พระเจ้า เป็นสิ่งที่มีอยู่ หรือไม่ได้มีอยู่จริง

 

 

ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ที่มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย ในเบิร์คลี่, สหรัฐอเมริกา

13 ตุลาคม 1989 (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)

บทความนี้ได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ เซ็นทรัล เดลี่นิวส์ฟอร์โมซา 25 ตุลาคม 1995

 

 เราสามารถมองเห็นได้มากกว่ามากด้วยตาปัญญา

 บิดาแห่งสรรพสิ่งทั้งปวง

 มีหลายวิธีที่จะบำเพ็ญให้ตระหนักรู้ในตนเอง

 เปิดพลังที่อยู่ภายใน โดยอาศัยเทคนิคที่ถูกต้อง

 โลกที่ยั่งยืนชั่วนิรันดร์

 อะไรกลับมาเกิดใหม่?

 หว่านพืชอะไรก็ได้ผลอย่างนั้น

 การทำสมาธิ

 การรู้แจ้ง

 บทบาทของผู้เป็นอาจารย์

 จดจำพระเจ้าไว้ในใจและระลึกถึงความรัก

 

 

สวัสดีเพื่อนรักที่เฉลียวฉลาดของฉันทั้งหลาย  เราขอต้อนรับพวกคุณสู่การชุมนุมอันเป็นมิตรและศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนี้  มันเร็วมากเหลือเกินที่เราได้กลับมาพบกันอีก และฉันก็มีความสุขมากที่เห็นหน้าตาของพวกคุณแจ่มใส            บางทีคราวนี้พวกคุณอาจจะมีคำถามน้อยกว่าครั้งที่แล้วนะ

ชีวิตของพวกคุณเรียบร้อยดีไหม?  บางทีก็ดีและบางทีก็ไม่ดี เอ้อ บางทีฉันอาจจะเล่าชีวิตของฉันให้ฟังด้วยเช่นกัน      แต่ฉันอาจจะมีปัญหาน้อยกว่าพวกคุณ หรืออาจจะมากกว่าก็ได้ ปัญหาต่างๆ ในโลกเข้ามาหาฉันหมด  แล้วพวกคุณก็มีแต่ปัญหาของตัวเอง

 

ฉะนั้นทุกครั้งที่ฉันเจอพวกคุณ หรือได้เห็นผู้ฟัง หรือใครก็ตาม ฉันก็อยากจะร้องไห้เพราะสาเหตุ 2 อย่าง  อย่างหนึ่งคือเพราะมีความสุข อย่างที่สองคือ เพราะมีความเศร้า มีความสุขก็เพราะแสงของพระเจ้าในตัวพวกคุณ หรือธรรมชาติพุทธะในตัวคุณ มีความสุขที่ได้มาเห็นพุทธะทั้งหลายในขณะนี้ หรือได้เห็นพระเจ้ารอบกายฉัน จากการที่ได้เห็นพวกคุณ

 

แต่ฉันก็รู้สึกเศร้าเช่นกัน เพราะว่าฉันกำลังคิดอยู่ว่าพวกคุณไม่รู้เรื่องนี้ หรือบางทีก็อาจจะรู้ อาจจะมีบางคนที่รู้ แต่คนส่วนใหญ่ไม่รู้เรื่องนี้ จึงทำให้ฉันรู้สึกเศร้า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?  ก็เพราะว่า ถ้าเรารู้ว่าแสงของพระเจ้าอยู่ภายในตัวเรา หรือเราได้รู้ว่าธรรมชาติพุทธะอยู่ภายในตัวเราเอง ชีวิตของเราก็จะมีความสุขมากกว่านี้อีกเยอะ ร่างกายและจิตใจของเราจะแข็งแรงและมีสุขภาพดีกว่านี้

 

เมื่อเช้านี้ขณะที่ฉันกำลังนั่งสมาธิ มีปัญญามากมายเปิดเผยออกมาให้ฉันได้รู้   และฉันก็รู้สึกปลื้มปีติมาก คิดว่าบางทีฉันอาจจะเอามันมาแบ่งปันกับพวกคุณในเย็นนี้ได้   หรือเวลาใดที่ฉันจะได้พบกับพวกคุณ  แต่แล้วคุณรู้อะไรไหม?  พอฉันมานั่งลงตรงนี้  ฉันก็รู้สึกว่าไม่รู้จะทำอย่างไรดี   เพราะว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นเรื่องที่สัมผัสไม่ได้จริงๆ  มันลึกซึ้งมาก  บางทีก็เป็นนามธรรม และก็ไม่ง่ายเลยที่ฉันจะถ่ายทอดมันออกมาเป็นภาษามนุษย์ได้  ฉันก็เลยคิดว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาสำหรับผู้บำเพ็ญปฏิบัติดีๆ ทั้งหลาย หรือบรรดาประกาศกผู้ทำนายในสมัยโบราณ หรือในทุกยุคทุกสมัย  และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำไมเราถึงมีศาสนา มีนิกายต่างๆ มากมาย  มีคัมภีร์ต่างๆ มากหลาย และคนก็เชื่อคัมภีร์อย่างหนึ่ง แต่ไม่เชื่อคัมภีร์อื่นๆ  และนับถือศาสนาหนึ่ง แต่ไม่นับถือศาสนาอื่นๆ  และมิหนำซ้ำยังทำสิ่งต่างๆ อย่างสุดโต่งมาก  จนกระทั่งไปทำลายการเชื่อถือแบบอื่น  หรือจะพยายามทำความลำบากแก่ผู้อื่นที่มีความเชื่อที่แตกต่างออกไป  ด้วยเหตุนี้ บางครั้งเราจึงมีสงครามศาสนา  แต่คืนนี้ฉันจะพยายามพูดอะไรที่มันเห็นได้ชัดกว่า มีเหตุผลและใช้สติปัญญาเข้าใจได้มากกว่านิดหน่อย เพื่อว่าพวกคุณอาจจะพอเข้าใจที่ฉันพูด  และประสบการณ์นี้มันก็ยากที่จะถ่ายทอดออกมาด้วย  เพราะฉะนั้น ฉันอาจจะไม่พูดดีกว่า

 

 เราสามารถมองเห็นได้มากกว่ามากด้วยตาปัญญา

 

ทุกคนชอบถามฉันเกี่ยวกับพระเจ้าหรือธรรมชาติพุทธะว่า “พระเจ้าคืออะไร” หรือ “ธรรมชาติพุทธะคืออะไร”   คนรู้สึกว่ามันยากมากที่จะเข้าใจ “มีพระเจ้าที่เป็นบุคคล? หรือว่า “ไม่มีพระเจ้าที่เป็นบุคคล” และ “ทำไมเราไม่สามารถจะหาธรรมชาติพุทธะได้พบล่ะ “พุทธะเป็นสิ่งที่มีอยู่หรือไม่ได้มีอยู่จริง   เราก็เห็นแล้วว่าในจักรวาลนั้น มีสิ่งมีชีวิตต่างๆ มากมาย  บางชีวิตก็มองเห็นได้ อย่างเช่น มนุษย์ และสัตว์ บางอย่างก็มองไม่เห็น เช่นสิ่งที่เราเรียกว่า เทวดา ผี หรือพุทธะ  ในระดับทางกายเนื้อของเรานี้ เราก็ได้มีประสบการณ์กับสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถจะมองเห็นได้เป็นบางอย่างอยู่แล้ว โดยไม่ต้องพูดถึงภูตผีทั้งหลายเลยด้วยซ้ำ  เธอรู้จักไวรัสนะ มันเล็กมากเกินกว่าที่ตาของเราจะมองเห็น ต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดู  เราจึงเรียกมันว่า “สิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถจะมองเห็นได้” แม้แต่ด้วยตาเปล่าของเรา เราก็ไม่สามารถจะมองเห็น

 

ตอนที่พระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่  ท่านบอกลูกศิษย์ของท่านว่า  ในน้ำหนึ่งถ้วยมีสิ่งมีชีวิตที่มองไม่เห็นอยู่ 84,000 ตัว  ฉะนั้นเวลาเราดื่มน้ำเราต้องใช้อะไรมากรองมันออก เพื่อจะได้ไม่ทำอันตรายต่อสรรพสัตว์เหล่านั้น  ท่านไม่ได้ใช้กล้องจุลทรรศน์ แต่ท่านก็สามารถมองเห็นมันได้  ท่านใช้ตาปัญญาของท่านนั่นเอง เพียงตาเดียว ตาเดียวเท่านั้น  ในคัมภีร์ไบเบิลก็มีกล่าวว่า ถ้าตาของเธอเป็นดวงเดียว ทั้งร่างกายของเธอก็จะเต็มไปด้วยแสง  นั่นก็คือดวงตาดวงเดียว คือตาปัญญา ตาพุทธะ หรือตาสวรรค์  และถ้าเราเปิดตาดวงนี้ เราจะสามารถมองเห็นอะไรได้มากมายกว่าที่เรามองเห็นด้วยตาทั้งสองของเราในขณะนี้อีก  ดังนั้นเราจึงรู้ว่ามีสิ่งต่างๆ หลายอย่างในโลกของเรานี้ซึ่งไม่สามารถจะมองเห็น และยิ่งมองไม่เห็นมากเท่าไร  ก็ยิ่งมีอำนาจมากขึ้นด้วย

 

ตัวอย่างเช่น  มนุษย์เรานี้มีอำนาจมาก หรือว่าช้างมีกำลังอำนาจมาก  แต่ช้างก็ถูกมนุษย์ปราบลงได้  ทั้งๆ ที่มนุษย์ตัวเล็กกว่ามันมาก  แต่มนุษย์ก็ถูกไวรัสปราบได้เช่นกัน  แค่มีไวรัสตัวหนึ่งหรือสองตัวที่เป็นไวรัสที่ไม่ดีในร่างกายของเรา เราก็ “จบเห่” เราก็เสร็จ  เรื่องนี้เป็นเหตุเป็นผลมาก และเราก็สามารถจะเข้าใจได้โดยอาศัยการพิสูจน์และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันนี้  ทีนี้มันยังมีสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถจะมองเห็นได้อีกมากมาย และยิ่งมองเห็นไม่ได้มากกว่านี้อีก แม้ว่าเราจะใช้กล้องจุลทรรศน์ก็ตาม เราก็ไม่สามารถจะมองเห็น  มันละเอียดกว่า บอบบางกว่าอีก มันเป็นแค่พลังงานอย่างหนึ่งเท่านั้น  และเพราะว่ามันละเอียดบอบบางมากไป เราจึงไม่ยอมเชื่อว่า มันเป็นสิ่งที่มีสติปัญญา มีความรู้สึก  ฉะนั้นในปัจจุบันนี้ เรามีการพิสูจน์แล้วว่า แม้แต่พืชก็มีความรู้สึกและมีสติปัญญา และมดหรือสัตว์ชนิดใดๆ ก็มีสติปัญญาเช่นกัน

 

เอาล่ะ ทีนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องการปฏิสนธิ ฉันอาจจะพูดเข้าไปถึงเรื่องอะไรที่ทันสมัยและน่าสนใจมาก ให้ลึกเข้าไปอีกหน่อย  พวกเธอจะได้ไม่หลับเพราะมาฟังฉันพูด ถ้าฉันพูดถึงพุทธะตลอดเวลา  ทุกคนก็จะลุกกลับบ้านกันหมด  ฉันจะพูดถึงอะไรที่เป็นทางโลกและก็พอจะมองเห็นได้มากกว่าสักหน่อย อย่างเช่น การปฏิสนธิ ส่วนมากเราคิดว่าการปฏิสนธิเกิดขึ้นโดยบังเอิญ  และนอกเหนือการควบคุมของไข่ คิดว่าไข่ของผู้หญิงกำลังถูกเจาะ  โดยที่มันทำอะไรไม่ได้  แต่เดี๋ยวนี้นักวิทยาศาสตร์เพิ่งจะพิสูจน์เมื่อเร็วๆ นี้โดยใช้ความเข้าใจ ใช้ปัญญาของเขาเอง และการทำวิจัยว่า มันไม่ได้เป็นเรื่องบังเอิญ และพิสูจน์ว่าไข่ใบนั้นเลือกที่จะรับเชื้อตัวที่มันต้องการจริงๆ ... บางทีอาจจะเป็นหนึ่ง, สอง, สาม หรือห้าตัว  เพราะฉะนั้น แม้แต่สิ่งที่ไม่สามารถจะมองเห็นได้มากๆ ซึ่งเรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่าของเรา มันก็ยังมีความรู้สึก มีการพิจารณาตัดสินใจ และมีทางเลือก

 

 บิดาแห่งสรรพสิ่งทั้งปวง

 

ยิ่งกว่านั้น  เรามาพูดถึงแดนพุทธะและอาณาจักรพระเจ้ากัน  เราคิดว่าพระเจ้าหรือพุทธะอาจจะไม่ได้ดำรงอยู่ก็ได้  บางคนบอกว่า  “พระเจ้าก็ไม่มีอะไรหรอก เป็นเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น พุทธะคือความว่างเปล่า ธรรมชาติพุทธะคือความว่างเปล่า   และเวลาเราทำสมาธิ  เราก็จะพบกับความว่างเปล่านั้น”  เออจากประสบการณ์ของฉันแล้ว  มันไม่ใช่ความว่างเปล่านะ  แต่มันเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่อย่างหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยความรัก ปัญญา และทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอต้องการ และที่เธอจะสามารถจะนึกมโนภาพได้  หรือไม่สามารถจะนึกไปถึงได้ด้วยซ้ำ  สิ่งนี้มีอำนาจมาก  ทรงอานุภาพแบบที่มิอาจจะนึกมโนภาพได้เลย  มีอำนาจเหนือกว่าสิ่งใดๆ ที่สมองทางโลกของเราจะสามารถเข้าใจได้  แต่สิ่งที่ดำรงอยู่นี้ไม่ได้เป็นบุคคลเหมือนกับตัวตนของเรา  มันมีการดำรงอยู่ที่แตกต่างออกไป  แต่ว่าเราก็ต้องยอมรับว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่กำรงอยู่อย่างหนึ่งเช่นกัน  เราอาจจะเรียกสิ่งนั้นว่าเป็นพลังงานก็ได้เหมือนกัน  แต่ถ้าเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นพลังงานแต่เพียงอย่างเดียว  เราก็อาจจะมีความคิดที่ผิดๆ หรือมีความใจผิดว่า มันเป็นเพียงสิ่งที่ไม่มีความรู้สึก  ไม่มีความเมตตา ไม่มีปัญญา ไม่มีอะไร เหมือนกับพลังงานไฟฟ้า เหมือนพลังงานแม่เหล็ก เปล่า เปล่า เปล่า มันไม่ใช่อย่างนั้น  มันมีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล  มันบรรจุเชื้อทั้งมวลที่ต่อไปสามารถเพาะตัวงอกงามขึ้นได้  เชื้อเหล่านี้ก็คือสิ่งที่เราเรียกว่า เมล็ดพันธุ์แห่งจักรวาล ซึ่งอาศัยอยู่ในสิ่งนี้  เพราะฉะนั้นจากสิ่งนี้ ทุกอย่างจะเกิดออกมา และภายหลังก็กลับเข้าไปข้างในอีก

 

แต่เบื้องหลังสิ่งนี้ยังมีอำนาจอีกอย่างหนึ่งซึ่งเราเรียกว่า พระเป็นเจ้า หรือ อนุตรสัมมาสัมโพธิ  เป็นพุทธะของพุทธะทั้งมวล แต่ว่าพลังนี้ไม่เพาะอะไรออกมา ไม่บรรจุสิ่งใด แต่ว่าจุทุกสิ่งทุกอย่าง  ไม่ผลิตไม่สร้างอะไรออกมา  การสร้างสิ่งต่างๆ เป็นเรื่องของอีกสิ่งหนึ่งเบื้องหลังสิ่งนี้  ตัวอย่างเช่น เวลาที่ฉันกินกล้วย บางทีฉันอาจจะกินจริงๆ ให้เธอดูและเข้าใจก็ได้ ... เอาละ เวลาฉันหยิบกล้วยใบนี้ขึ้นมา มันก็ดูเหมือนกับว่ามือฉันหยิบมันขึ้นมา หรือปากของฉันกำลังกินมัน  แต่เพื่ออะไรล่ะ  ผู้ที่ต้องการจะกินกล้วยไม่ใช่ปากของฉัน  มันเป็นบางสิ่งบางอย่างในสมองและในเซลล์  เป็นความรู้สึกของเซลล์ร่างกาย ของกระเพาะ และของสมอง ที่ทำให้ฉันกิน ทำให้ปากของฉันกินกล้วย  ฉะนั้น ก็เหมือนกับพระเจ้า พระเป็นเจ้า และพลังพระเจ้า คล้ายๆ กัน

 

แน่นอนที่มันยากที่จะพูดเกี่ยวกับพระเจ้า แต่มันมีสิ่งนั้นอยู่แน่นอน ซึ่งทรงอานุภาพมาก จนเราไม่มีทางจะนึกได้ว่ามันเป็นอะไร  แต่ว่าเราสามารถมีประสบการณ์กับสิ่งนั้นได้บ้างเป็นบางส่วน และแม้ว่าเธอจะมีประสบการณ์ได้รับรู้เพียงเศษเสียวนิดเดียว  มันก็ทำให้เธอผิดแผกแตกต่างไปทั้งหมดพร้อมกัน ทำให้เธอยิ่งใหญ่มาก ฉลาดมาก เป็นมิตรมาก ไม่สะทกสะเทือนกับความขึ้นลงใดๆ ของโลกเลย  ทำให้เธอสามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างที่เข้ามาหาเธอ  แม้กระทั่งตอนที่เธอกำลังนอนหมดสติไม่รู้สึกตัวจากอุบัติเหตุรถชน  เธอก็ยังสามารถจะแก้ปัญหานั้นเพื่อช่วยตัวเองได้ และสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น เมื่อเรามีการติดต่อกับที่เราเรียกว่า “สิ่ง” นี้ ซึ่งไม่อาจนึกมโนภาพได้ เป็นสิ่งที่ทรงลานุภาพ ทรงสรรพานุภาพมาก  เพราะว่าเดิมเรามาจากสิ่งนั้น เราเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนั้น และถ้าเราถูกแยกจากสิ่งนั้น จากพลังงานนั้น เราก็จะเล็กมากจริงๆ อ่อนแอมากจริงๆ  แต่ถ้าเราถูกเชื่อมต่อกับสิ่งนั้นอีก เราก็จะมีพลังมาก ฉลาดมาก  นั่นก็คือความลึกลับเกี่ยวกับการตระหนักรู้ในพระเจ้า หรือการตระหนักรู้ในตนเอง  คือเราได้รู้ ได้เข้าใจถึงสิ่งที่มองไม่เห็นอย่างมาก แต่ทรงพลังมากมายนี้

 

มันไม่ได้มองดูเหมือนมนุษย์  ไม่ดูเหมือนเทวดา หรือไม่มีเครายาวมากๆ อะไรแบบนั้น เธอเพียงแต่ได้เข้าไปอยู่ภายในสิ่งนั้น แล้วก็มีความสุขกับความรัก การคุ้มครอง พลังอำนาจ และความเมตตานั้น และเธอก็จะไม่มีคำที่จะสามารถบรรยายความรู้สึกนี้ออกมาได้เวลาที่เธอกลับมายังโลกนี้  ฉันหมายความว่าเวลาที่เรากลับมายังจิตสำนึกในระดับโลกนี้  ไม่ใช่ว่าเราไปไหนมาไหน แต่ว่าทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นภายในตัวเราเอง และตอนที่ฉันมีประสบการณ์นี้เมื่อก่อนนั้น มันก็ไม่ได้ทำให้ฉันมีเขางอกออกมาสองข้าง (อาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ) หรือว่าไม่ได้ทำให้ฉันตื่นเต้นมากจนนอนไม่หลับ หรืออะไรทำนองนั้น  แต่ว่ามันสงบมาก มันเป็นปกติธรรมดามาก  ราบเรียบและสอดคล้องกลมกลืนมาก เหมือนกับเธอกำลังกินกล้วยนั่นแหละ มันง่ายมาก แต่ประสบการณ์แบบนี้ไม่ได้มีเกิดขึ้นบ่อยๆ ในคนทั่วไป มันจำเป็นต้องมีระเบียบวินัย มีความจริงใจ และมีความปรารถนาที่จะได้ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า หรือกับธรรมชาติพุทธะภายในตัวเราเองใหม่ เราจึงจะได้รับประสบการณ์นี้

 

พระเจ้าหรือพุทธะสามารถให้มันแก่เราได้อย่างรวดเร็วมาก ไม่ต้องสงสัยเลย แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราหามาได้ด้วยตัวเองจะมีคุณค่ามากกว่า  นอกจากนี้ มันก็ไม่เหมาะสมที่เราจะกลายเป็นพระเจ้า หรือพุทธะ ถ้าหากว่าเรายังคงมีความโกรธ ความปรารถนา ความทะเยอทะยานอยากได้ และความยึดติดของเราอยู่ แล้วเวลาที่คนมองดูเรา พวกเขาก็จะคิดว่า “โอ้ นี่เป็นพุทธะแบบไหนกันนะ แล้วพวกเขาก็จะไม่เคารพนับถือพระเจ้าหรือพุทธะ ดังนั้น สำหรับผู้ใดที่เหมาะสมที่จะมีประสบการณ์เหล่านี้ หมายถึงได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า หรือได้รู้จักธรรมชาติพุทธะหรือกลายเป็นพุทธะ  ผู้นั้นก็ต้อผ่านการมีระเบียบวินัยมาอย่างมาก  การมีประสบการณ์ถึงพระเจ้าและธรรมชาติพุทธะนั้น เราสามารถมีได้ง่ายมาก โดยอาศัยการชี้นำทางที่ถูกต้องของผู้เป็นอาจารย์ซึ่งรู้จักธรรมชาติพุทธะนี้แล้ว ซึ่งได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าแล้ว

ได้รับปัญญาพระเจ้าที่สมบูรณ์กลับมาเพื่อตัวเธอเองใหม่

 

มันเป็นเรื่องง่ายๆ เหมือนกับคนที่สามารถพูดภาษาอังกฤษจะสามารถสอนเธอในวันแรกเลยให้รู้จักคำพูดหรือวลีบางวลีในภาษาอังกฤษ  หลังจากที่เธอเลิกชั้นเรียนภาษาอังกฤษกลับไปบ้าน  ในวันแรกเธอก็สามารถจะพูดคำบางคำได้แล้ว  เธออาจจะพูดว่า “คุณสบายดีหรือ? ฉันชื่อนั้นชื่อนี้ คุณชื่ออะไร   เป็นต้น ก็คล้ายๆ กันกับเวลาที่เธอไปหาอาจารย์ท่านหนึ่งที่รู้จักพระเจ้า หรือรู้จักธรรมชาติพุทธะภายในตัวเขาหรือตัวหล่อนเอง  อาจารย์ท่านนั้นก็จะสามารถแบ่งบันประสบการณ์การได้พบพระเจ้ากับเธอได้บ้างนิดหน่อย  แต่แล้วเธอก็ต้องฝึกบำเพ็ญให้มากขึ้นๆ ทุกวันเพื่อที่เธอจะได้รับปัญญาของพระเจ้านั้นอย่างสมบูรณ์ทั้งหมดสำหรับตัวเอง  ก็เหมือนกับหลังจากที่เธอสามารถพูดประโยคภาษาอังกฤษได้สองสามประโยค เธอก็ต้องกลับมาบ้าน มาขยันศึกษาจนกระทั่งเธอสามารถจะเข้าใจ และอ่านเขียนภาษาอังกฤษได้อย่างสมบูรณ์  เพราะฉะนั้นประสบการณ์ของพระเจ้านั้น บางครั้งแม้ว่ามันจะหาพบได้ง่ายมาก แต่มันก็ยากสำหรับคนส่วนใหญ่ เพราะว่าเราไม่พบผู้ชี้นำทางที่ถูกต้อง

 

เพราะฉะนั้น เราจึงคิดไปว่าพระเจ้าเป็นสิ่งที่ลึกลับมาก  ที่เราไม่มีวันจะไปถึงได้ หรือพุทธะเป็นสิ่งที่มีไว้สำหรับพระศากยมุนีพุทธเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่สำหรับฉัน ไม่ใช่สำหรับพวกเรา เปล่าเลย  ไม่จริงเลย  พระเยซูกล่าวว่า เราทุกคนล้วนเป็นบุตรพระเจ้า  ท่านกล่าวว่า สิ่งใดที่ยิ่งใหญ่และมหัศจรรย์ใดๆ ก็ตามที่ท่านทำ  เราก็สามารถทำได้ดีกว่าอีก  ในคัมภีร์ไบเบิลกล่าวไว้ว่า อะไรก็ตามที่ฉันทำในวันนี้ เธอก็สามารถทำได้ดีกว่าอีกในวันพรุ่งนี้  และนักบุญจอห์น แบ็บติสต์ที่ล้างบาปคนด้วยน้ำ ก็พูดว่า  ผู้ที่จะมาภายหลังตัวฉัน จะมีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าตัวฉันอีก และจะสามารถล้างบาปด้วยพระจิตศักดิ์สิทธิ์  ดังนั้น เนื่องจากเผ่าพันธุ์มนุษย์เราก้าวหน้าสู่ความมีอารยธรรมความเจริญ มีสติปัญญา  ดังนั้น เทคนิควิธีและปัญญาภายในตัวเราเองก็จะยิ่งก้าวหน้าไปเร็วกว่าเช่นกัน และสิ่งต่างๆ ที่เราทำก็สามารถจะก้าวหน้ายิ่งไปกว่าอีกเสียด้วย  ดังนั้นถ้าพระเยซูกล่าวว่า เราสามารถจะทำปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่กว่าของท่านได้ แล้วทำไมเราไม่ลองพยายามล่ะ  พระพุทธเจ้าก็กล่าวเช่นกันว่า ฉันเป็นพุทธแล้ว แต่เธอก็จะเป็นพุทธะเช่นกัน  ท่านไม่ได้บอกว่า  “ฉันเป็นคนเดียวเท่านั้น ไม่เคยมีคนอื่นก่อนหน้าฉันหรือหลังจากฉัน”

 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การจะเป็นเหมือนพุทธะหรือพระคริสต์นั้น ไม่ใช่เรื่องตลกเล่นๆ มันไม่ง่ายเลย แต่เราอาจจะพยายามได้  มันไม่ใช่เรื่องลึกลับ ไม่ใช่เรื่องที่เอื้อมไม่ถึง ฉันเคยพยายามแล้ว และฉันก็ทำสำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเธอพยายาม เธอก็อาจจะทำได้สำเร็จเหมือนกัน  ถ้าฉันซึ่งตัวเล็ก และอ่อนแอขนาดนี้ลองพยายามได้ เธอก็พยายามได้เช่นกัน  ทำไมฉันจึงพยายามทำสิ่งเหล่านี้น่ะหรือ?  ก็เพราะฉันอยากจะได้พบประสบกับพระเจ้าภายในตัวฉัน หรือธรรมชาติพุทธะภายในตัวฉัน  เป็นเพราะความทุกข์ทรมานของโลกเรานี้ทำให้ฉันตัดสินใจทำแบบนี้  ดังนั้นฉันจึงเป็นหนี้พวกเธอทุกคนจึงต้องมาแบ่งปันสิ่งนี้ แบ่งปันผลของการบำเพ็ญปฏิบัติของฉันนี้กับพวกเธอทุกคน ไม่อย่างนั้น ชีวิตของฉันก็ราบรื่นและมีความสุขมากอยู่แล้ว ฉันไม่คิดว่าฉันจะอยากได้อะไรอีกแล้ว

 

เวลาที่เธอมีความพอใจในความสะดวกสบายทางวัตถุมาก มันก็เป็นการยากมากที่จะมาคิดถึงการบรรลุทางจิตวิญญาณ  เราจะไม่คิดถึงเรื่องนั้นหรอก เรามีความความสุขพอแล้ว  ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่า “เวลาที่เราอยู่ในสวรรค์ มันก็ยากที่จะบำเพ็ญ ทำสมาธิ เพื่อจะเป็นพุทธะ” เพราะว่าในโลกแห่งสวรรค์ทั้งหลายนั้น คนจะมีชีวิตที่มีความสุขมาก  ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องการที่จะก้าวหน้าต่อไป  ในชีวิตประจำวันของเราก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน  บางครั้งเราก็มีความสุขมาก มีความสบายมากเกินไปในชีวิตของเราเอง เราไม่อยากจะเลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่งให้ก้าวหน้าขึ้นไป หรือเสี่ยงทำธุรกิจอะไรมากขึ้น  เราคิดว่าเรามีความสุขมากพอแล้ว

 

 มีหลายวิธีที่จะบำเพ็ญให้ตระหนักรู้ในตนเอง

 

มีวิธีอยู่หลายวิธีที่จะบำเพ็ญ  เพื่อให้ได้ตระหนักรู้ในตนเอง  แต่สำหรับคนทั่วๆไป สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การสวดอธิษฐาน  เราสวดอธิษฐานถึงพระเจ้าผู้ทรงพลานุภาพภายในตัวเรา  สวดถึงพุทธะในตัวเราให้ช่วยเรา และก็พยายามด้วยตัวเองด้วย “ฉันจะมีวินัย”  เราฝึกฝนความเมตตาและความรักของเราต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย  และเริ่มต้นด้วยการเลิกการฆ่าสัตว์ เป็นต้น

 

เมื่อวานนี้ฉันไปออกรายการวิทยุชื่อ “มองไปไกลโพ้น” พิธีกรหญิงถามฉันว่า “อะไรคือการแก้ปัญหา ความหิวโหยในโลกปัจจุบันนี้?”  คนคิดกันว่า ถ้ามีพระเจ้าอยู่แล้วทำไมคนจึงต้องทุกข์ทรมานกับความหิวมากมายขนาดนี้ในโลก  ฉันบอกว่า “ในคัมภีร์ไบเบิลมีบรรยายเรื่องการทำบุญทำกุศล  ศาสนาพุทธก็เน้นเรื่องการให้ทานเช่นกัน” หมายถึง การให้สิ่งที่ผู้อื่นขัดสนต้องการ  แต่ฉันบอกว่า “ปัจจุบันนี้ เราไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นด้วยซ้ำไป” ถ้าเรามีเงิน เราก็เก็บมันไว้ก็ได้  ถ้าเธอมีทรัพย์สมบัติ  ก็จงมีความสุขกับมัน  ถ้าทุกคนในโลกนี้ไม่กินเนื้อสัตว์กันเลย  และเราก็ไม่ต้องเลี้ยงวัวควาย  หมู  ไก่ แล้วล่ะก็  ผลผลิตโปรตีนต่างๆ และข้าวนานาชนิดก็จะสามารถเอาไปแจกจ่ายแก่ผู้ที่หิวโหยได้ฟรีๆ เท่านี้ก็จะพอแล้ว เพราะว่า  เราเอาโปรตีน ถั่วเหลือง ข้าว  และอาหารหลัก ๆ ที่สำคัญและจำเป็นสำหรับมนุษย์  มาใช้เลี้ยงสัตว์มากเกินไป  แล้วเราก็ได้เนื้อสเต็คมาแค่หนึ่งกิโลกรัม  รวมทั้งจะต้องมีการรักษาโรคอะไรต่างๆ ทั้งหลายอีก

 

เมื่อวานนี้  มีเพื่อนบางคนเอาสถิติจากการวินิจฉัยมาให้ฉัน ปรากฏว่ายาปฏิชีวนะครึ่งหนึ่งในประเทศเอาไปใช้ในสัตว์  ครึ่งหนึ่งของประเทศเชียวนะ  เข้าใจไหม? และมันก็เปลืองเงินมากด้วย  เพราะฉะนั้น ถ้าแต่ก่อนนี้เราต้องให้ทรัพย์สินเงินทองไปเป็นทาน  ตอนนี้เราก็สามารถจะให้เนื้อไป  ถ้าเราไม่กินเนื้อสัตว์ และก็ไม่มีใครเลี้ยงสัตว์  อาหารทั้งหมดก็จะยังคงอยู่  และเอามาใช้กินได้  แล้วเราก็จะมีสุขภาพดีและแข็งแรง  มันเป็นสิ่งที่ดีสำหรับทุกประเทศ  ดีสำหรับประเทศของเราด้วย  เราเสียเงินไปมากมายกับอาวุธและการเลี้ยงสัตว์  พื้นดินที่เหมาะแก่การเพาะปลูกทั้งหลายเสียไปในการใช้เลี้ยงสัตว์พวกวัวควาย สุกร และอะไรต่างๆ เป็นส่วนใหญ่  ฉะนั้น  ถ้าเราใช้พื้นที่เหล่านี้มาเพาะปลูกอาหารที่มีประโยชน์  ถูกสุขภาพ  ฉันก็คิดว่าประเทศชาติจะได้รับประโยชน์มากขึ้น  และก็มีความสงบสุขมากขึ้น  ไม่จำเป็นต้องมีกองกำลังติดอาวุธเพื่อป้องกันประเทศ

 

ถ้าทุกประเทศใช้ชีวิตตามคัมภีร์ไบเบิล  ตามคำสอนของชาวพุทธ  ได้แก่ การห้ามฆ่า  ห้ามลักขโมย เป็นต้น  โลกก็ไม่จำเป็นต้องมีการประชุมเพื่อสันติภาพอีกต่อไป  ไม่ต้องสิ้นเปลืองกาแฟ  และขนมเค้กมากมายบนโต๊ะกลม  และก็เปลืองแชมเปญด้วย  แล้วก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา  ยิ่งพูดถึงสันติภาพก็ยิ่งมีสงคราม  มันเป็นเพราะว่าเราจัดการกับปัญหาไม่ถูกวิธี  ถ้าทุกคนฝึกบำเพ็ญสมาธิ  และกินอาหารที่มีประโยชน์ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการฆ่า  โลกก็จะอยู่ในสันติสุขไปนานแล้ว  และเราก็จะไม่มีความหิวโหยเกิดขึ้นไปนานแล้ว  ไม่จำเป็นจะต้องเสียสละทรัพย์สินเงินทองของเธอหรอก  เพียงแค่เสียสละอาหารเนื้อเท่านั้นเอง  แค่นั้นก็เพียงพอที่จะช่วยโลก  และก็ช่วยสุขภาพของตัวเธอเอง  และสุขภาพของประเทศชาติด้วย

 

ก็อย่างที่เราทุกคนรู้ว่า  ความเจ็บป่วยส่วนมากมาจากเนื้อสัตว์  เนื่องจากยาปฏิชีวะที่ใช้ในสัตว์  เนื่องจากความหวาดวิตกของสัตว์ซึ่งทำให้มีการสร้างสารพิษออกมาในเนื้อสัตว์ เพราะว่า, เพราะว่า,  เพราะว่า, เพราะว่า, เรากินยาปฏิชีวนะทั้งหลายเหล่านี้เข้าไป  ร่างกายของเราจึงสูญเสียภูมิต้านทานต่อโรค  ปกติร่างกายของเราสามารถต่อสู้กับโรคภัยได้ แต่เพราะว่า เรากินเนื้อสัตว์ที่มียาปฏิชีวนะเข้าไปมาก ร่างกายของเราจึงอ่อนแอลง  ระบบภูมิต้านทานจึงเสียไป

 

ด้วยเหตุนี้  ไม่ว่าโรคอะไรก็กระทบกระเทือน  และคร่าชีวิตเราได้ น่าสังเวชจริงๆ เราควรจะพึ่งพาตัวเราเองในการช่วยเหลือเรา  ช่วยประเทศชาติ  ไม่ใช่พึ่งพาอยู่กับการประชุมเพื่อสันติภาพ  ฉันไม่เคยเห็นการประชุมเพื่อสันติครั้งไหนที่มีผลดีมากต่อประเทศใดเลย  พวกเขาเซ็นสัญญากันมากมาย  แล้ววันรุ่งขึ้นก็ละเมิดข้อตกลงนั้น  บางทีคนที่เซ็นอาจจะจริงใจมากในขณะนั้น  แต่ก็ยังมีคนอื่นๆ ที่อยู่เบื้องหลัง  หรือเบื้องหน้า  หรือทางซ้าย ทางขวา หลังจากคนที่เซ็นสัญญาตายไป   หรือเปลี่ยนตัวประธานาธิบดี  เปลี่ยนกษัตริย์ใหม่  นโยบายก็เปลี่ยนแปลงไป  ฉะนั้นเราจึงไม่มีทางจะพึ่งพาสิ่งเหล่านี้ได้เลย  เราต้องพึ่งพาตัวเองเพื่อช่วยชีวิตเราเอง

 

 เปิดพลังที่อยู่ภายใน  โดยอาศัยเทคนิคที่ถูกต้อง

 

ทีนี้  คนส่วนใหญ่ก็คิดว่า  ถ้าเราสวดอธิษฐานต่อพระเยซูหรือต่อพุทธะ นั่นก็พอแล้ว แต่ฉันคิดว่าเราควรจะเพิ่มการทำสมาธิ  และการมีวิธีการดำรงชีวิตที่ดีและมีคุณธรรมด้วย  แล้วเราก็จะเร่งให้เรามีปัญญา และหลุดพ้นได้เร็วขึ้น  ตัวอย่างเช่น  ถ้าเราบำเพ็ญธรรมวิถีของเราที่เรียกว่า  ธรรมวิถีกวนอิมกัน  เราเพียงแต่ฟังคำแนะนำสั่งสอนของพระเจ้าภายใน  เห็นปัญญาของพระเจ้าด้วยดวงตาสวรรค์ และกินอาหารมังสวิรัติ ดำรงชีวิตอย่างมีคุณธรรม  เราก็ไม่ต้องกลัวความเจ็บปวดใดๆ ผู้ประทับจิตเราหลายคนสามารถเอาชนะความเจ็บป่วยได้ในเวลาข้ามคืน  ฉันหมายถึงโรคที่อันตรายซึ่งส่วนใหญ่ต้องรับการผ่าตัด  ไม่อย่างนั้นต้องตาย  บางคนฟื้นกลับมาจากที่จวนจะตายอยู่แล้ว  ด้วยพลังของชีวิตที่มีคุณธรรมของพวกเขา  และพลังของพระเป็นเจ้าที่ปกป้องคุ้มครอง  ถ้าเราเปิดพลังภายในนี้ด้วยเทคนิคที่ถูกต้องแล้ว  พลังนั้นซึ่งเราเรียกว่า ธรรมชาติพุทธะ  หรือพุทธะภายในหรือพระเจ้าภายในตัวเรา  ก็จะปกป้องเราตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง  และจะคุ้มครองเราแม้กระทั่งหลังจากที่เราจากร่างนี้ไปแล้ว

 

บางคนถามฉันว่า  “ทำไมเราไม่ใช้เทคนิคของการหายใจ  หรือการควบคุมการหายใจ  หรืออะไรทำนองนั้นเพื่อไปให้ถึงพระเจ้าล่ะ? เราจะได้รู้เห็นพระเจ้าด้วยวิธีเหล่านี้ได้หรือไม่? ฉันก็บอกว่า “ฉันยังแคลงใจอยู่นะ เพราะว่าการหายใจจะดำเนินไปก็ต่อเมื่อเรายังมีสติรู้ตัวอยู่ แล้วเวลาเราเป็นลมหรือหัวใจวาย หรืออะไร การหยุดหายใจก็หยุดไป หรือเวลาเราตาย ก็ไม่มีการหายใจอีกต่อไป แล้วถึงตอนนั้นเราจะปฏิบัติกับอะไร จะพึ่งพาอาศัยอะไรได้ เพี่อให้มีสติ ให้ตื่นขึ้นมาใหม่ และเวลาที่เราหลับ เราก็ไม่ได้ระวังเรื่องการหายใจของเรา แล้วเราจะพึ่งพาการหายใจให้ช่วยปกป้องเราตลอด 24 ชั่วโมงได้อย่างไร”

 

ดังนั้น ฉันจึงได้ค้นพบแล้วว่า เทคนิคที่เราปฏิบัติกันอยู่เวลานี้ มีอำนาจคุ้มครองเราตลอด 24 ชั่วโมง และเราก็ตื่นอยู่ภายใน แม้กระทั่งตอนที่เราหลับ พลังพระเจ้าก็จะดูแลเรา แม้แต่ตอนที่เราตาย พลังนั้นก็ไม่ได้ตายไป แบนั้นจะมั่งคงปลอดภัยกว่า ในการที่เราพึ่งพาพลังชั่วนิรันดร์นั้น ไม่ใช่พึ่งลมหายใจที่ไม่จีรังยั่งยืน เธอไม่เห็นด้วยหรอกหรือ? ใช่หรือไม่? (ผู้ฟัง:ใช่) ใช่แล้ว

 

ฉะนั้น สิ่งที่ฉันอยากจะแบ่งปันกับเธอก็คือเทคนิคที่ง่ายมากที่จะช่วยให้ตัวเราไดติดต่อกับพลังคุ้มครองนี้ กับมหาพลานุภาพนี้ เพื่อช่วยชีวิตของเรา  ชีวิตของประเทศของเรา และความสอดคล้องกลมกลืนของจักรวาล  และมันก็ง่ายมากจนไม่มีใครจะมาอ้างได้ว่ามันยากเกินไปที่จะทำ  มันง่ายจริงๆ ง่ายกว่าการเคี้ยวขนมปังอีก แต่การทำสมาธิที่ฉันจะแบ่งปันให้พวกเธอ  ถ้าหากว่าเธอสนใจ  ซึ่งเป็นการให้ฟรีไม่คิดเงิน  มันยิ่งง่ายกว่าการอาบน้ำด้วยซ้ำไป  บางครั้งการอาบน้ำก็ลำบากลำบน  เวลาไฟฟ้าดับ  แล้วเราก็ไม่มีน้ำร้อนอาบ  หรือไม่มีแก๊สก็ไม่มีน้ำร้อน  หรือบางทีก๊อกน้ำไม่ดี  เป็นสนิม น้ำเลยไม่สะอาด  หรือน้ำไม่ไหล  แต่การบำเพ็ญสมาธิถึงพระเจ้าเพื่อเปิดปัญญาและพลังพระเจ้าเอามาใช้ในชีวิตประจำวัน  เป็นเรื่องที่ง่ายกว่านั้นมาก  ฉันเองก็ประหลาดใจที่มันง่ายขนาดนั้น

 

ก่อนที่ฉันจะได้พบเทคนิคง่ายๆ อย่างนี้ ฉันเคยลองพยายามเทคนิควิธีอื่นมาหลายวิธีแล้ว  อย่างเช่นเทคนิคของนิกายลึกลับของศาสนาพุทธในธิเบต  เทคนิคของไทยและพม่า  และอะไรต่างๆ  มันยุ่งยากและน่าเหนื่อยมากสำหรับตัวฉัน  บางทีอาจจะเป็นเพราะตัวฉันเล็กเกินไป  บางทีสำหรับพวกเธอมันอาจจะไม่เหนื่อยมาก  แต่มันก็ใช้เวลามากและก็เหนื่อยมาก  และก็ต้องมีวัสดุอุปกรณ์มากมายที่จะต้องใช้ในการปฏิบัติแบบนี้  แต่ธรรมวิถีกวนอิมไม่เป็นแบบนั้น  ฉันพบว่ามันง่ายกว่าอย่างอื่น  เธอสามารถนั่งรถไฟ  นั่งรถเมล์  หรืออยู่ในสวนสาธารณะหรือที่ใดก็ได้  แล้วเธอก็สามารถติดต่อกับพลังพระเจ้าได้  สามารถรู้สึกถึงความคุ้มครอง  และเธอสามารถเห็นพระเจ้าอยู่ต่อหน้า  เธออาจจะได้ติดต่อกับพระเยซู  กับพระพุทธเจ้า  กับใครก็ตามที่เธอรักมากที่สุดในใจเธอ  พวกท่านจะปรากฏต่อเธอ  อาจจะมาสอนอะไรเธอ  อาจจะปกป้องคุ้มครองเธอ  ชี้นำทาง  จับมือเธอไว้  เพื่อที่ชีวิตของเธอจะไม่เงียบเหงาว้าเหว่อีกต่อไป

 

 โลกที่ยั่งยืนชั่วนิรันดร์

 

แต่ว่าแบบนี้ก็ยังไม่ใช่สภาวะที่สูงที่สุดด้วยซ้ำไป แม้ว่าเธอจะได้เห็นพระเยซูหรือพระพุทธเจ้า  มันก็ยังไม่ใช่สภาวะที่สูงสุด  สภาวะที่สูงสุดก็คือ เธอเป็นเหมือนพระเยซู  เป็นเหมือนพระพุทธเจ้าเอง  และก็มีพลังอำนาจทั้งหมดเพื่อช่วยโลก  และปลอดภัยจากความทุกข์และวัฏจักรของการเวียนว่ายตายเกิด   เธอจะฉลาดมีปัญญารอบรู้ทั้งหมด  และอยู่ทุกหนทุกแห่ง  นั่นคือระดับที่สูงที่สุดที่เราสามารถไปถึง  แล้วสภาวะที่อยู่ทุกหนทุกแห่ง  และสูงสุดนี้มันเป็นอย่างไร? เอ้อ, ฉันบอกเธอแน่ชัดไม่ได้  บอกได้แต่เพียงว่ามันดีมาก  วิเศษมากจริงๆ แต่ฉันบอกมากกว่านี้ไม่ได้  มันยากที่จะบอก  แต่ว่ามันง่ายที่จะมีประสบการณ์นี้

 

ฉันได้แต่เชิญชวนให้เธอมา  และร่วมแบ่งปันความมั่งคั่งสมบูรณ์ที่ยั่งยืนตลอดกาล  ไม่มีวันหมด  ไม่เคยขึ้นลงไปกับราคาท้องตลาด  ไม่เคยเฟ้อ  ไม่เคยเก็บภาษีใด ๆ ไม่เคยมีใครขโมยมันไปจากเราได้  ไม่มีใครจะบังคับให้เราละทิ้งมันได้  และไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเรามีอะไร มันคือทรัพย์สมบัติอันเร้นลับ  ซึ่งพระเยซูกล่าว่า อย่าวางสมบัติของเธอไว้บนผืนดิน ที่แมลงมากินให้เสียหายได้  แต่จงวางทรัพย์สมบัติของเธอไว้บนสวรรค์  ท่านหมายความว่าให้เราหาสมบัติในสวรรค์  พระองค์ยังกล่าวอีกด้วยว่า อาณาจักรของพระองค์ไม่ได้อยู่บนโลก  แต่อาณาจักรของพระองค์อยู่กับพระบิดา  ฉะนั้นพระองค์จึงหมายความว่าพระองค์ได้ค้นพบทรัพย์สมบัติอันไม่สิ้นสุดนี้แล้ว

 

เพราะฉะนั้น  ทรัพย์สมบัตินี้เราก็อาจจะหาพบเช่นกัน  เพราะว่าพระองค์สัญญาไว้ว่าเราสามารถทำสิ่งที่พระองค์ทำได้  และอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ  มันอาจจะไม่ใช่ว่าเรายิ่งใหญ่กว่าพระเยซู  เปล่า, เปล่า  พระองค์หมายความว่าบางทีในอนาคต อย่างเช่นในยุคสมัยใหม่ของเรานี้  ที่มีเทคนิคความก้าวหน้าและอารยธรรมนี้  เราจะเก่งกว่ามาก  ฉะนั้น เราจึงต้องใช้พลังจากพระเป็นเจ้ามากขึ้น เพื่อที่จะตอบสนองความต้องการ  และความปรารถนาของคนสมัยใหม่  ในขณะที่พระเยซูไม่จำเป็นต้องมีสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด  สำหรับพระองค์นั้น  การทำปาฏิหาริย์สองสามอย่างก็เพียงพอแล้ว  เท่านี้ผู้คนก็วิ่งตามท่านแล้ว ในปัจจุบันนี้  แค่ทำปาฏิหาริย์สองสามอย่างก็ยังไม่พอหรอก  เธอจำเป็นต้องมีมากกว่านั้น เธอต้องการลักษณะปรากฏที่เป็นแบบนานาชาติอย่างฉันนี้ไงล่ะ?  (อาจารย์และทุกคนหัวเราะเพราะอาจารย์กำลังอยู่ในชุดนักบวชทางพุทธแบบจีน), เธอต้องมีความรู้ของภาษาหรือวัฒนธรรมของประเทศต่างๆ ด้วย

 

พระเยซูไม่จำเป็นต้องใช้เรื่องเหล่านี้  ท่านไม่ต้องเรียนรู้อะไรมากนัก  ถึงแม้ว่าท่านต้องเรียน แต่ท่านก็เพียงแต่ไปๆมาๆ อยู่แถวกรุงเยรูซาเล็ม  เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่จำเป็นต้องใช้อะไรมากนัก  เพียงแค่ปาฏิหาริย์สองสามอย่างเท่านั้น แต่ปัจจุบัน เราจำเป็นต้องใช้การขนส่ง การเดินทางทุกอย่าง  โทรศัพท์  โทรทัศน์  วีดิโอเทป  ปาฏิหาริย์นานาชนิดเหล่านี้  เข้าใจไหม  ต้องใช้ปาฏิหาริย์  หูยาว  ตายาว  (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เพื่อจะบริการรับใช้คนในยุคสมัยใหม่

 อะไรกลับมาเกิดใหม่?

 

: คนบางคนมีความเข้าใจเลยเถิดเกินไปเกี่ยวกับเรื่องการกลับมาเกิดใหม่ ซึ่งฟังดูเหมือนกับนิยายอภินิหาร ช่วยอธิบายหน่อยว่าอะไรกลับมาเกิดใหม่หลังจากตายไปแล้ว? เพราะรู้ว่า “ฉัน” คนนี้, ความมีตัวมีตนนี้, ร่างกายนี้ ความคิดจิตใจทางด้านสภาพแวดล้อม และวัฒนธรรมนี้ไม่ได้กลับมาเกิดใหม่  แล้วอะไรล่ะที่กลับมาเกิด?

 

: โอ! บุคลิกลักษณะความมีตัวมีตนนั่นแหละที่กลับมาเกิด การกลับมาเกิดใหม่ไม่ได้หมายความว่า เรากลับมาในร่างกายนี้อีก แต่เป็นความคิดของเรา  ความปรารถนา  ความต้องการของเรา  ความยึดติดของเราต่อบางสิ่ง  ซึ่งไม่สามารถจะแก้ให้หมดไปได้ในชีวิตปัจจุบัน  จะกลับมาอีกรวมกันอยู่ในอีกร่างหนึ่ง  และนั่นก็คือสิ่งที่เราเรียกว่า การกลับมาเกิดใหม่  แล้วร่างนั้นก็มีความสุขเพลิดเพลินต่อไป หรือทุกข์ทรมานกับสิ่งที่หลงเหลืออยู่จากชีวิตปัจจุบันนี้ต่อไป บางที่อาจจะในร่างกายที่ต่างออกไป  รูปร่างลักษณะที่ต่างออกไป  บางที่ชาตินี้เธอผิดดำ  ชาติหน้าเธออาจจะผิวขาว หรือเหลือง หรือแดงก็ได้ หรือชาตินี้เราอยู่ในร่างมนุษย์ ชาติหน้าเราอาจจะอยู่ในเสื้อผ้าร่างกายที่ต่างออกไป  เช่น อาจจะอยู่ในเสื้อผ้าร่างกายชุดที่เป็นสัตว์ก็ได้

 

เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราคิด  พูด  ปรารถนา  อยากได้  และยึดติดกับมัน มันมีพลังงาน  มันจะสร้างตัวเองขึ้นมาเป็นบรรยากาศแบบหนึ่งที่เป็นตัวเป็นตนมาก  แล้วบรรยากาศนี้ก็จะเจริญพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปอีกในสิ่งแวดล้อมและสภาพแวดล้อมต่างๆ เพื่อที่จะทำหน้าที่ให้สำเร็จเพื่อที่จะค่อยๆ สลายรูปร่างที่เป็นตัวเป็นตนเหล่านี้ซึ่งมีอยู่แล้ว ดำรงอยู่แล้วให้เจือจางหายไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดำรงอยู่จะต้องถูกทำลายลงไป ต้องถูกเปลี่ยนแปลงไป ต้องถูกทำให้ลุล่วงไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง  นี่คือความหมายของการกลับมาเกิดใหม่

 

ตัวอย่างเช่น เราปลูกดอกไม้ ต้นไม้ แล้วต้นไม้ก็ออกดอกแล้วจะโดยวิธีใดก็ตาม  วันหนึ่งธรรมชาติก็จะทำลายดอกไม้นั้นลงไป  เพราะว่ามันได้ดำรงอยู่มาแล้ว หลังจากนั้นสักระยะมันก็ต้องถูกสลายไป  เพราะฉะนั้นถ้าความคิดของเรา  ความยึดติดและความปรารถนาต้องการของเรายังไม่สามารถจะได้รับการตอบสนองในชาตินี้ มันก็ต้องกลับมาใหม่ต่อไป  มันเป็นเรื่องที่มีเหตุผลมาก  ไม่ใช่เรื่องลึกลับ ไม่มีนิยายลี้ลับอะไรเกี่ยวกับการกลับมาเกิดใหม่

 

: การกลับมาเกิดใหม่เป็นโอกาสเลือกของจิตวิญญาณ หรือว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ  โดยไม่มีทางเลือกจากการควบคุมและการตัดสินใจของพลังอำนาจที่สูงกว่า?

 

: เรามีทาง  และก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน สำหรับคนทั่วไป พวกเขาไม่มีทางเลือก  แต่สำหรับพุทธะ นักบุญ  พระคริสต์แล้ว  พวกท่านมีทางเลือก  เลือกอย่างที่รู้ตัวด้วย  เลือกพ่อแม่  วันเกิด  ที่เกิด  วันตาย  วันที่จะจากโลกนี้ไป  พวกท่านมีทางเลือก  พวกท่านมีสติรู้ตัวตั้งแต่อยู่ในท้องของผู้เป็นมารดาแล้ว  พวกท่านรู้ตัวตั้งแต่ก่อนจะมาโลกนี้อีก  พวกท่านเลือกมาที่นี่เอง  เพื่อมาช่วยโลก  ช่วยเพื่อนบางคน  ช่วยผู้ที่สวดอธิษฐานถึงท่านขอให้ท่านช่วย  พวกท่านมีทางเลือก  แต่สำหรับคนอื่นๆ พวกเขาถูกบังคับให้กลับมาเกิดใหม่  จากการกระทำในช่วงชีวิตที่ผ่านมาของพวกเขาเอง

 

ก็อย่างที่ฉันได้อธิบายไปแล้วว่า  การคิด และนิสัยของเราสร้างตัวมันเองเป็นพลังงานอย่างหนึ่ง  และพลังงานนั้นจะบังคับให้เรามาอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างออกไปเพื่อสนองความต้องการ  และเพื่อกำจัดมันไปถ้าจำเป็น  พลังงานที่มีรูปร่างตัวตนแล้วนี้ต้องถูกสลายไป

 หว่านพืชอะไรก็ได้ผลอย่างนั้น

 

: กรรมคืออะไร  อะไรคือความเกี่ยวข้องระหว่างกรรมและการรู้แจ้ง? มีสิ่งที่เรียกว่าการรู้แจ้งในทันทีอยู่ด้วยหรือในแนวคิดเรื่องกรรม?

 

: กรรมคือสิ่งที่เราเรียกว่าเหตุและผล เธอหว่านพืชอะไรก็จะได้ผลอย่างนั้นที่กล่าวในคัมภีร์ไบเบิลนั่นก็คือกรรมตอนนี้เราหว่านได้ เราเก็บเกี่ยวได้ แต่เราก็ลบมันออกหมดได้เช่นกัน ดังนั้นพระเยซู  พระพุทธเจ้าจึงต้องมายังโลกเพื่อช่วยเราจ่ายหนี้ที่หนักหนาสาหัสมากนี้ ที่เราไม่สามารถจะจ่ายเองได้ซึ่งเรียกว่ากรรม  ที่เราหว่านเอาไว้มากมาย ตอนนี้เราจึงได้ผลของมันมาก  ฉะนั้นบางท่าน เช่น พระบิดา พระบุตร หรือพระพุทธเจ้า  จึงลงมาพร้อมกับบุญอันมากมายไม่จำกัด เข้าใจไหม  และพวกท่านสามารถจะให้อะไรก็ได้ที่เราขัดสนต้องการ  สามารถจ่ายหนี้ให้เธอ  เพราะว่าพระเจ้าเปี่ยมด้วยความกรุณา และพระพรอันไม่จำดัด ไม่ว่าเธอจะขออะไร เธอก็จะได้มา  ถ้าเธอเคาะประตู  ประตูก็จะเปิด

 

ทีนี้ส่วนใหญ่เราไม่ขอ  เราไม่เคาะ  เราได้แต่เอาหัวโขกข้างฝา (ผู้คนหัวเราะ) เราจึงไม่ได้พระพรกรุณาอะไรนัก แล้วเราก็เลยคิดว่าพระเจ้าไม่กรุณาเลย  พระเจ้ากรุณาซี ท่านส่งคนนำข่าวสารของท่านมายังโลกเสมอ  อย่างเช่น พระเยซูเจ้า  พระพุทธเจ้า และท่านกฤษณะ  เป็นต้น เพื่อช่วยเรา เพื่อนำเรากลับบ้าน ทั้งๆ ที่เรามีกรรม  มีหนี้ที่หนักหนา  พวกท่านก็สามารถพาเรากลับบ้านได้ และเราก็สามารถจะได้รับรู้การแจ้งในทันที  โดยอาศัยพรของบุคคลเหล่านั้นได้

 

ตัวอย่างเช่น ตอนนี้เราเกิดในครอบครัวที่ยากจนมาก  ครอบครัวของเรายากจนอย่างนั้นต่อๆ มาหลายชั่วอายุคนแล้ว  และเราไม่มีหวังเลยว่าจะร่ำรวยขึ้น  หรือมีสถานภาพที่ดีขึ้นแต่อย่างใดในสังคม  แต่แล้วก็มีเจ้าชายองค์หนึ่งหรือข้าราชการตำแหน่งใหญ่โตคนหนึ่งผ่านมา  และเขาก็ร่ำรวยมหาศาลมาก  บังเอิญเขามาพบครอบครัวของเรา  และก็บังเอิญชอบเราหรือชอบลูกสาวของเรา  อยากจะแต่งงานกับเธอ  เราก็จะกลายเป็นคนใหม่  เป็นครอบครัวใหม่  ฐานะตำแหน่งของเราจะเปลี่ยนไป  ไม่ว่าจะเป็นหนี้เพื่อนบ้านของเรามากมายขนาดไหน  หรือเป็นหนี้เจ้าของที่ที่เราอยู่  เขาก็จะเอาเงินของเขาจ่ายใช้ให้แล้วก็พาเราไปพระราชวัง

 

พระเจ้าก็คล้ายๆ อภิอัครมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยมาก ๆ ใครก็ตามที่ร้องขอท่าน ท่านก็จะชำระล้างกรรมทั้งหลายให้แล้วก็ทำให้เราเป็นเทวดา  ทำให้เราเป็นเหมือนพระเจ้า  ทำไมถึงเป็นไปได้อย่างนี้หรือ? ก็เพราะว่า ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพระเจ้าอยู่แล้วนี่  ถ้าท่านสามารถสร้างทั้งจักรวาลนี้ขึ้นมาได้  ท่านก็สามารถพาเรากลับบ้านได้เหมือนกัน  ถ้าท่านอยากจะทำ แต่เพราะเราไม่รู้ว่าพระเจ้าอยู่ที่ไหน  และก็มีม่านที่หนามากของสิ่งที่เรียกว่ากรรมนั้นมาขวางกั้นระหว่างเรากับพระเจ้า  เพราะฉะนั้นท่านจึงจำเป็นจะต้องส่งใครบางคนที่มองดูเหมือนๆ เราให้ลงมาแทน  มาเขย่ามือกับเราและพูดว่า “เฮ้..มาเถอะ”

 

พระเจ้าเป็นสิ่งที่แทบจะไม่สามารถสัมผัสได้เลย  และก็เป็นนามธรรมมากด้วย  แม้ว่าท่านจะมาปรากฏต่อหน้าเรา เราก็จะมองไม่เห็นเพราะเราเคยชินกับการมองเห็นภาพลวง  เราเคยชินกับกับการมองเห็นรูปร่างที่เป็นตัวตน  เห็นชัด  ถ้าพระเจ้ามาปรากฏ เราก็ไม่มีทางจะรู้ ไม่มีทางจำได้ เพราะฉะนั้น  เราจึงจำเป็นต้องมีบางคนผู้เชี่ยวชาญมาบอกว่า “โอ! ใช่แล้ว, สิ่งที่เธอเห็นเมื่อวานนี้ ก็คือพระเจ้า หรือว่าให้ฉันทำให้เธอเห็นพระเจ้าในเวลาชั่วครู่หนึ่งหรือในเวลาห้านาทีนะ  แล้วเธอก็จะเห็นท่าน  พอเธอเห็นอย่างนั้น อย่างนี้ ที่คือพระเจ้าที่ปรากฏต่อเธอในรูปร่างลักษณะอย่างนั้น  หรือเป็นพลังงานอย่างนี้ เป็นปัญญาอย่างนั้น แล้วตอนนั้นเธอจะเข้าใจ”

 

เพราะฉะนั้น  เธอสามารถได้รับการรู้แจ้งในทันทีแน่นอน  ไม่ต้องสงสัยเลย  เราสามารถเห็นพระเจ้าทันทีเพราะว่าพระเจ้าอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว  ในคัมภีร์ไบเบิลมีกล่าวไว้ว่า เธอไม่รู้หรือว่า เธอคือวิหารของพระเจ้า  และพระจิตศักดิ์สิทธิ์ก็อยู่ในตัวเธอ  ถ้าท่านอยู่ในตัวเรา เราก็สามารถจะเห็นท่านทันทีได้แน่นอน  ไม่ต้องสงสัย มันเป็นเรื่องของการรู้วิธีเท่านั้นเอง  ในภาษาอเมริกัน เราเรียกว่า “รู้วิธี” ใช่ไหม หา?

 การทำสมาธิ

 

: อะไรคือก้าวแรกที่เราต้องทำเพื่อจะไปให้ถึงพระเจ้า?

 

: เราต้องสวดอธิษฐานว่า ถ้าพระเจ้ามีอยู่  กรุณาช่วยชี้นำทางให้ฉัน  กรุณาช่วยฉันด้วย  และก็ยึดมั่นอยู่กับศาสนาของเธอ  และสวดถึงหัวหน้าของศาสนานั้นที่เธอนับถือให้ช่วยเธอ  ถ้าเธอเป็นคริสต์  ก็สวดถึงพระเจ้า  ถึงพระเยซู  ถึงซานตา มารีอา  ถ้าเธอเป็นชายพุทธ ก็สวดถึงพระพุทธเจ้า  ถึงพระโพธิสัตว์  ถึงกวนอิมโพธิสัตว์  ถึงอมิตาภพุทธ  เป็นต้น  ให้ช่วยเธอ  นั่นเป็นก้าวแรก

 

ก้าวที่ 2 คือ เราต้องใช้ชีวิตอย่างมีคุณธรรมตามที่ได้มีการบัญญัติหรือชี้แนะไว้ในคัมภีร์ไบเบิล  หรือคัมภีร์ทางพุทธ หรือในคัมภีร์ของศาสนาใดๆ ก็ตาม  ฉันไม่เคยเห็นศาสนาใหญ่ๆ ศาสนาใดที่สอนให้คนทำชั่ว  เพราะฉะนั้น จงยึดถือปฏิบัติตามศีลธรรมจรรยาของศาสนาของเธอเองเป็นก้าวที่ 2

 

ก้าวที่ 3 ก็คือ เราต้องหาใครสักคน  และที่สำคัญมากก็คือคนที่เป็นผู้ที่รู้จักพระเจ้าแล้ว    ตระหนักรู้ในพระเจ้าแล้ว  ให้แสดงอะไรบางอย่างให้เรารู้  แบ่งปันความร่ำรวยที่เขาหรือหล่อนมีอยู่กับเรา  ก็เหมือนกับถ้าเราอยากจะพูดภาษาอังกฤษ  ก้าวแรกคืออะไรล่ะ? ก็เตรียมเงินไว้เรียน  เพื่อที่ครูจะได้รับสอนเธอ  แล้วก็ไปหาครูคนที่สามารถพูดภาษาอังกฤษ  ถ้าเธอไปหาคนที่พูดภาษาสเปน  ก็ไม่ดีแน่ (อาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ) ง่ายมากเลย

 

 การรู้แจ้ง

 

: ตามที่ท่านพูดมานั้น การทำสมาธิเป็นวิธีเดียวที่จะได้เห็นพุทธะหรือได้รู้แจ้งหรือ?

 

: ใช่ เธอเคยเห็นพระพุทธเจ้าทำสมาธิไหม? เธอเคยเห็นพระเยซูทำสมาธิไหม? เคยหรือ? ท่านทำสมาธิด้วยและครั้งสุดท้าย ท่านทำสมาธิถึงถึง 40 วันในทะเลทราย  คนที่ไม่เคยทำสมาธิมาก่อนเลย จู่ๆ เขาจะสามารถเข้าไปในทะเลทรายไปทำสมาธิอยู่ถึงสี่สิบวันได้หรือ? ไม่, ไม่, ไม่ได้แน่  ต้องเป็นผู้บำเพ็ญที่มีประสบการณ์มามากที่สามารถจะทำอย่างนั้นได้  ฉะนั้นจากเรื่องนี้แม้ว่าจะเป็นข้อมูลเพียงนิดหน่อย  เราก็รู้ว่าพระเยซูทำสมาธิมาตลอด  และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ท่านจะออกมาสั่งสอนโลก

 

พระพุทธเจ้าก็ทำสมาธิมาตลอดในเวลา 6 ปี  แต่ครั้งสุดท้าย  เป็นเวลา 49 วันที่ท่านทำสมาธิแล้วท่านก็ออกมาสอนโลก  ฉะนั้นไม่มีใครจะไปถึงนิพพานหรืออาณาจักรของพระเจ้าโดยไม่ได้ทำสมาธิ  ทำไมจึงต้องทำสมาธิ? ก็เพื่อให้ใจของเราอยู่นิ่งๆ เพื่อจะรับคำสอนจากสวรรค์หรืออาณาจักรพระเจ้า  หรือจากพุทธะทั้งหลายในโลกที่สูงขึ้นไป  ถ้าเราเอาแต่สวดอธิษฐานและร้องขออยู่ตลอดว่า “กรุณาให้ปัญญาแก่ฉัน กรุณาให้สิ่งนั้นแก่ฉัน กรุณาให้...ฉัน” แล้วพอพุทธะอยากจะพูดบ้างท่านก็ไม่มีโอกาสเลย เพราะเราเอาแต่ยุ่งอยู่ตลอด (ผู้ฟังหัวเราะ) เราพูด เราขอ แล้วก็พูด แล้วก็ไม่ฟัง  เพราะฉะนั้นการทำสมาธิก็คือเวลาที่จะฟัง

 

ก็เหมือนกับที่เธอถามคำถามฉัน  แล้วเธอก็ต้องอยู่เฉยๆ เงียบๆ สักครู่หนึ่ง  แล้วฉันก็จะได้มีโอกาสบอกสิ่งที่ฉันอยากจะบอก  หรือสิ่งที่เธอจำเป็นจะต้องรู้ให้เธอได้รู้ ได้ฟัง  ฉะนั้นการทำสมาธิก็เป็นแบบนั้น  คือ นั่งนิ่งๆ และก็รับข่าวสาร  ไม่อย่างนั้นละก็  พระเจ้าอยากจะบอกสิ่งต่างๆ กับเธอหลายร้อยหลายพันอย่าง  แล้วเธอก็ไม่มีเวลาจะฟังมัน  เธอวุ่นวายเกินไปอยู่กับการพูด  การสวด  การร้องเพลง  ก้มกราบ  คารวะ  และนับลูกประคำ  (ผู้ฟังหัวเราะ)  มันก็ไม่เป็นไรหรอกที่จะทำอย่างนั้น  ฉันไม่ได้หมายความว่ามันไม่ดี  มันดีมาก  แต่เธอก็ต้องอยู่นิ่งๆ สักระยะหนึ่ง  เพื่อที่พระเจ้าจะได้มีโอกาสสื่อสารบ้าง  นั่นก็คือ การทำสมาธิ  ง่ายมาก ง่ายมากเลยที่จะเข้าใจ

 

 บทบาทของผู้เป็นอาจารย์

 

: กรุณาอธิบายความแตกต่างระหว่างอาจารย์ที่รู้แจ้ง, พุทธะ, โพธิสัตว์ อย่างไหนใกล้เคียงเหมาะสมกับตัวท่านมากที่สุด?

 

: เหมาะสมกับตัวฉันนะหรือ? ฉันไม่สนใจหรอกว่าเธอจะเรียกฉันว่าอะไร  เรียกฉันว่าอะไรก็ได้แล้วแต่เธออยากจะเรียก เธอเข้าใจไหมว่า  ฉันเป็นคนเก็บขยะ (อาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ) ใช่แล้ว ฉันเก็บขยะมนุษย์  และก็ทำความสะอาดพวกเขา  เพื่อที่โ,กจะได้มีบรรยากาศที่ดีขึ้น  สอดคล้องกลมกลืนมากขึ้น  และผู้คนจะได้มีความทุกข์ทรมานน้อยลง  และก็ฉลาดขึ้น  ฉันเก็บ “ขยะ” ของพวกเขามาแล้วก็ให้ “อัญมณี” แก่พวกเขา  ให้ปัญญาแก่พวกเขา  ฉันรับเอากรรมและความทุกข์ของพวกเขามา  แล้วก็ให้ความสุข  ความยินดีแก่พวกเขา  เพราะฉะนั้น  เธออาจจะเรียกฉันว่า “คนเก็บขยะ” ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งใหญ่โตอย่างเช่น พุทธะ หรือโพธิสัตว์หรอก  มันทำให้ฉันกลัวจะตายอยู่แล้ว  มันแสดงถึงตำแหน่งที่รุ่งโรจน์มาก  ที่จริงแล้วฉันแค่เก็บ “ขยะ” เท่านั้น เก็บบรรยากาศที่เลวๆ ในทางลบทั้งหลาย และสิ่งที่กระจัดกระจายไปทั่วที่ทำให้โลกนี้ทุกข์ยากเหลือทน  ฉันเก็บมันมาเผาหมดและทำให้สะอาดขึ้น  แล้วฉันพอจะช่วยเธอได้ไหม? ฉันจะขอให้เธอช่วยฉันในรายการ “เก็บขยะ” นี้บ้างได้ไหม? โดยให้เธอมาร่วมกับเราทำสมาธิถึงพลังทางบวก  ถึงพลังของพระเจ้าซึ่งทรงพลานุภาพมาก  เราจะสามารถชำระล้างบาปทั้งหลาย  สามารถอวยพรโลกนี้ได้  นี่คืองานของฉัน  เธออาจจะมาร่วมด้วยก็ได้  แล้วก็เป็นแบบเดียวกัน  ไม่จำเป็นต้องมีพุทธะและโพธิสัตว์หรอก  ฟังดูมีเกียรติสูงส่งมากไป (อาจารย์หัวเราะ)

 

ความจริงเราทำงานหนักมาก  ใครที่ไปถึงระดับนี้  และได้รับการมอบหมายจากพระเจ้าก็จะเป็นอาสาสมัครมาช่วยสรรพสัตว์  เราทำงานกันหนักมากและก็ลำบากทุกข์ยาก  ไม่มีเกียรติมากนักหรอกในโลกนี้  เธออาจจะมีเกียรติเวลาเธอกลับไปสวรรค์  กลับไปแดนพุทธะแล้ว  แต่ที่นี่ในโลกนี้ไม่มีอะไรมากนักหรอกสำหรับพุทธะทั้งหลาย

 

: ท่านพอจะบอกเราได้ไหมว่า ใครจะเป็นอาจารย์ที่เราสมควรไปเรียนเรื่องศาสนาจากเขา?

 

: มันเป็นอย่างนี้นะ คือ เราไม่ได้ปฏิบัติตามครู เราเพียงแต่ปฏิบัติตามคำสอน  เพราะฉะนั้นเราจะไม่มีทางเสียหรือทำอะไรผิด  ในกรณีที่ครูเกิดผิดไปจากเดิม  ในขณะที่คำสอนยังใช้ได้อยู่  เราก็ปฏิบัติตามคำสอนไป  เราต้องดูว่าคำสอนหรือการสอนนั้นถูกต้องหรือไม่ ตัวอย่างเช่น เธอก็ดูว่าหลักธรรมจรรยาของฉันถูกหรือไม่ถูก  ดูว่าสิ่งใดที่ฉันสอน  ฉันปฏิบัติตามนั้นหรือไม่  ตัวอย่างเช่น ฉันสอนเธอว่าอย่ากินเนื้อ ฉันก็กินมังสวิรัติเช่นกัน  ฉันยังสอนเธอไม่ให้ลักขโมย และฉันก็ไม่ขโมยเหมือนกัน ฉันสอนให้เธอทำกุศลให้ทาน ฉันเองก็ให้ทานทำกุศล  ฉันสอนให้เธอรักผู้คน ฉันก็รักผู้คนจริง ๆ และก็ช่วยเหลือผู้คนอย่างไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ฉันไม่รับเงินสำหรับคำสอนที่ฉันให้ไป  ฉันหาเงินของฉันเอง  เพราะฉะนั้นเธอก็ไม่มีอะไรจะต้องสูญเสียเลยนอกจากจะได้กำไร

 

และมาตรฐานทางศีลธรรมทุกอย่างที่บรรยายในคัมภีร์ทางพุทธ และในคัมภีร์ไบเบิลของศาสนาคริสต์  ฉันก็เอามาถ่ายทอดแก่เธออีก  เพราะฉะนั้นฉันไม่ได้สอนอะไรใหม่เลย  ไม่ใช่อะไรที่ไม่อมตะ  ไม่ใช่อะไรที่ไม่ถูกศีลธรรมจรรยา  ฉะนั้นเธอก็อาจจะรู้สึกปลอดภัยที่รู้ว่าครูของเธอจะไม่สอนอะไรเธอผิดๆ  นอกเหนือออกไปจากในคัมภีร์  ฉันสอนเธอทุกอย่างจากคัมภีร์ต่างๆ ตั้งแต่โบราณกาลมาแล้ว  การประพฤติปฏิบัติตามศีลธรรมจรรยาไม่เคยเปลี่ยนแปลง  ฉันสอนเธอแบบนั้น  และฉันก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน  เพราะฉะนั้น  เธอก็รู้ว่าอย่างน้อยที่สุด  ฉันก็ไม่ใช่ครูแบบที่เลว (อาจารย์หัวเราะ) และคำสอนก็ถูกต้องใช่ไหม?

 

และการทำสมาธิจะทำให้เธอมีปัญญา  มีความสงบในใจ  ไม่สำคัญว่าจะเป็นเทคนิคใด  มันจะช่วยเธอได้บ้างเหมือนกัน  ฉะนั้นก็ไม่มีข้อยกเว้นอะไรสำหรับเทคนิคของเราด้วย  ฉันเพียงแต่บอกเธอว่ามันเป็นเทคนิคที่รวดเร็วที่สุดแค่นั้นเอง  แต่เธออาจจะไม่  เธอไม่ต้องเชื่อฉันก็ได้  ฉันเพียงแต่ให้ข้อมูลแก่เธอแล้วตอนนี้เธอก็มีทางเลือกของเธอเองแล้ว  ฉันเพียงแต่บอกความจริง  ถ้ามันเร็ว  ฉันก็บอกว่ามันเร็วมาก  และฉันก็เป็นนักบวชด้วย ฉันโกหกไม่ได้อยู่แล้ว แม้กระทั่งคนทั่วไปก็จะไม่โกหกกัน  แล้วนักบวชจะโกหกไปเพื่ออะไร  และฉันก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องโกหกด้วย  เพราะว่าฉันไม่ต้องการเงินของเธอ  ฉันไม่ต้องการอะไรเลย  และฉันก็ไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่ด้วยซ้ำไป  ฉันไม่ได้ประโยชน์อะไรจากเธอเลย  ฉันอาจจะจากไปในวันพรุ่งนี้แล้วก็ได้ด้วยซ้ำ   หรือเธออาจจะจากฉันไปแล้วก็ไม่มีวันได้พบกันอีกก็ได้  สวัสดีลาแล้ว  เพราะฉะนั้น  ฉันไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย

 

อา! ฉะนั้นจากเหตุผลนี้  เธอก็ปลอดภัยดี  เธอปฏิบัติตามคำสอนเท่านั้นอย่ามาติดตามตัวฉัน  คำสอนจะอยู่กับเธอเสมอ  และเธอไม่จำเป็นจะต้องมาติดตามตัวฉัน  ถ้าหากเธอต้องการคำแนะนำเป็นการส่วนตัวในเรื่องบางอย่างระหว่างที่เธอปฏิบัติสมาธิไป  เธออาจจะเขียนมาหาฉันก็ได้  ปัจจุบันนี้มันไม่จำเป็นที่จะติดสอยห้อยตามผู้เป็นอาจารย์อยู่ตลอดเวลา   หรือเธออาจจะไปฟอร์โมซาหรือที่ไหนก็ได้ที่ฉันพักอยู่  ร่างกายนี้เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏภายนอกเท่านั้น  เป็นบ้าน  เป็นสำนักงาน เพื่อที่เธอจะได้เห็นตัวฉันได้  ถ้าฉันใช้แต่เจตภูติ (Spiritual body) เท่านั้น  เธอก็จะมองไม่เห็นฉันเลย  และเวลาที่ฉันพูด  เธอก็จะไม่ได้ยิน  แล้วฉันจะนำข่าวสารมาบอกเธอได้อย่างไร  ฉันจึงต้องใช้ร่างกาย  และนั่นก็คือประโยชน์ของร่างกาย  ร่างกายนี้ไม่มีประโยชน์อะไรมากมายในแง่อื่นนักหรอก

 

เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องกลัวว่าพอฉันจากไปแล้วเธอจะไม่มีใครอยู่ด้วย  เธอจะมีใครบางคนอยู่กับเธอเสมอ  และเธออาจจะเห็นฉันปรากฏร่างอยู่ในบ้านของเธอเหมือนอย่างนี้ก็ได้ด้วยซ้ำ  ถ้าเธอมีความจริงใจ  และมีระดับชั้นที่สูงพอ  เธอก็จะเห็นผู้เป็นอาจารย์มาหาเธอ  และเธอก็จะเห็นผู้เป็นอาจารย์ตลอดเวลาที่เธอต้องการ  ไม่จำเป็นจะต้องยึดติดอยู่กับร่างกายเนื้อนี้เลย

 

: เธอถามท่านว่าท่านมีความฝันหรือไม่?

 

: มี ฉันมีความฝัน  ฉันฝันว่าทั่วทั้งโลกจะมีความสุข  ฉันฝันว่าทุกคนจะกลายเป็นพุทธะ  ฉันฝันว่าการฆ่าทั้งหลายจะหยุดลง  ฉันฝันว่าเด็กๆ ทุกคนจะเดินไปด้วยกันอย่างมีสันติ  และสอดคล้องกลมกลืนกัน  ฉันฝันว่าทุกประเทศจับมือกัน  ปกป้องคุ้มครองซึ่งกันและกัน  และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  ฉันฝันว่าโลกที่สวยงามของเรานี้จะไม่ถูกทำลายลงด้วยเจ้าลูกระเบิดปรมาณูบ้าๆ มันใช้เวลาหลายพันล้าน  หลายล้านล้านปีกว่าจะสร้างโลกนี้ขึ้นมาได้  และมันก็สวยงามมาก  วิเศษมาก  ฉันฝันว่ามันจะยังคงอยู่ต่อไป  แต่อยู่อย่างมีสันติสุข  มีความสวยงาม  และความรัก  ใช่แล้ว  นั่นแหละคือความฝันของฉัน (ผู้ฟังปรบมือ)

 

: วิธีไหนเป็นวิธีที่เร็วที่สุดที่จะบรรลุการรู้แจ้งที่แท้จริง?

 

: ทำสมาธิด้วยวิธีการหรือธรรมวิถีของเรา  และมีชีวิตที่มีคุณธรรม

 

: พระคริสต์ทำปาฏิหาริย์ให้เห็นสองสามอย่าง  และก็ไม่รู้ภาษาอื่นใดนอกจากภาษายิว  แต่ว่าปาฏิหาริย์เหล่านี้ทำให้เราเชื่อได้  แล้วพวกอาจารย์ทั้งหลายในสมัยปัจจุบันล่ะเป็นอย่างไร? เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ?

 

: เธอเข้าใจไหมว่า ปาฏิหาริย์ทั้งหลายนั้นไม่ได้เป็นเครื่องประกันคุณสมบัติของความศักดิ์สิทธิ์สูงส่ง คนหลายๆคนมีพลังอิทธิปาฏิหาริย์โดยไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์สูงส่งอะไรเลย เรื่องนี้เธอก็รู้  อย่างเช่นพวกนักเวทมนตร์ดำ  มนตร์ขาวทั้งหลาย  พวกนี้ก็มีปาฏิหาริย์ทั้งนั้น  แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าเขาศักดิ์สิทธิ์  พระเยซูต้องใช้ปาฏิหาริย์เหล่านี้  เพราะว่ามันเป็นสภาวการณ์ที่แตกต่างกัน  ปัจจุบันนี้เรามีสติปัญญาเฉลียวฉลาดมากขึ้น  เราไม่ได้ป่าเถื่อนอย่างเมื่อก่อน  เรามีเทคโนโลยีมีความก้าวหน้ามากขึ้น  มีอารยธรรมความเจริญ  และมีความคิดที่เป็นแบบวิทยาศาสตร์มากขึ้น

 

จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยึดติดอยู่กับปาฏิหาริย์เหล่านี้ ก็อย่างที่ฉันบอกเธอไปแล้วว่า  จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าก่อนอื่นใด  ฉันไม่ต้องการจะใช้ปาฏิหาริย์ทั้งหลายมาเป็นเหยื่อเพื่อล่อให้เธอมาติดเบ็ดฉันเพราะว่าฉันนับถือปัญญาของเธอ ฉันนับถือความเฉลียวฉลาดและสติปัญญาของเธอ  ฉันไม่คิดว่าเธอจะเป็นเด็กๆ ที่ฉันต้องใช้ของเล่นสีสวยๆ มาหลอกล่อเธอ  ฉันคิดว่าการทำแบบนี้ไม่ได้เป็นการให้ความยกย่องเลย  เพราะว่าฉันนับถือเธอมาก  ดังนั้นฉันจึงใช้ปัญญา  ใช้เหตุผลมาดึงดูดปัญญาของเธอ  เหตุผลของเธอ  เพื่อที่เธออาจจะมีความเข้าใจในระดับที่สูงขึ้น  ไม่ใช่ได้แต่ยึดติดอยู่กับปรากฏการณ์ทางวัตถุอย่างเช่น อิทธิปาฏิหาริย์นี้

 

เธอจะรู้เองว่า  ฉันมีปาฏิหาริย์มากมายไม่มีที่สิ้นสุด  เมื่อเธอขึ้นมาถึงระดับของฉัน  เมื่อเธอกำลังบำเพ็ญอย่างศรัทธาจริงใจแล้ว  ฉันจะแสดงให้เธอเห็นเอง  แต่ไม่ใช่ในตอนนี้ ไม่ใช่เพราะถูกบังคับ  ไม่ใช่เพราะถูกเรียกร้องต้องการ เข้าใจไหม?  ถ้าเธอนับถือฉันก็จงอย่าเรียกร้องแบบนั้น เพราะว่าฉันยกย่องนับถือตัวเธอ  ฉันไม่ใช้การทำ “ฮูลา ฮูลา-ฮัป” แบบนี้มาเล่นกับเธอหรอก  เพราะฉันไม่คิดว่าเธอจะอยู่ที่ระดับนั้น  และฉันก็ไม่ต้องการจะดึงดูดความสนใจของคนระดับนี้ให้เข้ามาหาเช่นกัน  ถ้าเธอยังไม่เติบโตทางปัญญา  ฉันก็จะปล่อยให้เธอรอไปก่อน  ถ้าเธอพอจะมีปัญญาและความคิดอะไรบางอย่างแล้วว่า  ผู้บำเพ็ญควรจะเป็นอย่างไร  และทำไมเราจึงควรจะบำเพ็ญสมาธิและปฏิบัติตนอย่างมีคุณธรรม  ถึงตอนนั้นเธอก็ค่อยมาหาเรามาร่วมกับเราเพื่อช่วยกันทำให้โลกนี้สะอาดขึ้น  เพื่ออวยพรสรรพสัตว์ทั้งมวล  ไม่ใช่เพื่อจะกับอิทธิปาฏิหาริย์

 

อิทธิปาฏิหาริย์ไม่ได้ทำให้คนเราศักดิ์สิทธิ์สูงส่งมั่นใจได้เลยสำหรับเรื่องนี้  เธอจะได้รู้ถึงปาฏิหาริย์ของฉันในเวลาหนึ่งแน่  ถ้าเธอมีความศรัทธาจริงใจ  และถ้าเธอมีอุดมคติที่สูงขึ้นกว่านี้  เธอจะได้รู้จักทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับอาจารย์ของเธอแน่นอนในเวลาหนึ่ง  ฉันไม่ได้กำลังมาขายของราคาถูกในซุปเปอร์มาเก็ต

 จดจำพระเจ้าไว้ในใจและระลึกถึงความรัก

 

: เราจะทำความเข้าใจหรือใช้คำที่ดีกว่านี้ว่า เราจะทำให้ด้านที่มืดของเรา เช่น ความชั่วร้าย  ความมีกิเลสตัณหาฯลฯ ของเรากลับกลายมาคืนดีกับความศักดิ์สิทธิ์และข่าวดีของพระผู้สูงสุดได้อย่างไร?

 

: ก็โดยการใช้ชีวิตที่มีคุณธรรม  โดยการเปลี่ยนจากมืดไปเป็นสว่าง  ใช้ความสว่างขับไล่ความมืด  ตัวอย่างเช่น เวลาที่พระอาทิตย์ออกมา  ความมืดก็หายไป  โดยการบำเพ็ญปฏิบัติของขวัญที่มาจากพระเจ้า  โดยการฟังคำแนะนำสั่งสอนของพระเจ้าทุกวัน  โดยการเห็นแสงของพระเจ้าทุกวัน  เราก็จะชำระล้างความโน้มเอียงที่จะไปในทางที่ชั่วออกไป  และชำระล้างความโน้มเอียงไปทางชั่วทีเลวร้ายที่สุดออกไปได้ด้วย  ยิ่งมีคนที่บำเพ็ญปฏิบัติจำนวนมากขึ้น  โลกก็จะยิ่งมีสันติสุขมากขึ้น  มีบรรยากาศที่สะอาดมากขึ้น  ไม่ใช่เพื่อสำหรับตัวเราเท่านั้น  แต่สำหรับคนทั้งมวลด้วย  นั่นคือวิธีที่เราทำสิ่งเหล่านี้ด้วยการทำสมาธิ  ด้วยการรู้แจ้ง