมัยโบราณ เพราะฉะนั้นเราจึงรู้สึกอึกอักไม่เต็มใจที่จะก้าวเข้าสู่การบำเพ็ญ เรามีความกลัวหลายอย่าง แต่ว่านี่ไม่ควรจะมาเป็นข้ออ้าง เราควรจะกลัวก็ต่อเมื่อเราทำอะไรไม่ดี ทำความเสียหาย ทำลายตัวเราเองหรือครอบครัวหรือประเทศของเรา เราไม่ควรจะกลัวเมื่อเราทำสิ่งที่ดี ประเสริฐสูงส่งและมีคุณธรรม

 
     
1 2 3