เราคืออาจารย์สูงสุด

 
ปราศรัยโดย ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ที่ศูนย์ นีล เอส เบลสเดล, ฮอนโนลูลู, ฮาวาย, สหรัฐอเมริกา
28 มีนาคม 1993 (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)
บทความนี้ได้รับการตีพิมพ์ลงใน หนังสือพิมพ์ เซ็นทรัล เดลี่นิวส์, ฟอร์โมซา, มีนาคม 1996
 
 
 

ทุกคนสบายดีหรือ? อะโลฮา! (ผู้ฟัง: อะโลฮา!) เช้านี้สดชื่นดีไหม? (ผู้ฟัง: ดี!) อาหารเช้าอร่อยไหม? เรากินสิ่งที่เราคิดว่าเหมาะสมและจำเป็นในการหล่อเลี้ยงร่างกายร่างนี้ เพียงแต่ว่ามีอาหารบางชนิดซึ่งเป็นพิษมากกว่า และไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย, จิตวิญญาณและความคิด ในขณะที่อาหารอีกประเภทหนึ่งช่วยให้เราบรรลุถึงสิ่งที่สูงส่งกว่าชีวิตนี้ได้ดีกว่า

ในทำนองเดียวกัน มีหนทางมากมายที่มุ่งไปสู่การรู้แจ้ง และเราก็อาจจะเลือกหนทางที่เราคิดว่าเหมาะสำหรับเรา ซึ่งจะทำให้เราสามารถหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของเรา และทำให้มันเจริญพัฒนาขึ้นจนเป็นราอยากจะทำในตอนนั้น เราดำเนินชีวิตของเราตามที่นิสัยของเราคอยบงการ และตามข้อมูลที่เราได้รับจากตา หู จมูก การสัมผัส ฯลฯ ของเราๆ ลืมพระบัญญัติของพระเจ้าไป

 

มีหลายคนที่ถามฉันว่า “ทำไมเราจึงต้องบำเพ็ญด้วย? ทำไมเราจึงต้องนั่งในการทำสมาธิ?” จริงๆ แล้ว เราไม่จำเป็นต้องนั่งก็ได้ เราอาจจะเอนกายนอนในการทำสมาธิก็ยังได้ แต่เมื่อเราเอนกายนอนลงไป เราก็จะนอนอยู่อย่างนั้น! เธอรู้ใช่ไหม? เอนลงไปแล้วก็นอนอยู่อย่างนั้น! (คนหัวเราะ) แทนที่จะได้ยินเสียงภายใน เราก็อาจจะได้ยินเสียงภายนอก - เสียงกรน! (คนหัวเราะ) แทนที่จะเห็นภาพของพระเจ้าหรือสวรรค์ เราก็จะเห็นความฝันต่างๆมากมาย บางครั้งก็เป็นฝันร้ายซึ่งจะทำให้เราวุ่นวายเมื่อเราตื่นขึ้น

เพราะฉะนั้น ถ้าเรานั่ง โอกาสที่จะนอนหลับก็น้อย และถึงแม้เธอจะหลับ เธอก็จะล้มลงไปบนพื้น แล้วก็ต้องตื่นทันที อย่างน้อยเธอสามารถจะหลับได้เพียงแค่ห้าหรือสิบนาที เวลาที่เหลือเธอก็ยังนั่งสมาธิได้ การนอนหลับและการเห็นภาพในภาวะที่ตื่นอยู่นั้นมีความแตกต่างกัน เวลาเราหลับ บางครั้งเราอาจจะเห็นภาพของความฝัน ซึ่งอาจจะมีประโยชน์อย่างมากต่อชีวิตประจำวันของเราก็ได้ หรือบางทีมันอาจจะบอกล่วงหน้าถึงเหตุการณ์บางอย่างในอนาคตและทำให้เราเตรียมตัวสำหรับสถานการณ์นั้น ซึ่งเราอาจจะสามารถหลีกเลี่ยงได้ หากว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่น่ายินดี หรือเราอาจจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงหากสิ่งนั้นเป็นอันตรายต่อเรา บางครั้งความฝันก็เป็นความจริง แต่เป็นเรื่องยากมากที่คนจะสามารถวิเคราะห์ความฝันและใช้มันให้เป็นประโยชน์ในชีวิตได้

อะไรเป็นตัวการที่ทำให้คนหลับและฝันอย่างมีประโยชน์ คือสามารถทำนายเหตุการณ์ในอนาคตอันใกล้หรือเหตุการณ์ที่เป็นจริงได้? ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะในเวลาที่เรานอนหลับนั้น บางครั้งจิตวิญญาณของเราได้สัมผัสกับแหล่งแห่งความรู้และความสงบสุข ในตอนนั้นความคิดจิตใจของเราอาจจะยังไม่หลับจริงๆ จึงสามารถบันทึกข้อมูลเข้ามาไว้ในห้องเก็บข้อมูลของปัญญา เมื่อเราตื่นขึ้นมา เราจึงจำได้ มิฉะนั้นแล้ว ส่วนใหญ่เราก็แค่จำได้ลางๆ ว่าเรามีความฝัน แต่เราไม่รู้เรื่อง ไม่สามารถจำรายละเอียดของความฝันนั้นได้ ดังนั้นหากเรานำข้อมูลซึ่งเกิดขึ้นขณะนอนหลับให้มาอยู่ในภาวะที่ตื่นอยู่ได้ ก็จะเป็นประโยชน์มากกว่า

การนั่งสมาธิก็คือการหลับแต่อยู่ในภาวะที่ตื่น ดังนั้น ข้อมูลทุกอย่างที่เรารวบรวมเก็บไว้ในห้องเก็บข้อมูลของปัญญา เราจึงสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน, อย่างมีสติ และรู้ว่าอะไรเป็นอะไร นี่แหละคือเหตุผลที่ทำไมบุคคลที่รู้แจ้งจึงมีปัญญามากกว่า, มีความสุข ความพอใจมากกว่า ก็เพราะเขารู้ว่าเขาจะทำอะไร และจิตใต้สำนึกก็มีข้อมูลทุกอย่าง ซึ่งสามารถเปิดดูได้ จึงสามารถรู้เหตุการณ์ในอดีตชาติและในอนาคตได้

แต่นั่นเป็นแค่ระดับกลางๆ เท่านั้น ไม่ใช่ระดับสูงสุด เธอคงจะแปลกใจที่ได้ยินแบบนี้ หากเธอขึ้นไปถึงระดับสูงสุด เธอก็จะกลับโง่ไม่รู้เรื่องรู้ราวใหม่ (อาจารย์หัวเราะ) ผิดหวังมากไหม? โอ! อย่ากังวลเลย มันเป็นความโง่ชนิดที่ต่างออกไป!

ความโง่หรือความไม่รู้นั้นมีสองแบบ ชนิดหนึ่งคือความไม่รู้ในแบบซึ่งไม่สนใจไม่ยอมรับรู้จริงๆ อีกชนิดหนึ่งเป็นความไม่รู้เรื่องรู้ราวแบบนักบุญ ทั้งสองแบบอาจจะดูเหมือนๆกัน แต่จริงๆแล้วไม่เหมือนกัน! คล้ายๆกับในทางวิทยาศาสตร์ที่เราทุกคนรู้อยู่แล้วว่า ที่ปลายสุดขั้วของสองทิศทางก็มักจะคล้ายๆ กัน ตัวอย่างเช่น ความมืดมากๆ หรือความสว่างมากๆ เราก็ไม่สามารถจะมองเห็นทั้งคู่ เมื่อมืดมากๆ นั้นเราจะไม่เห็นแสงเลย แต่เมื่อมีแสงจ้ามากๆ มีความถี่ที่สูงยิ่ง เราก็ไม่สามารถจะเห็นแสงเหมือนกัน ทั้ง 2 แบบจึงดูเหมือนเป็นความมืดทั้งคู่ แต่จริงๆ มันไม่ได้เป็นแบบนั้น

แสงภายในหรือแสงแห่งปัญญาสูงสุดนั้นไม่มีมวลสารและไม่มีเงา เราจึงแทบจะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาของเรา แม้แต่บางครั้งที่เราเห็นแสงนั้นด้วยปัญญา ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้นัยน์ตา เราก็ยังรู้สึกเหมือนกับว่า นัยน์ตาของเราได้รับความระคายเคือง แต่หลังจากนั้นเราก็จะเกิดความเคยชิน จะรู้สึกคล้ายกับมองเข้าไปในแสงตอนกลางวันตามปกติ และไม่รู้สึกระคายเคืองอีกต่อไป

นักปราชญ์ดูเหมือนคนโง่เขลา

เมื่อวานนี้ มีคนถามฉันว่า เมื่อเข้าสมาธิแล้วจะเป็นอย่างไร? เขาถามฉันว่า ระดับสูงสุดคือตอนที่เธอกลายเป็นความว่างไม่มีอะไรเลย ไม่รู้สึกว่ามีร่างกายอยู่ ไม่มีการรับรู้สภาพแวดล้อม อะไรแบบนั้นใช่ไหม? แบบนั้นไม่ใช่ระดับสูงสุด ในระดับสูงสุด เธอจะสามารถทำงานในชีวิตประจำวันได้เหมือนคนทั่วไป ในเวลาเดียวกันก็มีการรับรู้ในระดับสูงซึ่งเหนือกว่าสมองคอมพิวเตอร์ของเรา เป็นการรู้ถึงสิ่งต่างๆทั้งมวลที่เกิดขึ้นในจักรวาล

ดังนั้น สมองของเธออาจจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ เธอก็เลยดูเหมือนเป็นคนที่ไม่รู้ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างจะได้รับการกระทำในระดับความสำนึกรู้ของจิตวิญญาณ, ระดับของจักรวาล ทุกๆคนที่คิดถึงเธอหรือสวดอธิษฐานถึงเธอ และต้องการความช่วยเหลือจากเธอ เธอก็จะสามารถช่วยเขา, ได้ยินเขา, เห็นเขาและแก้ปัญหาของเขาได้ตามต้องการโดยไม่มีอุปสรรคขัดขวางจากสมอง

สมอง ก็คล้ายกับเครื่องคอมพิวเตอร์เท่านั้น ถึงแม้ว่าเราจะใช้มัน มันก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร มันมีความจำกัด เราไม่สามารถจะไปทั่วทุกแห่งหน หรืออยู่ทุกแห่งหน ฯลฯได้ นักปราชญ์จึงดูเหมือนคนโง่เขลา มันเป็นอย่างนั้น และนักปราชญ์อาจจะอยู่ในสมาธิตลอดเวลา หมายความว่าในภาวะที่สมบูรณ์สูงสุด เขาก็ไม่ได้ดูเหมือนกับเป็นอย่างนั้น ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นคนที่นั่งขัดสมาธิตลอดเวลา, ไม่ใส่ใจสนใจกับอะไร, ไม่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นรอบข้าง อยู่ในภวังค์ซึ่งมีความสุขภายในตัวเขาอยู่เสมอ

ไม่จำเป็นว่าคนที่มีลักษณะแบบนั้นจะต้องเป็นนักปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่มาก หรือได้รับการบรรลุถึงจุดสูงสุด หากเขายังไม่สามารถทำงานในชีวิตทางโลกเหมือนคนปกติทั่วไป ก็แสดงว่าเขายังไม่ได้บรรลุถึงระดับสูงสุด แต่ความจริงข้อนี้ ก็ทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับเราที่จะรู้ได้ว่า ใครอยู่ในระดับสูงสุด, ใครไม่ใช่ระดับสูงสุด

ตามปกติ เรามักจะมีความคิดเกี่ยวกับนักปราชญ์หรือโยคีที่นั่งอยู่บนภูเขาหิมาลัย ไม่เคลื่อนไหวอะไรเลย เหมือนกับเป็นก้อนหินที่ไม่มีชีวิต อะไรทำนองแบบนั้น มันต้องไม่ใช่แบบนั้นแน่นอน แน่ละ หากบุคคลผู้รู้แจ้งไม่มีอะไรจะทำ เขาก็อาจจะนั่งสมาธิ, อ่านหนังสือ, เดินไปเดินมาหรือทำอะไรก็ได้ เช่น ทำอาหาร, วิ่ง, นั่ง หรือยืน จะนั่งขัดสมาธิหรือไม่ขัดสมาธิ สิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสภาวะภายในของบุคคลนั้นเลย

ในหนทางปฏิบัติของเราเป็นการยากที่จะบอกถึงเรื่องนี้ สมมุติว่ามีบุคคลที่มีระดับสูงมากมานั่งอยู่ติดกับเธอในตอนนี้ เมื่อวานนี้ หรือก่อนที่เขาจะมาที่นี่ เขาอาจจะได้เห็นภาพอันสูงส่งมากของพระเจ้า หรือได้รับการไขแสดงสิ่งที่สูงส่งอะไรบางอย่าง แต่ตอนนี้เขาก็มานั่งอยู่ติดกับเธอ แล้วเธอก็ไม่รู้เรื่อง, ไม่รู้ว่าเขาเป็นแบบนั้น

ถึงแม้ว่าเราอาจจะรู้สึกมีบรรยากาศที่สอดคล้องกลมกลืนแผ่ออกมาจากบุคคลผู้นั้น แต่ส่วนใหญ่เราก็ไม่ได้สนใจ อาจจะไม่ได้สังเกตอะไรด้วยซ้ำ เราเพียงแต่รู้สึกสบาย แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เธออาจจะคิดว่า วันนี้ฉันมีความสุข ร่างกายของฉันมีสุขภาพดี หรือว่า ฉันไปกินไส้กรอกมา มันเป็นอาหารที่มีคุณค่ามาก, หรือมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ฉันมีความสุข ซึ่งก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นอย่างที่เราคิด

ดังนั้น ในชีวิตประจำวันของเราถ้าเราแสวงหาพระเจ้าจริงๆ เราก็สามารถเห็นท่านได้ทุกแห่ง ฉันอยากจะรายงานให้พวกเธอทราบว่า ในยุคสมัยนี้ซึ่งมีความเดือดร้อนวุ่นวายและภัยพิบัติต่างๆมากมายนี้ เราก็ยังมีความหวังอย่างมากอยู่ด้วย เพราะพระเจ้าได้ส่งนักบุญจำนวนมากลงมาในโลกของเรา และข่าวสารของท่านเหล่านั้นก็เกือบจะเหมือนกันหมด ...คือ เราควรแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าก่อนสิ่งใดหมด แล้วสิ่งอื่นๆ ทุกอย่างก็จะตามมาเอง

ปกติแล้ว เราจะพยายามจัดการเรื่องปัญหาทางโลกก่อน เราจัดการสิ่งต่างๆด้วยมือของเรา เราพยายามจะบริหารจัดการจักรวาล แต่เราก็จะรู้สึกผิดหวังอย่างมากตลอดเวลา เพราะแม้แต่ผู้นำที่เก่งกาจที่สุดในด้านการเมืองก็ยังทำให้คนพอใจได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น, ทำให้คนได้รับความสะดวกสบายทางด้านวัตถุบ้างแค่นั้น เราไม่สามารถจะดูแลโลกทั้งโลกโดยใช้เพียงแค่ความสามารถทางการเมืองของเรา หรือความสามารถทางด้านอื่นๆของเรา นี่แหละคือปัญหา ไม่ว่า เราจะมีความตั้งใจดีสักแค่ไหนก็ตาม ทั้งนี้เพราะเราจะต้องแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าก่อนนั่นเอง

อาณาจักรของพระเจ้าหมายถึงพลังสูงสุดที่อยู่ในตัวเรานี้ เรามีหนทางติดต่อกับพลังนี้ได้ ดังนั้นจึงมีกล่าวไว้ว่า พระเจ้าสร้างมนุษย์ตามพระฉายาของท่าน พระฉายานี้ไม่ได้หมายถึงรูปร่างหน้าตา, ร่างกาย หรือวิถีชีวิตของเรา เป็นพระฉายาซึ่งมองไม่เห็น เป็นพลังของจักรวาลซึ่งนำมาใช้สร้างเป็นตัวเรา ดังนั้น พลังแห่งการสร้างสรรค์และพลังแห่งการทำลายก็อยู่ในตัวเราด้วย

ส่วนใหญ่เราจะเข้าใจว่า ภัยพิบัติต่างๆเป็นการกระทำของสวรรค์ เช่น การเกิดแผ่นดินไหว หรืออะไรอย่างอื่น ซึ่งจะทำลายบ้านเรือนจำนวนมาก, ข้าวของต่างๆ และชีวิตเป็นจำนวนมาก และเราก็จะคิดว่าการเกิดภัยพิบัติเป็นสิ่งที่เลวร้ายมาก! ช่างเลวร้ายจริงๆ! พระเจ้าทำเช่นนี้กับมนุษยชาติได้อย่างไร? แต่มันก็ยังไม่เลวร้ายเท่ากับตอนที่เราทิ้งระเบิดปรมาณู ผลของมันคงอยู่นานกว่ามาก ชีวิตมากมายต้องถูกทำลายไปในสงครามมากมายกว่าในการเกิดภัยพิบัติใดๆทั้งสิ้น ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ? (ผู้ฟัง: ใช่)

จงใช้ประโยชน์จากพลังแห่งการสร้างสรรค์
และพลังแห่งการทำลาย

ดังนั้น ถ้าเราลองหยุดคิดถึงเรื่องนี้ดู จะเห็นว่า ภัยพิบัติส่วนใหญ่เกิดขึ้นแก่เราเพราะความเข้าใจผิดของตัวเราเอง เกิดจากการใช้พลังของพระเจ้าอย่างผิดๆ พระเจ้าได้ให้พลังแห่งการสร้างสรรค์และพลังแห่งการทำลายสำหรับให้เราได้ใช้ในเรื่องต่างๆ เราควรจะทำลายในสิ่งที่จำเป็นต้องทำลาย และควรจะสร้างในสิ่งที่จำเป็นต้องสร้าง แต่บางครั้งเราก็ใช้มันอย่างผิดทิศทาง เพราะเราไม่รู้วิธีที่ดีกว่านั้น เพราะเราไม่ได้รับแสงสว่างแห่งปัญญา

เป็นเรื่องง่ายมากที่จะพบพระเจ้า เป็นเรื่องง่ายมากที่จะรู้จักตัวเราเอง สิ่งที่คอยขัดขวางมีอยู่สิ่งเดียวคือ อัตตาของเรา, ความคิดยึดติดของเราเกี่ยวกับการทำสิ่งต่างๆ, เกี่ยวกับพระเจ้า และวิธีการพบพระเจ้า จริงๆ แล้วเราได้รับมอบพลังนี้มา และไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยที่จะค้นพบมัน ถ้าเรามีของบางอย่างอยู่ในกระเป๋าของเรา จะเป็นเรื่องยากไหมที่จะหยิบมันออกมา? ไม่เลย ถ้าฉันมีสายสร้อยลูกปัดนี้ห้อยคออยู่ จะเป็นเรื่องยากไหมที่ฉันจะเอามาให้เธอ หรือเอามาแสดงให้เธอเห็น? ไม่ใช่เรื่องยากเลย เพียงแต่ว่า ความสนใจของเรามักจะสะเปะสะปะ เที่ยวไปมองที่โคมไฟ คอยแสวงหาสิ่งต่างๆ มากมาย เราก็เลยลืมไปว่าเรามีอะไร

ดังนั้น ฉันจึงบอกว่าเป็นการรู้แจ้งฉับพลัน ทั้งนี้เพราะเรามีอยู่แล้ว เพียงแต่เป็นเรื่องของการหันความสนใจมาหามัน แทนที่จะเอาความสนใจไปไว้ที่อื่นๆ ทำไมเราจึงต้องหันมาสนใจพลังนี้ด้วยล่ะ? ก็เพราะว่าหากปราศจากพลังนี้ เราก็จะไม่สามารถทำงานได้อย่างถูกต้อง เราจะทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในโลกของเรา, ชีวิตของเรา และในทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีความตั้งใจดีที่จะทำให้สำเร็จ นี่แหละคือเหตุผลที่ทำไมโลกจึงมีสภาพเป็นอย่างทุกวันนี้

เป็นเวลาพันล้านหรือล้านล้านปีมาแล้ว เราก็ยังไม่เจริญก้าวหน้าเทียบเท่ากับมาตรฐานของอารยธรรมในโลกอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น โลกอื่นเขามีจานบินกัน แต่เราไม่มี เราอาจจะอิจฉาเพื่อนบ้านของเราที่มีรถเบนซ์หรือรถโรลส์รอยซ์ แต่ทำไมเราไม่อิจฉาโลกอื่นๆ ที่เขามีจานบินกันบ้าง? คงจะเป็นความใฝ่ฝันที่สูงส่งกว่าและรวดเร็วกว่า ตอนนี้โลกอื่นๆเขามีจานบินขาย ถ้าราคาสมเหตุสมผล......แต่เราก็คงไม่สามารถเดินทางไปซื้อมันมา และพวกเขาก็คงไม่กล้ามาที่นี่เพื่อมาขายจานบินหรอก (คนหัวเราะ)

นักธุรกิจในโลกอื่นบางคนอยากจะมาทำธุรกิจกับคนในโลกของเรามาก มาสอนเราให้รู้เทคโนโลยีขั้นสูง แต่เขาก็ไม่กล้ามา แค่มลภาวะในอากาศของโลกเราก็อาจทำให้เขาตายได้เวลาที่เขาลงมาถึงที่นี่ เราอาจจะปล้นเขาก่อนที่เขาจะมีโอกาสเปิดปากพูดเจรจา หรือเราอาจจะยิงเขาเพราะเราคิดว่าเขามารุกราน เราจะสงสัยทุกคน เว้นแต่ความโง่เขลาของตัวเราเอง นี่แหละคือปัญหาของเรา

เงินทองมากมายที่เราใช้ในการสร้างจรวด, พยายามจะไปโลกพระอังคาร หรืออะไรทำนองนั้น โดยไม่ได้รับความสำเร็จ เราสามารถนำเงินเหล่านั้นมาซื้อจานบินได้ เพราะวัสดุในโลกอื่นมีราคาถูกกว่าและทนทานกว่าของเราบนโลกนี้ ยกตัวอย่างเช่น เพชร เขามีกันเป็นก้อนใหญ่ๆ  เพราะฉะนั้นถ้าเธออยากจะใส่เพชรให้ทั่วตัวเธอก็ยังทำได้ ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องซื้อเพชรเม็ดเล็กๆ แค่นี้ แล้วต้องจ่ายเงินหลายแสนเหรียญ เพชรชนิดดีบางชิ้นราคาแพงมาก แต่ในโลกเหล่านี้ เขาเอาเพชรมาใช้สร้างจานบิน เพราะมันมีความทนทานกว่า ในเวลาที่ต้องสัมผัสกับบรรยากาศ เวลาที่มีการเสียดสีกับอากาศ ถ้าหากสารนั้นไม่ทนทานเพียงพอ มันก็จะแตกสลายได้

บางครั้งเทคนิคของพวกเขาก็มีปัญหาได้เหมือนกัน ยานลำแรกๆ ที่ผลิตออกมาก็แตกสลาย ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดนาน มาแล้ว เราได้อ่านจากหนังสือพิมพ์ว่า เราพบชิ้นส่วนของยานที่แตกระเบิดและยังพบชิ้นส่วนของสิ่งมีชีวิตอยู่ที่นั่นด้วย แต่บางทีพวกนี้อาจจะเป็นหุ่นยนต์ก็ได้ โลกอื่นๆเขามีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากกว่า ก็เพราะพวกเขาสัมผัสถึงปัญญาของเขามากกว่าเรา

เราคิดกันว่าพระเยซูและพระพุทธเจ้าเสียชีวิตไปแล้วก็อันตรธานหายไปสู่นิพพาน เรื่องนี้ไม่จริง เรายังสามารถติดต่อกับพระเยซูและพระพุทธเจ้าได้ ถ้าเรามีความสามารถที่จะทำแบบนั้น รวมทั้งถ้าเราทราบว่าท่านอยู่ที่ไหน สิ่งใดเล่าที่ตายไป? ก็แค่เนื้อหนังที่เป็นเสื้อผ้าที่สวมอยู่เท่านั้นเอง ตอนนี้ฉันสวมเสื้อตัวนี้ และหลังจากนี้อีกไม่กี่ปีมันก็จะผุพังเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กลายเป็นฝุ่นผงใหม่ ในทำนองเดียวกัน ร่างกายของเราก็เป็นเสื้อผ้าชนิดหนึ่งนั่นเอง มันค่อยๆ เน่าเปื่อยไปทีละเล็กทีละน้อย กระบวนการเน่าเปื่อยใช้เวลานานกว่า และก็ส่งกลิ่นออกมาซึ่งเป็นกลิ่นที่ต่างออกไป ก็เท่านั้นเอง

ไม่ใช่ตัวเราที่ตาย เพราะฉะนั้น เมื่อเรากล่าวถึงสิ่งที่เรียกกันว่าการมีชีวิต .... เราเคลื่อนไหว, เราพูด, เรารักกันและกัน, เราสามารถรับรู้ความรู้สึกของผู้อื่น แต่เมื่อเราตาย ร่างกายของเราก็ยังอยู่ตรงนั้น สมองก็ยังคงอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงอยู่บริบูรณ์ แต่เราก็ยังไม่สามารถจะเคลื่อนไหว ไม่สามารถจะรู้สึกอะไรโดยอาศัยร่างกายนั้นได้เลย ร่างกายก็ยังนอนอยู่ตรงนั้น เหมือนกับเสื้อผ้าที่ถูกทิ้งแล้วไม่มีประโยชน์แล้ว ทั้งนี้ก็เพราะสิ่งที่เป็นตัวเราจริงๆ ตัวฉันที่แท้จริงออกจากร่างกายนั้นมาแล้ว

ในทำนองเดียวกัน ในการปฏิบัติสมาธิ เราจะเข้าและออกจากร่างกายได้ตามที่เราประสงค์ ก็เหมือนเวลาเราถอดเสื้อผ้าที่เราสวมอยู่แล้วเปลี่ยนมาใส่ชุดใหม่ หรือกลับมาใส่ชุดเดิมอีกเมื่อเรากลับมา เป็นเรื่องที่ง่ายมาก แม้แต่เด็กๆ ก็สามารถทำได้

เด็กๆ จะสามารถทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาไม่มีความวุ่นวายซับซ้อน ไม่มีความคิดยึดติดอันสับสนว่าสิ่งนั้นต้องเป็นอย่างนั้น สิ่งนั้นไม่เหมือนอย่างนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพระเจ้าหรือเรื่องใดก็ตาม ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเด็กๆคิดนั้นมีความบริสุทธิ์และเรียบง่าย

ดังนั้น ถ้าเรากลับเป็นเด็กใหม่ เราก็จะมีประสบการณ์เกี่ยวกับพระเจ้าได้เร็วขึ้น เป็นเรื่องง่ายมากที่จะพูดว่า ฉันเปลี่ยนกลับเป็นเด็กใหม่ และฉันได้รับประสบการณ์เกี่ยวกับพระเจ้า แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำได้เช่นนั้น หากเราไม่รู้วิธีการ เป็นสิ่งที่ง่ายมาก แต่ก็ไม่ง่าย ทั้งนี้เพราะเราไม่รู้วิธีการ

ก็คล้ายๆ กับเธอเอาแว่นตาใส่ไว้ในกระเป๋า แล้วเธอก็มัวแต่วุ่นทำงานบ้านบางอย่างอยู่ ต่อมาเธอต้องการจะหาแว่นอันนั้น เธอก็หาไม่พบ เธอเที่ยวมองหาไปทั่ว ยกหินทุกก้อนขึ้นดู ยกโต๊ะและข้าวของต่างๆ แต่ก็ยังหาไม่พบ ตลอดเวลานั้นแว่นตาก็อยู่ในกระเป๋าของเธอ ถ้าเธอไม่ดูที่นั่น เธอก็ไม่มีทางพบมันได้เลย เป็นเรื่องที่ง่ายมาก

ทุกคนจำเป็นต้องได้รับการรู้แจ้ง

ดังนั้น การรู้แจ้งฉับพลันจึงไม่มีอะไรต้องสงสัย ทุกๆคนสามารถได้รับโดยฉับพลันทันที เพราะฉันเพียงแต่จะแสดงให้เธอรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน มันอยู่ภายในตัวเราก็เพราะอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในตัวเรา พระเจ้าก็คือความสูงส่งทั้งมวล, ความดีทั้งมวลที่มนุษยชาติทั้งหมดร่วมกันทำให้เกิดขึ้น, ร่วมกันสร้างขึ้นมา นี่แหละคือเหตุผลที่ทำไมพระเจ้าจึงอยู่ในตัวเรา และนั่นคือองค์ความดีร่วมของมนุษยชาติทั้งมวล

เราสามารถจะใช้ประโยชน์ หรือไม่จำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับเรา หากเราใช้มันก็จะเป็นประโยชน์แก่ดีสำหรับเรามาก แม้แต่ในการทำงานประจำวันของเรา และจะทำให้โลกของเราดีขึ้นมาก เราสามารถจะเห็นได้เลยว่าเรามีการเจริญพัฒนาขึ้นสู่เจตนารมณ์ที่เป็นหนึ่งเดียวกันของแกแล็คซี่ และสามารถทำงานร่วมกับสรรพสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ในโลกอื่นๆ ได้เร็วขนาดไหน

ชีวิตของเราจะมีความหมายมากขึ้น, มีสีสันมากขึ้น, เปิดกว้างมากขึ้นในทุกแง่, แทนที่จะยึดติดอยู่ที่มุมใดมุมหนึ่งของโลก และไม่รู้อะไรมาก ในส่วนที่เกี่ยวกับว่า ทำไมเราจึงต้องเกิดมา, ทำไมเราจึงต้องตาย หลังจากที่ต้องทุกข์ทรมานมากมายจากการเกิด, เจริญเติบโต, ต้องทนทรมานและมีความทุกข์อย่างแสนสาหัส ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดของเราเสมอไป และเราก็ไม่เข้าใจว่าความทุกข์เหล่านี้มาจากไหน, ทำไมจึงต้องเกิดขึ้น ดังนั้น การรู้แจ้งจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน ทำไมเราต้องใช้ชีวิตอยู่ในความมืดด้วยเล่า ในเมื่อเราสามารถจะเปิดไฟได้? หากเรารู้ว่าสวิตช์อยู่ที่ไหน เราก็สามารถจะเปิดไฟได้ทันทีทุกเวลา ในทำนองเดียวกัน แสงก็อยู่ภายในตัวเรา, อยู่ในจักรวาลทั้งมวล เราเพียงแต่ต้องเสียบปลั๊กหรือเปิดสวิตช์เท่านั้น แล้วเราก็จะอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า, เราก็จะอยู่ในความสว่าง

พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อจะมอบความรู้เกี่ยวกับการเปิดภาพหรือโทรทัศน์แห่งสวรรค์นี้ให้กับเธอ เธอสามารถจะเปิดดู และเห็นได้ว่ายังมีอะไรอยู่ที่นั่นอีก นอกเหนือไปจากร่างกายอันเป็นอนิจจังของเรา, โลกอันจำกัดของเรา, ความรู้ที่มีอยู่น้อยนิดของเรา เรามักจะเทิดทูนบูชาบรรดานักบุญหรือนักปราชญ์ทั้งในอดีตและในปัจจุบัน เราอิจฉาเขา, รักเขา, และเทิดทูนเขา ทำไมล่ะ? ก็เพราะพวกเขาได้ค้นพบพลังอันยิ่งใหญ่สูงสุดนี้แล้วนั่นเอง

เราก็เหมือนกับบรรดานักบุญเหล่านี้ทุกประการ ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลยแม้แต่นิดเดียว, ไม่ต่างกันเลย จะเป็นการดีกว่าที่เราจะหันมาเทิดทูนบูชาตัวเราเอง ได้รู้ว่าตัวเธอยิ่งใหญ่ขนาดไหนและบูชาตัวเธอเอง ทุกสิ่งทุกอย่างรอคอยเธออยู่แล้ว เธอไม่จำเป็นต้องขอพรอะไรเลยด้วยซ้ำ มันจะหลั่งไหลมาสู่ชีวิตของเราทุกวัน เพราะว่าเราเป็นแหล่งแห่งพระพรทั้งมวล เป็นแหล่งแห่งปัญญาและความรักทั้งมวล

เมื่อถึงจุดนั้น ไม่ว่าเพื่อนบ้านจะรักเราหรือไม่รักเรา เราก็จะรักพวกเขา เราจะรู้สึกอิ่มใจแล้วในการให้และการรักของเรา แทนที่จะคอยหวังความรักจากคนอื่น ผู้คนก็จะติดเชื้อแห่งความรักและปัญญาของเรา เขาก็จะกลายเป็นผู้รู้แจ้งไปด้วย ไม่ว่าใครก็ตาม เพียงแต่มองมาที่เราแค่ครั้งเดียว เขาก็จะเปลี่ยนไปจากเดิม ไม่กลับเป็นอย่างเดิมอีก นี่แหละคือพลังที่เรามีอยู่ เราสามารถจะใช้มันได้ทุกเมื่อ, ตลอดเวลา, หากเรารู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ก็เหมือนกับไฟฟ้า หากเรารู้ว่าจะเปิดสวิตช์ได้ที่ไหน บ้านทั้งหลัง, พลังงานไฟฟ้าที่มีอยู่ในบ้านนั้นก็เป็นสิ่งที่เราเอามาใช้ได้ เราอาจจะใช้ในการปรุงอาหาร เปิดพัดลม เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น เครื่องเล่นวีดิโอ โทรทัศน์และทุกสิ่งทุกอย่างที่เราอยากจะใช้ ขอเพียงแต่ให้เรารู้ว่าเรามีพลังงานไฟฟ้าอยู่ในบ้านของเราเท่านั้น

นี่แหละคือสิ่งที่เราอยากจะมอบให้แก่พวกเธอ เพื่อเธอจะได้รู้ว่าเธอมีอะไร และจะใช้มันได้อย่างไร มิฉะนั้นแล้ว พวกเราก็รู้สึกเสียใจที่ผู้คนยังดำเนินชีวิตแบบที่เขาเป็นอยู่ในตอนนี้ ซึ่งเขาไม่ควรจะต้องเป็นแบบนี้ เขาไม่สมควรจะต้องดำเนินชีวิตที่ทุกข์ทรมานเช่นนี้ พวกเขาเป็นลูกของพระเจ้า เขามีพระเจ้าอยู่ภายในตัว เขาสามารถจะให้พระเจ้าปกครองและบริหารชีวิตของเขา ทำทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่เขาโดยใช้ปัญญาของพระเจ้า แทนที่จะใช้พลังสมองคอมพิวเตอร์อันจำกัด

เพราะฉะนั้น เราวิ่งรอกวันละ 10 ชั่วโมงหรือ 8 ชั่วโมง พยายามจะทำสิ่งต่างๆ มากมาย พยายามจะให้เกิดความสำเร็จมากๆ แต่เราก็ทำได้แค่นี้เอง และโลกของเราก็ยังเป็นแบบนี้ ถึงแม้ว่าเราจะมีความก้าวหน้ามากขึ้นในด้านความรู้ทางแม่เหล็กไฟฟ้าบางอย่างหรือในเทคโนโลยีบางอย่าง แต่เราก็มีความถดถอยเกิดขึ้นในที่บางแห่ง เพราะว่าเราไม่ได้ทำสิ่งต่างๆ ด้วยปัญญา และเราไม่ได้ทำให้โลกมีการรู้แจ้งด้วยปัญญาที่แท้จริง ซึ่งทุกคนมีอยู่แล้ว

เราพยายามจะเลียนแบบเครื่องมือบางอย่างจากโลกของมนุษย์ต่างดาว ซึ่งผู้คนในโลกเหล่านั้นเขาโยนทิ้งในขยะ เราก็ไปเก็บมาและทำให้มันกลายเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ขายดี เทคโนโลยีของเราส่วนใหญ่ก็คือสิ่งที่ผู้คนเบื้องบนเขาโยนทิ้งแล้ว

เพราะฉะนั้น สิ่งที่ดีที่สุดก็คือ การทำให้ผู้คนทุกคนในโลกได้รับการรู้แจ้ง และแต่ละคนก็ใช้พลังอันยิ่งใหญ่ของเขาทำงานร่วมกับคนอื่น มิฉะนั้นแล้ว ถ้าบางคนทำงานอย่างหนักเพื่อทำอะไรออกมาสักอย่างหนึ่ง ก็อาจมีคนอีกจำนวนมากคอยต่อต้านเขาหรือคอยทำลาย เทคนิคหลายอย่างของพวกเราเป็นประเภทที่คอยบ่อนทำลาย เราทำให้โลกของเราเสียหายอย่างมากก็เนื่องมาจากสิ่งที่เราเรียกกันว่าความฉลาดนี่แหละ

ความฉลาดและปัญญานั้นแตกต่างกัน ปัญญามีความฉลาดมากกว่า และเราสามารถจะเข้าใจแผนการของจักรวาลทั้งหมด ความฉลาดนั้นเพียงแค่มาจากสมอง เรารวบรวมข้อมูลไว้ แล้วก็ดึงออกมาใช้ใหม่...มันจำกัดมาก นี่แหละคือสิ่งที่เราเรียน เราเข้าใจเรื่องดอกไม้ต่างๆ ก็เพราะเราเอามาจากคนอื่นนั่นเอง เป็นข้อมูลทางด้านวัตถุเท่านั้น หากเราใช้ปัญญา เราก็จะมีแหล่งเก็บข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับแผนการของจักรวาล และเราก็จะสามารถหยิบเอาสิ่งที่เราต้องการมาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่โลกของเราและตัวเราเอง เราจะสามารถดำเนินชีวิตในความคิดที่สูงส่งกว่า มีการรับรู้ที่สูงส่งกว่าเดิม

มันไม่ใช่แบบที่เราคิดอย่างที่เรากำลังทำอยู่ในตอนนี้ ก็คล้ายกับว่าเราเจริญเติบโตขึ้นและมีความคิดที่ต่างไปจากเดิม เราจะรู้จักสิ่งต่างๆ โดยวิธีการที่ฉลาดกว่าแต่ก่อน ไม่ใช่แบบที่เราเคยทำสมัยเป็นเด็ก ซึ่งตอนนั้นเรายังไม่รู้จักเบื้องหลังของสิ่งต่างๆมากมาย ดังนั้นการรู้แจ้งก็คือการเจริญพัฒนามากขึ้นทางด้านจิตวิญญาณ และกระทำสิ่งต่างๆ ด้วยวิธีการของผู้ใหญ่

เรามีความสามารถที่จะทำสิ่งนี้ หากเรารู้วิธีการ แน่นอน หลังจากรู้แจ้งแล้ว เราก็อาจจะมองสิ่งต่างๆ ผิดไปจากเดิม เราจะเห็นสิ่งต่างๆ เหมือนเป็นแค่ความฝัน และเราจะไม่มีความปรารถนาอะไรอีก แม้แต่ความอยากที่จะสอนผู้คน แต่เนื่องจากโลกอยู่ในภาวะแห่งการทำลายล้าง, เนื่องจากโลกยังอยู่ในความทุกข์ยาก เนื่องจากคนมาขอให้เธอช่วย เธอก็จำ เป็นต้องทำสิ่งต่างๆเพื่อเห็นแก่คนอื่น มิฉะนั้นแล้ว สำหรับนักปราชญ์ผู้รู้แจ้งทั้งหลายนั้น ก็ไม่มีอะไรที่จะต้องทำหรอก เอาละ ฉันจะให้เธอได้ถามคำถามบ้าง ขอบคุณมาก

คำถาม-คำตอบ

ถ: ท่านอาจารย์ที่รัก ผู้บำเพ็ญสมาธิบางคนอ้างว่า เขาได้เห็นภาพของภัยพิบัติอันใหญ่หลวงที่มีต่อมนุษย์ในโลก ในระหว่างการเกิดภัยพิบัตินั้นมีคนหลายล้านคนต้องเสียชีวิต เรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่? ท่านมีความเห็นอย่างไร?

อ: มันจะเป็นความจริง ถ้าคนที่อยู่ในโลกของเราจำนวนมากไม่ตื่นขึ้น และใช้พลังภายในอันยิ่งใหญ่ช่วยโลกให้รอด พระเจ้าได้มอบพลังแห่งการช่วยชีวิตให้แก่เรา แต่พวกเราส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้มัน แน่นอน ทุกสิ่งทุกอย่างถูกสร้างขึ้นและเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมก็จะถูกทำลายไปได้ หากเราไม่มีพลังแห่งการสร้างสรรค์เพื่อช่วยพยุงและฟื้นฟูสภาพให้มันสามารถดำรงอยู่ต่อไป

ก็เหมือนบ้านหลังหนึ่ง มันถูกสร้างขึ้นมาและถ้าหากเรามีเครื่องมือทุกชนิดอยู่ในบ้าน มีสีและมีอุปกรณ์ต่างๆ ทุกอย่างที่จะใช้ซ่อมแซมบ้านได้ แต่เราไม่ยอมทำ บ้านนั้นก็จะพังหรือถูกทำลายลงไปได้ด้วยตัวของมันเอง ทีนี้ ถึงแม้ว่าบ้านจะพังลงมาและถูกทำลาย แต่เราก็มีทางออกฉุกเฉินไว้พร้อมสรรพ หากเราไม่รู้จักทางออกนี้ และเราไม่ใช้มัน แน่ละ เราก็จะตกอยู่ในอันตราย

เพราะฉะนั้น ฉันจึงอยากจะมอบโอกาสนี้ให้แก่พวกเธอ อย่างน้อยจะได้ช่วยตัวเองให้รอดได้ถ้าหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น แต่จะมีสักกี่คนที่ฟังฉัน? เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ง่ายมากและไม่มีข้อแม้อะไร เธอเพียงแต่นั่งลงและผ่อนคลายเหมือนกับตอนที่เธอนอนหลับ จากนั้นพลังทั้งหมด, ความรู้เกี่ยวกับความทรงจำในอดีตทั้งหมดและความชำนาญความสามารถต่างๆในชีวิตก็จะมาสู่ตัวเธอ เป็นเรื่องที่ง่ายจริงๆ แต่จะมีกี่คนที่สนใจเรื่องนี้?

พวกเขามักจะถามฉันอยู่เรื่อย ถึงเรื่องการสิ้นโลก! เราจะต้องจบสิ้นอย่างแน่นอนเมื่อเราตาย ดังนั้นเราจึงควรจะช่วยวิญญาณของเราให้รอด หากเราต้องการจะช่วยโลกให้รอด เราก็ต้องใช้พลังของเราซึ่งเป็นพลังอันสูงสุด เราต้องนำมันกลับมาและใช้มัน มิฉะนั้นแล้วจะมีใครที่ไหนที่ทำเรื่องนี้ได้? เทวดาเขาก็มีโลกของเขา เขามีหน้าที่ที่จะต้องทำ พระเยซูก็กำลังสอนอยู่ที่อื่นซึ่งมีความเจริญก้าวหน้ากว่าโลกของเรา พระพุทธเจ้าก็ไปที่ดินแดนแห่งพุทธะแล้วและกำลังทำงานของท่าน มีแต่เราเท่านั้นที่อยู่ที่นี่และจะช่วยตัวเราเองได้

ถ้าหากเธอกลัวภัยพิบัติเหล่านี้ ก็จงรู้แจ้ง ซ่อมแซมบ้านของเรา ฟื้นฟูโลกให้มีมาตรฐานศีลธรรมสูงขึ้น และเป็นโลกที่รู้แจ้งมากขึ้น ถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะไม่มีภัยพิบัติใดเกิดขึ้นกับเรา มิฉะนั้นแล้ว ถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้เรื่องของอนาคตเลย ฉันก็อาจจะตอบว่าใช่ ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ถ้าหากโลกกลายเป็นสถานที่ที่ผุพังไม่เหมาะที่จะอาศัยอยู่ พระเจ้าก็จะทลายมันลงและสร้างโลกใหม่ขึ้นมา

เราคืออาจารย์สูงสุด

ถ: ท่านทำให้ตาที่ 3 เกิดมีขึ้นได้อย่างไร?

อ: เธอไม่ได้สร้างตาที่ 3 ขึ้นมาใหม่หรอก มันมีอยู่แล้ว เราไม่สามารถจะสร้างสิ่งที่ไม่ใช่วัตถุ ตาที่สามเป็นเพียงวิธีการพูดแบบหนึ่ง จริงๆแล้วไม่ได้มีตาอะไรเลย! เพียงแต่หมายถึงว่า ในสภาพปกติเรามีสองตาและสามารถเห็นภาพได้อย่างจำกัด แต่ถ้าเรามีตาอีกดวงหนึ่งซึ่งเป็นตาที่สาม เราก็สามารถจะเห็นสิ่งต่างๆในจักรวาลทั้งมวลได้ จริงๆแล้ว วิญญาณไม่ได้ต้องการตาเพื่อจะมองเห็น ไม่ต้องการหูเพื่อจะได้ยิน ไม่ต้องการเครื่องมือในการรับรู้สิ่งต่างๆเลย นี่แหละคือสัจธรรมสูงสุด นี่แหละคือการรับรู้ที่สูงที่สุดซึ่งไม่ต้องอาศัยเครื่องมือของร่างกาย นี่แหละคือพลังแห่งวิญญาณของเรา เป็นอาจารย์สูงสุดที่อยู่ภายในตัวเรา ซึ่งรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง, ได้ยินทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะมาจากทิศทางไหน, ทุกหนทุกแห่ง

นี่แหละคือสิ่งที่เราต้องหาให้พบ เพราะเราคืออาจารย์สูงสุดของจักรวาลทั้งมวล เธอนึกออกไหมว่าเธอยิ่งใหญ่ขนาดไหน และตอนนี้เธอดำเนินชีวิตแบบใด? (อาจารย์ถอนหายใจ) นี่แหละคือเหตุผลที่ทำไมฉันจึงรู้สึกเสียใจแทนเธอ พวกเธอมาที่นี่เพื่อจะมาฟังฉัน เธอไม่ควรจะต้องทำแบบนี้ด้วยซ้ำ! เราเท่าเทียมกัน เราเหมือนกันทุกประการ เรามีพลังแบบเดียวกัน เธอไม่ควรจะต้องเคารพฉันด้วยซ้ำ จึงเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก เธอจะรู้เรื่องนี้หากเธอยอมรับในสิ่งที่ฉันพูด แล้วเธอก็จะรู้เหมือนที่ฉันรู้ เหมือนที่พระคริสต์รู้ หรือพระพุทธเจ้ารู้

ถ: ท่านอาจารย์ที่รัก ในฐานะที่เป็นฆราวาสเราจะพัฒนาปัญญาของเราได้อย่างไร?

อ: ฆราวาสหรือไม่ใช่ฆราวาส ตัวฉันดูเหมือนเป็นพระหรืออะไรแบบนั้นหรือ? (ผู้ฟังหัวเราะ) ฉันอุตส่าห์ไว้ผมยาวเพื่อพวกเธอแล้ว เธอยังมาพูดถึงฆราวาสและพระอยู่อีกหรือ! ไม่มีฆราวาส, ไม่มีพระ มีอยู่เพียงสิ่งเดียวเท่านั้นคืออาจารย์ พลังของอาจารย์ ผู้ที่เป็นอาจารย์ไม่จำเป็นต้องเป็นพระเลย สิ่งนี้คือพระเจ้าที่อยู่ภายในตัวเธอ พระเจ้าไม่เคยต้องการให้เราโกนศีรษะหรือทำอะไรทั้งนั้น เพียงแต่ว่าเราไม่รู้เรื่องนี้ ถ้าเรารู้เราก็คงบรรลุถึงจุดนั้นไปแล้ว

ฆราวาสหรือไม่ใช่ฆราวาส เธอพูดถึงอะไรอยู่? ตอนที่ฉันเป็นแม่ชีนั้นฉันยังโง่เขลาอยู่ พวกเธอไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น! พระหรือนักบวชที่แท้จริงก็คือผู้ที่ปราศจากความอยาก เธอก็สามารถทำได้แบบนั้นในชีวิตประจำวันของเธอด้วย เธอมีภรรยาเนื่องจากเธอมีภรรยาอยู่แล้ว เธอก็อุทิศชีวิตให้แก่กันและกันต่อไป และรักซึ่งกันและกันอย่างซื่อสัตย์ ช่วยเหลือกันให้มีความเจริญพัฒนามากขึ้น เพื่อจะได้แสวงหาสิ่งที่มิใช่ภรรยาและมิใช่สามีซึ่งอยู่ภายใน เป็นสิ่งซึ่งไม่ใช่เพศหญิง, ไม่ใช่เพศชาย เป็น “ตัวเรา”ที่คงอยู่ตลอดไป

มิฉะนั้นแล้ว พระหรือนักบวชจะมีประโยชน์อะไร? เขานั่งท่องพระสูตร ฉันอาหารมังสวิรัติ เรื่องพวกนี้เธอก็ทำอยู่ที่บ้านได้ เพียงแค่เธอออกกำลังกายนิดๆ หน่อยๆ กับภรรยาหรือสามีของเธอ ก็ไม่ได้ทำให้เกิดความแตกต่างอะไร พระเจ้าไม่ได้ต้องการสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องในระดับร่างกาย เราสามารถจะเจริญสูงกว่านั้นได้

บุคคลที่เจริญเหนือระดับของร่างกายก็คือพระหรือนักบวชคนหนึ่ง เขาอาจจะทำอะไรได้หลายอย่างและอาจจะไม่สามารถทำอะไรอีกหลายอย่าง เขาไม่จำเป็นต้องทำอะไร เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของร่างกาย เราจะไม่พูดถึงเรื่องการออกกำลังทางร่างกาย เราจะขึ้นไปสูงกว่านั้น แน่นอน หลังจากรู้แจ้งแล้ว ความอยากในสิ่งต่างๆมากมายก็จะหมดไป และเธอก็จะทำสิ่งต่างๆโดยปราศจากความอยาก ถ้าเธอจำเป็นต้องทำอะไร เธอก็ทำไป ถ้าเธอไม่จำเป็นต้องทำอะไร ก็ไม่ต้องทำ ง่ายมาก!

ถ: ท่านมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องการกลับมาเกิดใหม่อย่างไร?

อ: การกลับมาเกิดใหม่น่ะหรือ ไม่มีการกลับมาเกิดใหม่หรอก วิญญาณไม่เคยกลับมาเกิดใหม่ เพียงแต่เป็นความคิดตามความเคยชินของเรา เป็นความปรารถนาของเราและการยึดติดของเราที่กลับมาเกิดใหม่ ถ้าเรารู้จักวิญญาณ ถ้าเรารู้แจ้ง ถ้าเรารู้วิธีการติดต่อกับจักรวาลทั้งมวล เราก็จะไม่กลับมาเกิดอีกเลย เราอยู่ตรงนั้นตลอดมา เราไม่เคยเกิดและไม่เคยตาย

เรื่องทฤษฎีทั้งหลายที่พูดมานี้ เพียงแต่ได้รับการรู้แจ้งเธอก็จะรู้ได้หมดทุกอย่าง ไม่จำเป็นต้องเปลืองกระดาษของฉัน กระดาษที่ลูกศิษย์ของฉันพิมพ์แจกพวกเธอนั้นเป็นการเสียเงินไปเปล่าๆ เมื่อมาคิดถึงภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยในยุคของเราแล้ว รู้แจ้งดีกว่า ประหยัดทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ต้องมานั่งพิมพ์ ไม่ต้องเปลืองกระดาษ เปลืองเวลา เปลืองเงินค่าเช่าห้องประชุมนี้ (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ)

ถ: ท่านเห็นด้วยหรือไม่ว่า โลกกำลังจะเข้าสู่ยุคใหม่แห่งการรู้แจ้ง และเพศหญิงกำลังจะโดดเด่น?

อ: ทำไมเพศหญิงถึงต้องเด่นกว่าด้วย? เพียงเพราะว่าเธอเห็นฉันเป็นอาจารย์ผู้หญิงหรือ? บางทีฉันอาจจะเป็นอาจารย์ผู้หญิงเพียงคนเดียว เพราะฉะนั้นฉันคงไม่สามารถเอาชนะอาจารย์ผู้เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าได้

เอาละ, เรื่องนี้เคร่งเครียดเกินไปหรือเปล่า? อยากจะให้ฉันเล่าเรื่องตลกให้ฟังก่อนหรือเปล่า? ฉันไม่รู้จักเรื่องตลกแบบฮาวายมากเท่าไร และเรื่องตลกที่ฉันเล่าให้เธอฟังเมื่อวานนี้เกี่ยวกับอพาร์ตเม็นท์ของฉันที่อยู่ติดกับทางด่วน เพราะลูกศิษย์ของฉันมีงบประมาณด้านการเดินทางขาดแคลน พวกเธอก็ได้ฟังไปแล้ว เธออ่านหนังสือพิมพ์ก็คงทราบว่าตอนนี้ทุกๆแห่งในโลกเกิดภาวะถดถอยเนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นพวกเขาก็เลยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของฉัน (อาจารย์หัวเราะ) ไม่ว่าจะไปที่ไหนเขาก็จะเช่าห้องถูกๆ แม้ว่ามันจะอยู่ติดกับขอบทางด่วนก็เอา (อาจารย์หัวเราะ)

ฉันก็เลยแกล้งทำตัวเป็นบุคคลที่ “มีระดับสูงส่ง” (คนหัวเราะ) และไม่ได้ยินเสียงจากโลกภายนอกเลย แต่ก็มีแสงและเสียงมากมายเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ คือแสงที่มาจากรถที่วิ่งในตอนกลางดึก และเสียงจากรถที่วิ่งมาอย่างต่อเนื่อง พวกเธออาจจะแกล้งคิดให้มันเป็นเสียงคลื่นทะเลก็ได้ และบางครั้งมันก็สนุกดี ก็โอเค

ในเวลาเดียวกัน ฉันก็สามารถจะฟังเสียงจากภายในด้วยการใช้เทคนิคพิเศษ เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าฉันจะพักอาศัยอยู่ติดกับทางด่วน ก็ไม่มีผลกระทบต่อการบำเพ็ญของเรามากนัก ดังนั้นูผู้ชายทั้งหลายในโลกนี้ได้หรอก คงไม่ใช่เรื่องของเพศหญิงหรอก แต่คงจะเป็นความรักของผู้เป็นแม่ที่จะโดดเด่นในโลกของเรา เพราะพระเจ้านั้นเป็นทั้งเพศหญิงและชาย อย่าตัดสินตัวเราด้วยร่างกายที่เป็นเพศหญิง หรือด้วยเครื่องมือที่เป็นเพศชาย

นี่เป็นเพียงเสื้อผ้าที่เราสวมใส่ บางครั้งมันก็อาจจะแตกต่างไปจากนี้ได้ ก็เหมือนกับฉันที่ใส่ชุดนี้ สุภาพสตรีคนนั้นก็ใส่เสื้อผ้าแบบนั้น ส่วนสุภาพบุรุษคนนั้นชอบกีฬา บางทีเขาอาจจะเพิ่งไปวิ่งมา เขาก็เลยใส่เสื้อผ้าแบบนั้น มีอะไรผิดด้วยล่ะ? จริงไหม? (ผู้ฟัง: ใช่)

เรากำลังจะเข้าสู่ยุคใหม่แห่งการรู้แจ้งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับเธอที่จะตัดสินใจ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับฉันหรือใครที่จะพูดว่าอย่างไร ถ้าพวกเราทั้งหมดรู้แจ้ง หรือพวกเราหลายคนรู้แจ้ง เราก็จะเข้าสู่ยุคใหม่แห่งการรู้แจ้ง มิฉะนั้นแล้ว ไม่ว่าใครจะทำนายว่าอะไร หรือใครจะตัดสินว่ายุคของเราเป็นยุคอะไร จะมีประโยชน์อะไรล่ะ? เราก็ยังดำเนินชีวิตอยู่ในความมืดอยู่ดี

ดั้งเดิมนั้นเราเป็นหนึ่งเดียวกัน

ถ: ถ้าเราทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน การรู้แจ้งของท่านไม่ได้ทำให้ฉันรู้แจ้งด้วยหรอกหรือ?

อ: ถูกต้อง แต่ว่าเธอไม่รู้ว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกัน นี่แหละคือปัญหา ถ้าเธอรู้แล้วว่าฉันและเธอเป็นหนึ่งเดียวกัน แน่นอน การรู้แจ้งของฉันก็เป็นของเธอด้วยแต่เธอไม่รู้ มีแต่ฉันเท่านั้นที่รู้

ถ้าพ่อแม่จำลูกชายที่สูญหายไปหลายปีแล้วได้ แต่ลูกชายกลับจำพ่อแม่ไม่ได้ ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของพ่อแม่นั้น ลูกชายก็ไม่สามารถจะรับเอามาได้ และเขาไม่มีสิทธิที่จะรับมันมา เขาจะต้องพิสูจน์ก่อน และพ่อแม่ก็ต้องพยายามพิสูจน์ให้ลูกได้รู้ว่า เธอเป็นลูกชายของฉัน

เพราะฉะนั้น ฉันก็กำลังพยายามพิสูจน์กับเธออยู่ตอนนี้ โดยอาศัยกระบวนการรู้แจ้งฉับพลันว่า เธอกับฉันเป็นหนึ่งเดียวกัน และการรู้แจ้งของฉันนั้นเธอก็สามารถได้รับด้วย เพราะฉะนั้น เธอก็สามารถได้มาในทันทีเพื่อพิสูจน์ว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ถ้าตอนนี้เธอนั่งอยู่ตรงโน้น ส่วนฉันก็นั่งอยู่ตรงนี้ ฉันก็ไม่สามารถจะทำอะไรให้เธอได้มาก ใช่ ฉันอาจจะทำได้บางอย่าง แต่เนื่องจากเธอนั่งอยู่ตรงนั้นและความสนใจของเธอก็จับอยู่ที่ฉัน รวมทั้งโลกภายนอกด้วย เธอก็ยังไม่สามารถจะรู้เรื่องนี้ได้

ในตอนประทับจิต ฉันจะบอกให้เธอหันความสนใจเข้าภายใน และรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน เธอก็จะเข้าใจได้ทันทีเลยว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกัน สิ่งที่ฉันมี เธอก็มีด้วย อย่างน้อยก็มีได้ในระดับหนึ่ง จากนั้นเธอก็จะค้นพบความยิ่งใหญ่ของตัวเธอเองมากขึ้นๆ วันต่อวัน ด้วยการบำเพ็ญสมาธิในแต่ละวัน

ถ: เราจะสามารถเอาชนะความทารุณทางจิตใจที่กระทำโดยพ่อแม่ของเราได้อย่างไร? อีกคำถามหนึ่งคือ เราจะทราบได้อย่างไรว่าเราได้ให้อภัยผู้อื่นไปแล้วอย่างแท้จริง?

อ: แต่ละครอบครัวก็แตกต่างกัน บางครั้งสมาชิกในครอบครัวมีความเข้าใจผิดซึ่งกันและกัน พ่อแม่ก็พยายามอย่างสุด ความสามารถที่จะดูแลลูกๆ และบางครั้งลูกๆ ก็กลับมองไปอีกทางหนึ่ง คิดว่าพ่อแม่บีบบังคับกดขี่มากเกินไป เพราะฉะนั้นทั้งสองฝ่ายต่างก็เกิดความไม่พอใจ เราไม่สามารถจะตัดสินใครได้

วิธีที่ดีที่สุดที่ฉันจะสามารถบอกเธอได้ก็คือ ให้มีความรักและความกรุณาต่อพ่อแม่ของเธอ เพราะว่าพวกเขาเป็นตัวแทนของพระเจ้า พวกเขาดูแลเธอในนามของพระเจ้า ความรักที่พวกเขามีต่อเธอก็คือความรักของพระเจ้าซึ่งผ่านมาทางร่างกายและการดูแลเอาใจใส่ของพวกเขา จงสวดอธิษฐานถึงพระเจ้าอยู่เสมอด้วยความตั้งใจจริงๆและด้วยความจริงใจ ขอให้เธอเห็นสิ่งต่างๆในอีกแง่มุมหนึ่ง และถ้าพ่อแม่ของเธอทารุณเธอจริงๆโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว พวกเขาก็จะเปลี่ยนแปลงตนเอง และจะเกิดความสอดคล้องกลมกลืนขึ้นในครอบครัวของเธอได้

คำถามข้อที่ 2 ก็คือ เมื่อเธอให้อภัยแก่ผู้ใดอย่างแท้จริง เธอก็จะไม่มีความเกลียดชังต่อบุคคลนั้นหลงเหลืออยู่ ไม่คิดตำหนิเขาอีก ไม่คิดขัดขวางเขาอีก เป็นสิ่งที่ง่ายมาก เมื่อเธอเห็นเขาหรือคิดถึงเขา ก็จะเหมือนๆกับที่เธอคิดถึงคนอื่นๆ ปราศจากความขุ่นเคืองใดๆ ทั้งสิ้น

ถ: ท่านอาจารย์ชิงไห่ พระเจ้านั่งอยู่บนบัลลังก์ในสวรรค์ คอยสังเกต ตัดสินและบันทึกการกระทำต่างๆ ทุกอย่างของเราบนโลกเพื่อที่จะตัดสินใจว่า เราควรจะขึ้นสวรรค์หรือถูกพิพากษาให้อยู่ในนรกตลอดนิรันดร ใช่ไหม?

อ: ไม่ใช่ พระเจ้าแบบนั้นไม่มีหรอก สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นความสุขหรือความหายนะล้วนเกิดขึ้นกับเราเนื่องจากความเข้าใจผิดของเรา และเกิดจากการใช้พลังของอำเภอใจอย่างผิดๆ เพราะฉะนั้นเราจะต้องแก้ไขวิธีการของเรา โดยใช้อำเภอใจของเราในทางที่ถูก และเราก็จะไม่มีปัญหา

อ้อ, ฉันขอพูดถึงเรื่องการนั่งสมาธิอีกครั้งหนึ่งว่า ทุกๆ คนได้แต่พูดว่า “ฉันนั่งสมาธิและไม่สามารถพบอะไรเลย ฉันไม่ได้รับความสงบสุขทางจิตใจเลย ฉันมีปัญหายุ่งยาก ฉันถูกวิญญาณเข้าสิง” ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเธอปฏิบัติอย่างผิดๆ อะไรๆเธอก็เหมาเป็นการนั่งสมาธิไปหมด

แน่นอน ทุกคนก็ทำสมาธิกันทั้งนั้น บางคนก็ทำสมาธิเกี่ยวกับเงิน, มุ่งที่ชื่อเสียง, อำนาจ, การต่อสู้ทางการเมือง, อะไรเหล่านี้ ทุกคนทำสมาธิอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่กรุณาอย่าเข้าใจผิดว่า การทำแบบนั้นคือการทำสมาธิถึงพระเจ้า การทำสมาธิจะต้องมีเทคนิคที่เหมาะสมถูกต้อง และจะเป็นการปลอดภัยกว่าที่จะเดินตามรอยเท้าของบรรดามหาอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ทุกยุคทุกสมัย

ถ:การใช้พลังจิตจะขัดขวางความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณได้อย่างไร?

อ: เพราะพลังจิตก็เป็นเพียงแค่มุมหนึ่งของทั้งหมด ถ้าเราติดอยู่ที่มุมเดียว เราก็ไม่สามารถบรรลุถึงภาวะที่สมบูรณ์ ก็มีเท่า นี้แหละ ก็เหมือนการใช้พลังอิทธิปาฏิหาริย์ อะไรทำนองนั้น เรื่องพวกนี้จะเป็นเครื่องผูกมัด เป็นโซ่ตรวนที่ทำด้วยทอง

ถ: เป็นเรื่องสำคัญสำหรับเราหรือไม่ ที่จะบอกครอบครัวของเราเกี่ยวกับตัวท่านหรือว่าท่านจะดูแลจัดการให้พวกเขาได้รู้จักท่านเอง?

อ: โอ, ทำในสิ่งที่เธอสามารถจะทำได้ด้วยพลังความสามารถของเธอเถอะ มิฉะนั้นแล้ว พระเจ้าจะใช้เราทำไมกันล่ะ? เราทำในสิ่งที่เราทำได้, คิดอย่างถูกต้องเหมาะสม แล้วปล่อยให้ผลที่เกิดขึ้นเป็นไปตามแผนการของจักรวาล นี่แหละคือวิธีการที่ถูกต้อง ไม่ใช่เอาแต่นั่งเฉยๆ แล้วรอให้อาจารย์เป็นผู้ทำทุกสิ่งทุกอย่าง หรือให้อาจารย์เป็นผู้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง

แน่ละ ฉันรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง...อาจจะนะ, ถ้าฉันเป็นอาจารย์ แต่เธอก็ต้องรู้มันด้วย เป็นหน้าที่ของเธอที่จะต้องรู้ หน้าที่ของเธอก็คือทำในสิ่งที่เธอต้องทำ ก็เหมือนกับนักเรียนที่อยู่ในชั้นเรียน ครูอาจจะรู้ทุกอย่าง แต่นักเรียนก็ต้องเรียนรู้ทุกอย่างเหมือนกัน เพราะนักเรียนจะมาพูดกับครูไม่ได้ว่า “นี่, ครูก็รู้ทุกอย่าง ครูรู้จักคำถามเหล่านี้ทั้งหมด แล้วมาถามฉันทำไม?” ใช่แล้ว เป็นหน้าที่ของเรา เราจะต้องรู้ เราต้องทำในสิ่งที่ควรทำ

ถ: ความเจ็บปวดเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้าด้วยหรือเปล่า?

อ: ไม่ใช่ ความเจ็บปวดเป็นสิ่งที่เราลงโทษตัวเราเอง จากการทำอะไรบางอย่างซึ่งไม่เป็นไปตามแผนการของปัญญาแห่งจักรวาล มันเป็นเครื่องเตือนใจว่า เราควรจะแก้ไขใหม่ แก้ไขวิธีการของเราเสียใหม่

ถ: พ่อแม่จะช่วยให้ลูกๆ ได้รับการรู้แจ้งได้อย่างไร?

อ: ก็จัดการให้เขาได้รับการประทับจิตแล้วเขาก็จะรู้แจ้งด้วยตนเอง เนื่องจากเขามีการรู้แจ้งอยู่ภายในตัวของเขาแล้วเหมือนๆ กับผู้ที่เป็นพ่อแม่ จริงๆ แล้วเราทุกคนเท่าเทียมกัน

ถ: มีภาษาของจักรวาลหรือไม่ เสียงนั้นคล้ายคลึงกับเสียง โอม หรือไม่?

อ: ภาษาของจักรวาลก็คือ กระแสภายในซึ่งรวมทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นหนึ่งเดียวกัน และนำสรรพสัตว์ทั้งมวลให้เข้าใจซึ่งกันและกันโดยไม่ต้องใช้ภาษาใดๆเลย เสียงโอม เป็นเสียงในระดับชั้นที่สอง มันไม่ใช่เสียงเพียงชนิดเดียว และไม่ใช่เสียงที่สูงที่สุดในจักรวาล

ถ: ทำไมเราจึงจำเป็นต้องนั่งสมาธิ? มีประโยชน์อะไร? คนพูดกันว่า ถ้าเราไม่นั่งสมาธิเราก็จะมีปัญหายุ่งยาก กรุณาอธิบายด้วย

อ: ลองดูที่โลกของเราและตอบด้วยตัวเองสิ ดูที่สภาพจิตใจของเธอเองและตอบด้วยตัวของเธอเองสิ ดูวิธีการดำเนินชีวิตของเธอ ดูความทุกข์ยากต่างๆที่พวกเราหลายคนมีอยู่และตอบด้วยตัวของเธอเองสิว่า ทำไมเธอจึงต้องนั่งสมาธิ ทำไมเธอจึงต้องได้รับการรู้แจ้ง มันไม่ใช่ปัญหาของฉัน ไม่ใช่ว่าจะต้องมีใครมาบอกเราให้รับการรู้แจ้ง เราจะต้องช่วยตัวเราเองและช่วยโลกให้รอด

แน่นอน ถ้าเธอนั่งสมาธิส่งเดชอย่างที่ฉันกล่าวไปแล้ว เธอก็จะพบความยุ่งยากแน่ๆ ถ้าเธอเปิดเข้าไปสู่มหาพลัง โดยที่ไม่รู้วิธีจะจัดการกับมัน เธอก็จะพบกับความยุ่งยาก ถ้าเธอเปิดเข้าไปสู่พลังทางด้านที่ผิดและเข้าไปสู่พลังทางด้านลบ เธอก็จะยิ่งมีปัญหามากขึ้น เพราะฉะนั้น แน่นอนว่า วิธีที่ดีที่สุดก็คือ ต้องมีเพื่อนหรือครูที่มีประสบการณ์คอยช่วยเหลือเธอ
ผู้รู้แจ้งที่ยิ่งใหญ่และอยู่ทุกหนทุกแห่ง

ถ: ชีวิตของบุคคลผู้รู้แจ้งและบุคคลธรรมดาต่างกันอย่างไร?

อ: พระเยซูและพระสงฆ์องค์อื่นๆ ต่างกันอย่างไรล่ะ? ท่านต่างจากคนอื่นแน่ พระพุทธเจ้าและพระภิกษุองค์อื่นๆ ในสมัยของท่านต่างกันอย่างไรล่ะ? ท่านต่างจากคนอื่นแน่ ท่านรู้ถึงพลังสูงสุดของท่าน ท่านเป็นหนึ่งเดียวกับพลังของจักรวาล ท่านสามารถจะทำในสิ่งที่ท่านปรารถนาจะทำ, ช่วยคนที่ท่านต้องการจะช่วย รู้ในสิ่งที่ท่านต้องการจะรู้ และไม่ขาดแคลนสิ่งใดในชีวิตเลย ท่านมีความสุขไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ท่านอยู่ทุกหนทุกแห่ง สามารถช่วยใครก็ได้ที่เรียกหาท่าน นี่แหละคือความแตกต่างระหว่างบุคคลผู้รู้แจ้งและบุคคลที่ไม่รู้แจ้ง

ถ: เราสามารถรู้แจ้งได้โดยเพียงแต่ฟังเสียงภายในได้หรือไม่?

อ: แน่นอน นั่นก็คือการรู้แจ้งในระดับหนึ่งโดยตัวของมันเองอยู่แล้ว จนกว่าเธอจะได้รับปัญญาที่สมบูรณ์กลับคืนมาใหม่