การเดินทางผ่านเครือข่ายของจักรวาล
 
ปราศรัยโดย ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ที่ซีแอตเติล วอชิงตัน สหรัฐอเมริกา
7 เมษายน 2536 (ไม่ได้ตัดทอน, เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)
บทความนี้ได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ เซ็นทรัล เดลี่นิวส์ ฟอร์โมซา พฤษภาคม 2539
 
 
 

เมื่อ 20 ปีหรือหลายสิบปีหรือหลายร้อยปีมาแล้วชีวิตเราบนโลกนี้ไม่ได้งดงามมากนัก เราไม่มีทางหลวงใหญ่ๆ มากมายแบบนี้ ไม่มีไฟฟ้าและก็ไม่มีเครื่องบิน ถ้าหากว่าฉันเกิดเร็วกว่านี้สักนิด กะว่าเมื่อหนึ่งร้อยหรืออาจจะสองร้อยปีก่อน ฉันก็คงจะไม่มีโอกาสได้มาอยู่ที่นี่กับพวกคุณในคืนนี้ในแบบที่สะดวกสบายและรวดเร็วอย่างนี้

     

เพื่อจะร่วมแบ่งปันบรรยากาศของนักปราชญ์สมัยโบราณของยุคทอง ในเวลา 2-3 ชั่วโมงนี้เราสามารถจะลืมอย่างน้อยก็ความโศกเศร้าของเรา ความเกลียดของเรา ความกดดันของเราไปบ้างเพื่อผสมกลมกลืนตัวเราเองเข้ากับปรัชญาอันสูงส่งของนักบุญต่างๆ ในโบราณกาล พวกคุณจะได้รับเชิญให้เข้าร่วมในช่วงเวลาทองของจุดมุ่งหมายที่สูงขึ้นของชีวิต

เปิดปัญญาของเราเพื่อติดต่อกับเครือข่ายของจักรวาล

โลกของเราสวยงามมากๆ เมื่อเปรียบเทียบกับโลกอื่นๆ อีกหลายโลกที่เรารู้จักหรืออาจจะไม่รู้จักก็ได้ ลองแกล้งทำเป็นว่าเรารู้จักบางโลกก็แล้วกัน พูดตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วยังมีดาวเคราะห์อื่นๆ อีกบางดาวที่ถูกค้นพบแล้วซึ่งไม่สวยงามเท่าโลกของเรา

ฉะนั้นเราจึงแสดงความยินดีกับตัวเราเองได้ที่มีสวรรค์น้อยๆ เช่นนี้ที่ซึ่งเรามีน้ำ มีความเขียวชอุ่มและมีอากาศ แม้แต่อากาศก็ตามเถอะ เพราะว่าในดาวเคราะห์หรือ โลกอื่นบางโลก อากาศที่นั่นไม่สดชื่นกระปรี้กระเปร่า บางทีมันก็มีสิ่งปนเปื้อนมากและสิ่งมีชีวิตไม่สามารถแม้แต่จะพักอาศัยอยู่ที่นั่นได้

โลกของเราได้รับการทำให้สวยงามขึ้นวันแล้ววันเล่า จนเราได้มีความสะดวกสบายในปัจจุบันนี้ เรามีชีวิตที่ดีขึ้นด้วยการมีไฟฟ้าและสิ่งประดิษฐ์ที่เจริญพัฒนาทั้งหลาย นี่เป็นเพียงเรื่องที่เกี่ยวกับความสบายทางวัตถุเท่านั้น ก็คล้ายๆ กัน ถ้าจิตวิญญาณของเราซึ่งสำคัญมากกว่าเนื้อหนังเสียอีกนั้นได้รับการติดตั้งเครื่องมือที่ทำให้สบายมากหลายอย่างมากขึ้น ชีวิตของเราก็จะดีขึ้นมากด้วย

ร่างกายมนุษย์เราหรือชีวิตมนุษย์ของเราไม่เพียงแต่ประกอบด้วยลักษณะปรากฏทางวัตถุของร่างกาย หรือพลังอำนาจในการคิดของสมอง แต่เรายังมีบางสิ่งบางอย่างที่นอกเหนือจากสองสิ่งนี้ซึ่งก็คือจิตวิญญาณ จิตวิญญาณ ปัญญา หรือพลังสูงสุดซึ่งอยู่ภายในตัวเราคือสิ่งที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมีชีวิตขึ้นมา และสนับสนุนค้ำจุนทุกอย่างนั้น ดังนั้นขณะที่เรากำลังเป็นแบบที่เรียกว่ามีชีวิตอยู่นี้เราจึงสามารถเคลื่อนไหว สามารถพูดคุย สามารถคิด สามารถรัก สามารถสืบสวนค้นคว้า สามารถทำอะไรได้หลายอย่าง แต่เมื่อสิ่งที่เรียกว่าจิตวิญญาณออกจากตัวเราไป ถึงตอนนั้นแม้ว่าร่างกายเดิมจะยังคงอยู่ เราก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้เลย

ฉะนั้นถ้าขณะที่ยังมีชีวิตอยู่เราเรียนรู้จิตวิญญาณนี้ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่อยู่เบื้องหลังกิจกรรมของการมีชีวิตของเราทั้งหมด เราก็จะฉลาดรอบรู้มากขึ้น รู้แจ้งมากขึ้นและก็แน่นอน, พึงพอใจมากขึ้นด้วย มิฉะนั้นแม้ว่าเราจะมีความสะดวกสบายมากมายในชีวิตและอารยธรรมความเจริญของเราได้ขึ้นสู่จุดที่สูงขนาดนี้ในประวัติศาสตร์ พวกเราหลายคนก็ยังคงไม่มีความสุขอยู่ดี

มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราอยากจะทำในชีวิต มีอุดมการณ์หลายอย่างที่เราอยากจะทำให้สำเร็จ แต่ว่าเราไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร แม้ว่าเราจะรู้วิธีเริ่มต้น เราก็ไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นทิศทางที่ถูกหรือเปล่า ดังนั้น หลายครั้ง เราจะไม่ประสบผลสำเร็จทั้งๆที่เรามีความจริงใจ สวดอธิษฐาน และมีความตั้งใจที่ดีที่จะบริการรับใช้ช่วยเหลือโลกส่วนรวม มันก็ยากที่จะไปถึงเป้าหมายของเรา มันเป็นเพราะว่าเราไม่รู้จักจิตวิญญาณ หรือพลังสูงสุดซึ่งซ่อนตัวอยู่สงบภายในตัวเราทุกคน ก็เหมือนกับคนที่มีทรัพย์สมบัติมากมายในบ้านแต่ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ดังนั้นเราจึงไม่สามารถจะใช้ประโยชน์จากมันเพื่อให้ชีวิตของเราดีขึ้นได้

 ฉันแน่ใจว่าพวกเราทุกคนที่นี่และคนส่วนใหญ่ใน โลกปรารถนาสันติภาพ ความสุขที่แท้จริงและความงามทั้งภายในและภายนอก แต่ทำไมส่วนใหญ่เราจึงใช้จ่ายเงินทองและเวลาไปมากมายในเรื่องบางเรื่องแต่ว่ามันก็ไม่สามารถทำได้สำเร็จ? มันเป็นเพราะว่าเราไม่ได้เข้าหาปัญหาทั้งหลายจากทางด้านที่ถูกต้อง เป็นเพราะว่าเราไม่ได้ใช้ปัญญาสูงสุดของเราในการทำงานทุกอย่างของเรา

ที่จริงแล้วอะไรก็ตามที่เราเรียนรู้ภายนอก เป็นแบบเดียวกันในพวกเราทุกคน อะไรก็ตามที่เราพยายามเรียนรู้ด้วยสมองด้วยความคิดจิตใจซึ่งเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ชั้นยอดของเรา เราจะไม่มีทางได้รับผลสำเร็จ 100%เต็ม นอกจากนี้ยังมีสิ่งต่างๆ ที่จะทำมากมายหลายอย่างในชีวิต, มีหลายโครงการที่เราอยากจะทำให้สำเร็จด้วยพลังอันจำกัดมากของคอมพิวเตอร์เครื่องนี้เท่านั้น ถึงแม้ว่ามันจะมีคุณภาพดีที่สุด แต่บางครั้งมันก็เสียได้ เวลาเราใส่เชื้อเพลิงที่ผิดๆ เข้าไป อย่างเช่นใส่วิสกี้เข้าไปมากเกินไปในวันหนึ่งๆ มันก็จะซิกแซ็กและอาจจะไม่ทำงานไปวันหรือสองวัน หรือเราใส่ยาเสพติดหรืออะไรบางอย่างที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อพลังในการคิดของเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรามากเกินไป

แต่ถ้าเราทำสิ่งต่างๆ ด้วยมหาปัญญาของเรา ด้วยพลังสติปัญญาส่วนกลางซึ่งเชื่อมต่อกับเครือข่ายของทั้งจักรวาล ตอนนั้นเราก็จะสามารถทำสิ่งมหัศจรรย์ได้หลายอย่าง แต่ถึงกระนั้นเราก็ไม่ได้ใช้ความพยายามอะไรเลย นี่คือสิ่งที่เล่าจื๊อเรียกว่า “ทำโดยไม่ได้ทำ ปฏิบัติในแบบที่ไม่มีการปฏิบัติ”

เราจะทำแบบนี้สำเร็จได้อย่างไร? ง่ายมาก ผู้เป็นอาจารย์ทุกท่านในอดีตได้สัญญากับเราไว้ว่าอะไรก็ตามที่พวกท่านทำ เราก็สามารถทำได้เช่นกัน ถ้าพวกท่านกลายเป็นพุทธะ (ผู้รู้แจ้งแล้ว) เราก็กลายเป็นพุทธะได้เช่นกัน เพราะว่าอะไรก็ตามที่พวกท่านมีหรือได้มีหรือได้ค้นพบแล้ว เราก็มีเช่นกัน มนุษย์ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน มันขึ้นอยู่กับว่าเราใช้ประโยชน์จากทรัพย์สมบัติของเราหรือเปล่า พระเจ้า, ถ้าหากว่ามี (พระเจ้า) สักท่าน จะไม่บังคับผลักดันเรา เพราะว่าเราเป็นสิ่งสร้างสรรค์ที่ได้รับการเคารพนับถือมากที่สุดในทั้งจักรวาล เราอยู่ที่ส่วนยอดสุดของสิ่งสร้างสรรค์ทั้งปวง และอำเภอใจของเราก็เป็นสิ่งที่เด็ดขาดสมบูรณ์ที่สุด

เพราะว่าพระเจ้าได้สร้างมนุษย์ตามพระฉายาหรือรูปลักษณ์ของท่านเอง ดังนั้นความประสงค์ของมนุษย์ก็คือพระเจ้า อย่างไรก็ตาม เราลืมกันไปแล้วที่จะใช้อำเภอใจของเราในบางครั้งเพื่อทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นหรือเพื่ออวยพรโลกนี้ เรากลับใช้พลังนี้ไปอย่างผิดๆ ดังนั้นหลายครั้งจึงทำให้เกิดหายนะภัยพิบัติแก่ โลกอันสวยงามของเราและก็ต่อชีวิตของเรา

ความแตกต่างระหว่างสวรรค์กับโลก หรือสวรรค์กับนรกนั้นต่างกันเพียงแค่เส้นยาแดงเดียวเท่านั้น แตกต่างอย่างเดียวที่ความสนใจของเรา เราดึงกลับเข้ามาสนใจข้างใน แทนที่จะกระจายมันออกไปภายนอก แล้วเราก็จะรู้จักอาณาจักรของพระเจ้า แต่คนส่วนใหญ่คิดว่าสิ่งนี้เป็นไปไม่ได้ ในขณะที่ผู้บำเพ็ญที่มีประสบการณ์ของวิถีนี้รู้ว่ามันง่ายมาก เรียบง่ายมาก แม้แต่เด็กๆ อายุตั้งแต่หกขวบก็ยังสามารถทำได้ และคนสูงอายุที่อายุถึงหกสิบปีหรือบางครั้งก็มากกว่านั้นก็ยังทำได้ ทุกคนสามารถทำได้ เพราะว่าทุกคนมีพลังนี้อยู่ภายในตัวเอง ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่า “ฉันกับมนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน ทำไมพวกเขาถึงไม่รู้ในเรื่องนี้?” และพระเยซูก็กล่าวว่า “สิ่งที่ฉันทำ, เธอสามารถทำได้ดีกว่า”

ดีกว่าไม่ได้หมายความว่าเราจะสูงเหนือกว่าท่าน ดีกว่าหมายความว่าในอนาคต เราจะมีอิสรภาพมากกว่าที่จะใช้พลังของเรา ที่จะสื่อข่าวสารที่ดีนี้ไปยังผู้คนจำนวนมากขึ้นกว่า ในขณะที่ท่านมีเวลาเทศน์สั่งสอนอยู่แค่สามปีครึ่งเท่านั้น พวกเราในสมัยใหม่นี้สามารถใช้การพัฒนาทางเทคนิคที่สูงๆหลายอย่างในการสื่อสารกับมวลชนได้ ดังนั้นท่านจึงกล่าวว่า “สิ่งที่ฉันทำ, เธอสามารถทำได้ดีกว่า” มันเป็นคำทำนายสำหรับอนาคตที่ได้รับอิสรภาพมากขึ้น อนาคตที่เสรีมากขึ้น

ในสมัยของพระเยซู กิจกรรมต่างๆ ทางด้านศาสนาหรือสัจธรรมได้รับความหวาดเกรง ได้รับการข่มเหงกลั่นแกล้ง ซ่อนเร้นจากมวลชน เพราะว่านักปกครองนักการเมืองในสมัยนั้นกลัวว่าใครที่มีอำนาจจะทำให้มวลชนเคลื่อนไหว ไม่สำคัญว่าพลังอำนาจนั้นจะเป็นเพื่อสิ่งที่ดีสำหรับมนุษยชาติหรือไม่ มันเป็นแค่การต่อสู้แย่งชิงอำนาจเท่านั้นเอง จึงเป็นผลที่ทำไมในสมัยโบราณหรืออาจจะกระทั่งถึงเมื่อเร็วๆ นี้ เราจึงไม่ได้มีโอกาสมากนักที่จะเรียนรู้ถึงความลับต่างๆทางจิตวิญญาณซึ่งที่จริงแล้วก็ไม่ได้เป็นความลับอะไรเลย

หลายร้อยปีมาแล้วในเอาแลค เราไม่มีหลอดไฟฟ้า เอกอัครราชทูตของเราคนหนึ่งหรืออาจจะเป็นผู้แทนคนหนึ่งจากเอาแลคเดินทางไปศึกษาในฝรั่งเศส พอกลับมาถึงบ้านเขาก็รายงานว่าทางตะวันตก ผู้คนมีโคมไฟที่กลับหัวลง เมื่อก่อนเรามีโคมไฟแบบเก่าซึ่งเราต้องเอาวางบนโต๊ะ แต่ในตะวันตก, โคมไฟทั้งหลายกลับหัวลงหมดและน้ำก็ออกมาจากฝาผนัง...หมายถึงน้ำประปา กษัตริย์ตัดศีรษะเขาเลย เพราะกษัตริย์และทั้งระบบการปกครอง ทั้งราชสำนักไม่เชื่อว่ามันเป็นความจริง พวกเขากล่าวหาว่าเขาดูหมิ่นหรือไม่เคารพกษัตริย์มาหลอกพวกเชื้อพระวงศ์เล่น ไม่เพียงแต่ตัดศีรษะเขาเท่านั้น แต่ยังตัดศีรษะของญาติพี่น้องและสมาชิกครอบครัวของเราอีกหลายคนด้วย

นี่เป็นการลงโทษแบบในสมัยก่อนสำหรับคนที่ถูกสงสัยว่าไม่จงรักภักดีต่อผู้ปกครองของประเทศชาติ ปัจจุบันโชคดีที่เราไม่มีความอยุติธรรมเช่นนี้ คนส่วนใหญ่ในโลกรู้ว่าโคมไฟที่กลับหัวลงนั้นเป็นสิ่งที่ปกติมาก ขอบคุณพระเจ้า

ผู้คนจำนวนมากมายขึ้นจะได้รู้แจ้ง

ก็คล้ายๆ กันกับในหลายๆศตวรรษที่ผ่านมาแล้ว การบรรลุทางจิตวิญญาณหรือการได้รู้แจ้งเป็นสิ่งที่ลึกลับมาก เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้มากๆ เป็นความฝันเฟื่องแบบที่ไกลเกินเอื้อมมาก แต่ปัจจุบันนี้มันเป็นหัวข้อที่ธรรมดาๆมากที่บางครั้งคนยกขึ้นมาพูดในร้านกาแฟ ในสวนสาธารณะ  ในรถไฟหรือในรถประจำทาง ฯลฯ นี่เป็นสิ่งที่ดี ยุคสมัยของโลกเราเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เราได้เริ่มที่จะมีชีวิตอยู่ในบรรยากาศอีกแบบหนึ่งแล้วซึ่งคนจำนวนมากขึ้นจะได้รู้แจ้ง และสันติสุขจะเข้าถึงได้มากขึ้นสำหรับมนุษยชาติ ขอให้เราหวังว่าในคนรุ่นต่อๆ ไปในอนาคต ผู้ปกครองทั้งหมดของโลกจะไม่ปกครองโดยใช้กำลังอาวุธ แต่ปกครองด้วยปัญญาและความรักเพราะว่ามนุษย์ทุกคนเป็นพี่น้องกัน

ประเทศต่างๆ ก็คือห้องหับต่างๆ ซึ่งทั้งครอบครัวมีสิทธิ์ที่จะใช้ร่วมกัน และมีชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างสอดคล้องปรองดองกัน ตราบใดที่พวกเราส่วนใหญ่ยังไม่รู้แจ้งและไม่ใช้ปัญญาสูงสุดนี้ในตัวเรา เพื่อดูแลโลกและเพื่อทำทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ โลกของเราจะไม่กลายเป็นแบบที่เราฝันหรือแบบที่เราคาดหวังจะให้มันเป็น ดังนั้นอนาคตของโลกจึงอยู่ในมือของเรา ไม่ได้อยู่กับเฉพาะในบุคคลที่เป็นนักการเมืองหรือผู้ปกครองของมหาประเทศใดๆ

แม้หากว่าจะมีกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งที่ปกครองทั้งโลก ผู้ที่มีปัญญามากอย่างเช่นพระเจ้าโซโลมอนหรือกษัตริย์เดวิดในสมัยก่อน แต่ถ้ามวลชนทั้งหมดกำลังแหวกว่ายอยู่ในอวิชชา ยังโง่เขลาไม่ยอมรับรู้ พระองค์ก็ทำอะไรไม่ได้มาก ดังนั้นตอนที่พระเยซู, พระพุทธเจ้าหรืออาจารย์ท่านอื่นๆยังมีชีวิตอยู่, เนื่องจากการติดต่อสื่อสารในสมัยนั้นยังแย่มาก ข่าวสารเรื่องการรู้แจ้งจึงไม่ได้แพร่หลายไปในหมู่ผู้คนอย่างกว้างขวางมาก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีพระบุตรของพระเจ้าอยู่บนโลก แม้ว่าพวกเขาจะมีพระพุทธเจ้าโลกในตอนนั้นก็ยังคงยุ่งเหยิงวุ่นวาย

ปัจจุบันนี้เนื่องจากมีสิ่งประดิษฐ์ที่วิเศษมากมายหลายอย่าง เราจึงมีระบบสื่อสารที่ดี และมีวิธีการขนส่งที่ รวดเร็ว ดังนั้นผู้คนจำนวนมากในโลกหลายพัน หลายพันล้านคนจึงได้รู้แจ้งแล้วโดยอาศัยนักบุญท่านต่างๆ, อาศัยข่าวสารต่างๆ จากโรงเรียนทางจิตวิญญาณต่างๆ เราสามารถมองเห็นความหวังของยุคทองอยู่ที่ขอบฟ้า โลกของเราขณะนี้, ความขัดแย้งใหญ่ๆหลายอย่างระหว่างชาติที่มีอำนาจก็ได้หยุดลงบ้างแล้วด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ทุกคนสามารถถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะว่าเราไม่ค่อยกลัวสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือครั้งที่ 4 อีกต่อไปมากนัก หรืออย่างน้อยก็ในช่วงเวลานี้

มันเป็นเพราะว่ายุคนี้ผู้คนมากมายได้รู้แจ้งขึ้นแล้วและใช้ปัญญาอวยพรโลกหรือทำให้เพื่อนบ้านรู้แจ้งขึ้น คนหนึ่งนำคนอื่นๆ แล้วในไม่ช้าก็มีหลายคนเพิ่มขึ้น, คนส่วนใหญ่ก็จะใช้ชีวิตอยู่กับปัญญาของพวกเขาที่พวกเขามีกันอยู่ทุกคน และก็ใช้มันไปเพื่ออวยพรโลก ทำให้มันกลายเป็นสวรรค์ ไม่อย่างนั้นก็ไม่สำคัญว่าเราจะพยายามมากมายแค่ไหนด้วยความรู้อันจำกัดของเราจากหนังสือตำราหรือประสบการณ์ในด้านที่เราชำนาญ เราก็ทำได้แต่ช่วยเหลือในส่วนที่เล็กน้อยมากต่อมนุษยชาติ

พระเยซูยิ่งใหญ่และได้รับการเคารพนับถือจากทั้งโลกมาจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ ก็เนื่องมาจากปัญญาของท่าน,ปัญญาสูงสุดภายในตัวท่านเอง พระพุทธเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ในหัวใจของผู้คนในโลกก็เนื่องมาจากปัญญาสูงสุดของท่านหรือธรรมชาติพุทธะ ซึ่งทั้งสองท่านกล่าวว่าพวกเราก็มีสิ่งนี้เช่นกัน พวกเราทุกคนรู้เรื่องนี้กัน เราเคยอ่านเรื่องนี้หมดแล้ว เราเคยเรียนรู้เรื่องนี้จากครูหลายท่าน, จากหนังสือหลายเล่ม แต่เราไม่เคยสงสัยว่า “ฉันจะสามารถได้รับมันได้อย่างไร? ทำไมฉันถึงไม่มีมัน?” คำตอบก็คือเรามีมันจริงๆ เราสามารถมีมัน และเรามีมันอยู่แล้วเสมอมา แต่ว่าเราไม่รู้วิธีที่จะใช้ประโยชน์จากมัน เรายุ่งวุ่นวายมากไปกับความรู้ทางโลกที่เราเรียนรู้มาจากหนังสือต่างๆ, เราภูมิใจมากไปที่รู้อะไรหลายอย่าง แต่ว่าปัญญาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรากลับละเลยไม่ใส่ใจ ก็เหมือนกับเจ้าชาย, โอรสของกษัตริย์, ที่ลืมมรดกทรัพย์สมบัติของเขาไปแล้วก็เที่ยวออกไปขอเศษอาหารกิน น่าเสียดายมาก

แล้วเราก็มาโทษพระเจ้าที่ไม่ช่วยเรา เราโทษพุทธะที่ไม่อวยพรเรา พระเจ้าและพุทธะอวยพรเราอยู่แล้ว, บอกเราแล้วว่าควรจะทำอะไร แต่ส่วนใหญ่เราจะทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม แม้แต่ที่เราเพิ่งจะพูดถึงศีลที่ง่ายๆมากอย่างเช่น “รักเพื่อนบ้านของเธอ” หรือ “เจ้าต้องไม่ฆ่า” แม้กระทั่งแค่นี้พวกเราหลายคนก็ยังรักษาไม่ได้ พระเจ้าบอกไว้แล้ว แนะนำหนทางแห่งสวรรค์ไว้แล้วว่า “ถ้าเธอรักฉัน, จงรักษาบัญญัติของฉัน” ถ้าเราทำอย่างนั้นกัน โลกของเราก็จะกลายเป็นสวรรค์ไปนานแล้ว ตอนนี้ถ้าเราจะโทษพระเจ้า เราก็ควรจะคิดดูอีกที

ไม่ว่าฉันจะไปไหน หลายคนจะถามฉันว่า “ถ้าพระเจ้าทรงสรรพานุภาพ ทำไมท่านไม่เปลี่ยนโลกให้กลายเป็นสวรรค์เสียล่ะ? ทำไมท่านไม่ทำให้ทุกคนดีขึ้น, กลายเป็นเทวดาเป็นอะไรไปล่ะ?” ใช่! ท่านบอกทุกคนแล้วให้กลายเป็นเทวดา แต่ว่าเราไม่ฟังเอง เราไม่อยากจะรักษาบัญญัติของพระเจ้าซึ่งสามารถทำให้โลกของเรากลายเป็นสวรรค์ได้ ทำไมจึงเป็นอย่างนี้? เรารู้ แต่ว่าเราทำไม่ได้ เรารักษาศีลไม่ได้ มันเป็นเพราะว่าเราขาดพลังที่สูงสุด เราไม่มีกำลังความเข้มแข็งที่จะต้านทานความล่อลวงยั่วยวนมากมายหลายอย่างของโลกนี้

ทำให้ชีวิตของเราสวยงามขึ้น ด้วยแสงแห่งการรู้แจ้ง

นั่นไม่ได้หมายความว่าหลังจากการประทับจิตแล้วหรือหลังจากรู้แจ้งแล้ว เธอจะไม่กิน ไม่นอน หรือว่าเธอโยนทรัพย์สมบัติของเธอทั้งหมดทิ้งไป ไม่ใช่แบบนั้น ปรากฏการณ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาทั้งหลายทางโลก เราสามารถมีความสุขพอใจไปกับมันได้ เราเพียงแต่มีความสุขมากขึ้น เพราะว่าเรารู้จักชีวิตแบบสวรรค์....ซึ่งมันจะเสริมส่งชีวิตของเรามากขึ้น ก็เหมือนกับเมื่อก่อนนี้เราไม่มีไฟฟ้า เราไม่มีหลอดไฟ โลกของเราก็ยังคงดำเนินไป แต่ว่าในความมืดมากกว่านิดหน่อย เดี๋ยวนี้เรามีไฟฟ้า เรามีโคมไฟทั่วทุกแห่ง และเราสามารถทำงานไปได้ตลอดทั้งคืนโดยไม่มีปัญหาอะไร มันทำให้ชีวิตของเราสะดวกสบายมากขึ้นน่าพอใจมากขึ้น

ก็คล้ายๆ กัน ชีวิตของเราที่นี่ดีอยู่แล้ว แต่ว่ามันจะดีที่สุดสำหรับเรา ถ้าหากว่าเราได้รู้แจ้ง การรู้แจ้งหมายถึงมีแสงสว่างมากขึ้นสู่ชีวิตของเรา ไม่ใช่แสงสว่างที่ประดิษฐ์ขึ้นมานะ แต่เป็นแสงสว่างที่ยืนยงไปตลอด แล้วกิจกรรมทุกอย่างและทุกสิ่งที่เราทำเราก็เข้าใจแจ่มแจ้งมาก ไม่ใช่ชัดเจนในระดับของความคิดจิตใจ แต่ชัดเจนในระดับที่เหนือจิตสำนึก ดังนั้นเราจะอยู่ในทิศทางที่ถูกต้องเสมอ แม้หากว่าเราจะทำผิดพลาด มันก็ไม่ใช่ความผิดพลาด เราจะรู้ว่ามันเพียงแต่ดูเผินๆว่าเป็นแบบนั้น แต่ที่จริงแล้วมันเป็นแผนการของภราดรภาพของจักรวาล

หลายคนกลัวว่าหลังจากรู้แจ้งแล้ว พวกเขาจะไม่สามารถทำธุรกิจของเขาหรืออาจจะแต่งงานไม่ได้ หรืออาจจะ มีความลำบากยุ่งยากแบบต่างๆ แต่ว่านี่เป็นความคิดที่ผิดๆเกี่ยวกับการรู้แจ้ง การรู้แจ้งควรจะเป็นว่าเราจะเป็นประโยชน์ ต่อโลกมากขึ้น, มีประสิทธิภาพมากขึ้นไม่ว่าเราจะทำอะไร และมีความสุขมากขึ้นในชีวิตของเรา การรู้แจ้งไม่ได้หมายความว่าเราต้องใช้ชีวิตของเราอยู่ในความทุกข์ยากหรือในการบำเพ็ญแบบทรมานตัวเอง เอาขี้เถ้ามาทาทั่วตัวและอะไรทั้งหลายนั้น เธอจะทำอย่างนั้นก็ได้ถ้าเธออยู่ในอินเดีย มันประหยัดในเรื่องเสื้อผ้า แต่ในตะวันตกนี่เราไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น ไม่ว่าเราจะทำอะไร จะทาขี้เถ้าตามตัวหรือไม่ จะโกนศีรษะหรือไม่ หรือจะใส่เสื้อผ้าที่สวยงามหรือจะใส่เสื้อผ้าเก่าขาดโทรมๆ ก็ควรจะทำโดยที่มีการรู้แจ้งด้วยและนั่นคือสิ่งที่เราขาดไป

เราไม่ควรและไม่ต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเรา เราเพียงแต่ต้องปรับปรุงให้มีวิถีชีวิตที่ถูกต้อง เราเพียงแต่ต้องเพิ่มความสว่างเข้ากับจิตวิญญาณของเราให้มากขึ้น ก็เหมือนกับตอนนี้ที่เราเพิ่มหลอดไฟฟ้าเข้ามาในการใช้ชีวิตประจำวันของเรา พอเราค้นพบไฟฟ้าเราก็สามารถใช้ประโยชน์มันได้หลายทาง เราสามารถมีโทรทัศน์ วิทยุ หลอดไฟ ตู้เย็น ฯลฯ ทุกสิ่งที่เราต้องการเราสามารถหามาได้

ไฟฟ้าไม่ได้เป็นสิ่งประดิษฐ์ของมนุษยชาติ มันเป็นการค้นพบอย่างหนึ่ง ก็คล้ายกันคือการรู้แจ้งไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์ของพระพุทธเจ้าหรือพระคริสต์หรือไม่ใช่ของขวัญจากอาจารย์คนใด มันเป็นสิทธิที่ทุกคนมีแต่กำเนิด เป็นมรดกอยู่ภายในเราทุกคน เวลาใดที่เราอยากได้มัน ถ้าเรามีเพื่อนผู้มีประสบการณ์ที่จะแสดงให้เรารู้ตอนแรกว่าจะทำอย่างไร แล้วเราก็จะได้มัน และเราสามารถมีมันตลอดเวลา

เหมือนกับถ้าเธอเดินเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านหลังใหม่หรือบ้านของเธอ แล้วเธอไม่รู้ว่าสวิตช์หรือปลั๊กไฟอยู่ตรงไหน มันก็ยากมากที่จะเดินคลำไปตามผนังตรงนี้ตรงนั้น พยายามจะหาสวิตช์หรือปลั๊กไฟ แต่ถ้ามีใครที่เคยอยู่ในบ้านหลังนั้นและรู้ว่าสวิตช์อยู่ที่ไหนมาบอกเราเท่านั้น เราก็สามารถจะหลับตาทำได้ทุกวันด้วยซ้ำ เพราะว่าเรารู้แล้วว่ามันอยู่ที่ไหนแน่

พวกเราส่วนใหญ่ใช้ชีวิตในชาตินี้พยายามทำไปตามวิธีที่ยาก ใช้วิธีที่ยุ่งยาก ดังนั้นเวลาเราได้ยินใครบอกว่า “การรู้แจ้งนั้นง่าย รู้แจ้งทันที ไม่มีพันธะหรือข้อบังคับใดๆ ทุกอย่าง” เราก็รู้สึกไม่เต็มใจไม่อยากจะเชื่อ

แต่ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? ถ้าของนั้นอยู่ในกระเป๋าของเธออยู่แล้ว และมีคนชี้บอกเธอ ทำไมมันจะยากมากด้วย? มันอยู่ที่นั่นตลอดเวลา ในคัมภีร์ไบเบิลก็มีบอกด้วยว่า “อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในตัวเธอ และจงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าก่อนอื่นใด แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็จะตามมา เอง” มันเป็นแบบนั้นจริงๆ

เราใช้ชีวิตไป ใช้พลังงาน เวลา เงินทอง พยายามจะหาความสุขและปัญญาโดยอาศัยวิธีการทางวัตถุต่างๆวิธี และโดยอาศัยการได้สิ่งต่างๆทางทรัพย์สมบัติ, ความรักหรือทางด้านธุรกิจ แต่ว่าเราก็ไม่เคยพบมัน พอเราพอใจกับจุดหนึ่ง เราก็อยากได้จุดต่อไป แล้วเราก็จะไม่เคยหยุด ลึกในใจเรามีอะไรบางอย่างที่ยังไม่เป็นที่พอใจ มีอะไรที่ว่างเปล่าอยู่เสมอ มันเป็นเพราะว่าจิตใต้สำนึกของเรา, เหนือจิตสำนึกของเรา, รู้ว่าเราขาดสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิตเรา นั่นคือปัญญาสูงสุดซึ่งมีอยู่ที่นั่นให้เราได้ใช้ประโยชน์ เราควรจะใช้มัน, ถ้าเราอยากจะอยู่อย่างมีชีวิตที่แท้จริงและอยากจะมีประสบการณ์กับความสุขที่แท้จริง

ถ้าเราก้าวพ้นการดำรงอยู่ทางวัตถุนี้เข้าไปยังโลกของแสงสว่างและความเป็นจริง แม้แต่เพียงชั่วครู่เดียว เราจะรู้ว่าชีวิตนี้ไม่ได้เป็นชีวิตเดียวและไม่ใช่ชีวิตที่ดีที่สุดที่มีอยู่ มันเป็นแค่สิ่งที่ลอกแบบมาจากชีวิตที่แท้จริง แล้วเราก็จะหมดการยึดติดหรือความรู้สึกของการแข่งขันที่เรามีสำหรับชีวิตอันไม่จีรังมากชีวิตนี้ ด้วยเหตุนี้เวลาที่นักปราชญ์ในสมัยก่อนได้รู้แจ้งแล้ว พวกเขาจึงได้สละทั้งอาณาจักร พวกเขาทำอย่างนั้นได้เพราะว่าพวกเขาได้รับบางสิ่งมา ได้รับอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่กว่าภายในตัวของพวกเขาเอง

พระเยซูกล่าวว่า “อาณาจักรของฉันไม่ได้อยู่บนโลก อาณาจักรของฉันอยู่ในสวรรค์” สวรรค์นั้นอยู่ที่ไหนกันล่ะ? เราจะไปถึงที่นั่นได้อย่างไร? มันอยู่ที่นี่แหละ เราสามารถได้มันมาไม่ว่าเวลาใดถ้าเราต้องการมันอย่างจริงใจ ถ้าเราไม่เห็นสวรรค์ตอนนี้, ในชีวิตนี้, ใครจะแน่ใจได้ว่าเราจะได้มันหลังจากเราตายไปแล้ว เธอเคยทำงานในบริษัทแล้วเจ้านายบอกว่า “เธอทำงานไปเถอะ หลังจากเธอตายแล้ว ฉันจะให้เงินทั้งหมดที่เธอต้องการ”(คนหัวเราะ) เธอจะยอมรับเงื่อนไขนั้นหรือ?

เธอมักจะเชื่อเสมอในสวรรค์ภายหน้าซึ่งเธอมองไม่เห็น ดังนั้นจึงขอเชิญพวกเธอให้มาเห็นสวรรค์บนโลก พอเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็นในชีวิตนี้เป็นแค่สิ่งที่ลอกแบบมา, เป็นเงาของสิ่งที่เป็นจริงแล้ว เราก็จะมีความสุขและทะนุถนอมกระทั่งเงานั้นมากขึ้นด้วยซ้ำ เพราะว่าเรารู้ว่าของจริงนั้นสวยงาม สมมุติว่าเธอรู้จักผู้หญิงสวยคนหนึ่งและเธอรู้จักหล่อนเป็นการส่วนตัว แบบนั้นแม้กระทั่งเวลาหล่อนเข้ามาใกล้เธอ แม้เพียงแค่เห็นเงาของหล่อน...เธอยังไม่เห็นตัวหล่อน, หล่อนอยู่ข้างหลังประตู และเงานั้นทอดออกมาด้าน นอก...เธอก็รู้สึกเสียวซ่านใจแล้ว เพราะว่าเธอสัมพันธ์เชื่อมโยงกับบุคคลคนนั้น และเธอรู้ว่ามันเป็นเงาของ “ที่รักของฉัน” ดังนั้นเธอก็จะรักแม้กระทั่งเงาด้วยเหมือนกัน เธอพอใจต้อนรับเงานั้นเช่นกัน เพราะเธอรู้ว่าเงานั้นมาจากที่รักของเธอ

มองเห็นทะลุปรุโปร่งถึงความเป็นจริงและภาพลวงตา

ก็คล้ายกันเรามีสิ่งต่างๆ มากมายในชีวิตและเราก็พยายามมีความสุขไปกับมัน แต่ส่วนมากความสุขสนุกเพลิดเพลินนั้นจะตื้นและอายุสั้นมาก บางครั้งมันก็พาเอาความทุกข์อีกอย่างหนึ่งมาให้ด้วย แต่ถ้าเรารู้จักความสุขที่แท้จริงแล้ว แม้กระทั่งในชีวิตนี้, เงาของชีวิตที่แท้จริงนี้, เราก็พอใจเช่นกัน เพราะเรารู้ว่าชีวิตนี้มาจากไหนและเรารู้กระทั่งว่าจะปรับเงานั้นอย่างไรเพื่อทำให้มันเหมือนจริงมากขึ้น แต่ก่อนนี้เราไม่รู้ว่าจะยืนอย่างไร มุมไหนจะทำให้เงานั้นสวยขึ้น

ตอนนี้เรารู้แล้ว เราจึงดำเนินชีวิตไปอย่างพึงพอใจ มีความสุข รอคอยเวลาที่จะมาถึงที่เราจะสามารถก้าวเข้าไปในความเป็นจริงที่ยั่งยืนชั่วนิจนิรันดร์ ทิ้งสิ่งที่เรียกว่าความทุกข์ทั้งหมดนี้ไว้ในโลกของเงา ถ้าเราไม่รู้จักชีวิตที่แท้จริงนี้ในขณะที่เรายังคงอยู่ที่นี่ มันก็ยากมากที่จะบอกว่าเราจะรู้จักมันหรือไม่หลังจากที่เราจากโลกนี้ไปแล้ว เพราะว่าเราไม่รู้จักมัน เราจึงกลับมาอีกครั้งแล้วครั้งเล่าแสวงหาสำหรับชีวิตนี้ที่จะหาความสุขเพลิดเพลินที่ไม่เคยพอใจเต็มที่และหวังว่าจะได้รับมันในการเกิดชาติต่อไป ฯลฯ ดังนั้นจึงมีการกลับมาเกิดใหม่อีก

บุคคลที่รู้แจ้งแล้วไม่เคยกลับมาเกิดใหม่อีก เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นความประสงค์ของเขาเองสำหรับจุดมุ่งหมายที่สูงส่งบางอย่างเพื่อจะช่วยพี่น้องที่ทุกข์ยากคนอื่นๆบางคนซึ่งยังคงติดหล่มอยู่ในมายาลวงตาลวงใจอยู่ คนส่วนใหญ่กลับมาเกิดใหม่เพราะแรงดึงของความโน้มเอียงต่างๆแต่ก่อนนี้จากอดีตชาติ พวกเขาต้านทานไม่ไหวที่จะต้องกลับมาเกิดใหม่เนื่องจากความปรารถนาที่ยังไม่บรรลุหลายอย่าง เนื่องจากอุดมการณ์หลายอย่างที่ยังทำไม่สำเร็จ แต่ว่าการใช้ความรู้อันจำกัดซึ่งถูกส่งผ่านจากร่างหนึ่งไปยังอีกร่างหนึ่งในโลกเดียวกัน หมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ตลอดเวลาและเป็นสิ่งเดียวกันนั้น เราไม่มีทางรู้จักทั้งจักรวาล เราไม่มีทางจะจัดการกับสิ่งต่างๆจากรากเหง้าของปัญหาของมัน เป็นเหมือนกับเรารดน้ำต้นไม้ที่ใบและไม่เคยรดที่ราก การที่ได้รู้แจ้งก็คือการรู้ถึงรากเหง้าของทุกสิ่ง ดังนั้นไม่ว่าเราจะทำอะไรมันก็จะถูกต้อง และผู้คนก็จะได้รับผลกระทบจากเราและหันมาสู่แสงสว่าง แล้วทั้งโลกก็จะสดใสขึ้น

แต่เริ่มเดิมทีที่เรามาที่นี่ในตอนแรก เราใช้ชีวิตอยู่ในแสงสว่าง ความสุขและความรุ่งโรจน์ แล้วหลังจากเวลาผ่านไป เราก็กลับกลายพัวพันอยู่กับความสนุกสนานเพลิดเพลินของโลกนี้ เรามีความอยากรู้อยากเห็นกับทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ เราอยากจะรู้ เราอยากจะลิ้มรส เราอยากจะสัมผัส และอยากจะมีประสบการณ์กับทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา แล้วเราก็ค่อยๆเข้ามาสัมผัสติดต่อกับปรากฏการณ์ต่างๆหรือลักษณะที่ปรากฏต่างๆทางวัตถุเหล่านี้ เราได้รับผลกระทบจากธรรมชาติที่เป็นทางด้านวัตถุมากขึ้น แล้วเราก็กลายเป็นสิ่งทางวัตถุมากขึ้นๆ จนในที่สุดเรากลายมาเป็นสิ่งทางวัตถุเป็นส่วนใหญ่ และแสงสว่างนั้นก็หายไปจากสายตา แสงนั้นไม่ได้อันตรธานหรือหายไปหมดจริงๆหรอก เพียงแต่ถูกห่อหุ้มอยู่ในกล่องวัตถุที่หยาบๆ การที่จะพบแสงนี้ได้อีก เราต้องทำลายฝ่าสิ่งกีดขวางที่เป็นทางวัตถุนี้เข้าไป

เรื่องนี้เราสามารถทำได้ด้วยวิธีเฉพาะอย่างหนึ่ง ก็เหมือนกับเรื่องทางวิทยาศาสตร์ทุกอย่าง เมื่อเรามีวิธีเราก็สามารถจะทำได้ เหมือนกับผู้หญิงสามารถมีครรภ์ได้ส่วนผู้ชายทำไม่ได้ ดังนั้นจึงมีวิถีทางหนึ่งสู่การรู้แจ้ง ส่วนวิธีอื่นๆไม่ได้ผลอะไรนัก นักปราชญ์ทั้งหลายในสมัยโบราณได้ค้นพบวิธีนี้ ที่จริงแล้วไม่ใช่ว่ามันถูกค้นพบหรอก วิธีนี้ถูกนำมาส่งจากสวรรค์โดยอาศัยพระบุตรหรือลูกๆคนต่างๆของพระเจ้าในช่วงเวลาต่างๆกันไป เพื่อเตือนใจมนุษยชาติถึงสภาพดั้งเดิมอันรุ่งโรจน์ของพวกเขา และเตือนว่าพวกเขาไม่ควรลืมแหล่งกำเนิดดั้งเดิมของพวกเขาและไม่ควรเกลือกกลิ้งอยู่ในความทุกข์ของพวกเขาซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นเลย เพราะฉะนั้นเราจึงมาที่นี่ในวันนี้เพื่อแบ่งปันข่าวดีและเทคนิคที่ง่ายๆมากนี้ที่จะฝ่าผ่านเครื่องห่อหุ้มทางวัตถุนี้ไปเพื่อจะได้ติดต่อกับความรุ่งโรจน์ที่แท้จริงของพวกคุณอีก

คำถาม & คำตอบ

ถ: ทำไมจิตวิญญาณจึงถูกซ่อนเร้นจากตัวเรา?

อ: ทำไมหรือ? ก็เพราะว่าเราเพียงแต่มองดูออกไปภายนอก ไม่ดูว่าจิตวิญญาณอยู่ที่ไหน สมมุติว่าฉันกำลังนั่งอยู่ตรงนี้ และเธอก็กำลังมองดูอยู่ที่ประตูด้านหลังตลอด แล้วเธอจะเห็นฉันหรือ? ไม่หรอก, ใช่ไหม? ก็เท่านั้นเอง ฉันไม่ได้ถูกซ่อนเอาไว้จากเธอ มันเป็นเพียงแต่ว่าเธอไม่อยากจะเห็นฉัน เป็นตัวอย่างนะก็คล้ายๆ กับจิตวิญญาณของเรานั่นแหละ

ถ: ถ้าเราควรจะมีชีวิตอยู่ในความสอดคล้องปรองดองกัน ทำไมเราถึงได้สร้างความกลัวขึ้นมาที่ทำให้เราต้องต่อสู้?

อ: เราไม่ได้สร้างความกลัว เรามีความกลัวเพราะว่าเราไม่มีพลังที่จะต้านทานความกลัว เราไม่รู้จักกำลังความแข็งแรงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราซึ่งอยู่ภายในตัวเราเอง ทันทีที่เรารู้จักมัน ความกลัวของเราก็จะหายไป นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะเอาชนะความกลัว...คือรู้จักความยิ่งใหญ่ของเรา รู้จักกำลังความแข็งแรงของเรา ยอดปัญญาของเรา

ถ: มีความแตกต่างอะไรไหมระหว่างพระเจ้ากับพุทธะ?

อ: ใช่ มีความแตกต่าง; แต่ว่า ก็ไม่มีความแตกต่างอะไร พระเจ้าเป็นรูปแบบในแง่ที่ไม่ปรากฏแสดงรูปร่างให้เห็นชัดของพลังแห่งจักรวาล ส่วนพุทธะเป็นรูปแบบที่แสดงให้เห็นรูปร่าง ภายในพุทธะมีพลังแห่งจักรวาล พุทธะมาจากพลังแห่งจักรวาล และก็มีพลังแห่งจักรวาลนี้ด้วย

ถ: กรุณาเล่าถึงบทบาทของความชั่วในชีวิต

อ: ความชั่วเป็นแรงพิเศษที่เราสร้างขึ้นมาด้วยกันกับผู้อื่นขณะที่กำลังมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันในชีวิตของเรา ยกตัวอย่างเช่น, ฉันอยู่ที่นี่คนเดียวไม่มีอะไรจะทำและไม่มีธุระอะไรกับใคร แล้วอยู่ๆก็มีคนอื่นเข้ามาหา ถามอะไรบางอย่าง อยากจะทำอะไรบางอย่าง แล้วเราเกิดมีความเข้าใจผิดกันขึ้น เราสร้างบรรยากาศที่ก้าวร้าวมากขึ้นมาแล้วคนคนนั้นก็อาจจะชกหน้าฉันให้ก็ได้

ทีนี้ถ้าฉันชกเขากลับไม่ได้เพราะฉันไม่มีแรง ฉันก็พยายามจะจดจำเรื่องนี้เอาไว้ตลอดเวลา พยายามหาโอกาสไหนก็ได้ที่จะให้อะไรตอบแทนกลับที่เขาทำกับฉันไว้ นี่เป็นการเพาะความเกลียดชังขึ้นมา ความเกลียดไม่ได้มีอยู่ที่นั่นในตอนแรก แต่ว่ามันถูกสร้างขึ้นมาเนื่องจากความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันระหว่างฉันกับคนคนนั้น นั่นคือความชั่วร้าย ดั้งเดิมทีแรกไม่ได้มีความชั่วอยู่ ความชั่วมีอยู่หลังจากที่เราพยายามจะรักษาสภาพทางด้านบวกหรือด้านที่ดีของธรรมชาติของเราแล้วเราทำไม่สำเร็จ หลังจากที่เราพยายามจะระลึกถึงความดีงามและการยกโทษของเราไม่สำเร็จ และหลังจากที่เราไม่ผ่านการทดสอบของชีวิต เราสามารถสร้างสวรรค์ขึ้นมา

ถ: การสร้างความชั่วขึ้นมาเป็นการเล่นสนุกๆของจิตวิญญาณหรือ?

อ: ไม่ใช่, ฉันบอกเธอไปแล้วว่า มันเป็นการสร้างขึ้นมาของตัวเราเอง เพราะฉะนั้นก็คล้ายๆ กันคือ เราสามารถสร้างสวรรค์ขึ้นมาได้ถ้าเราอยากจะสร้าง ทุกครั้งที่เราแผ่ความรักความเมตตากรุณา ความอดทนและความเข้าใจต่อผู้อื่นออกไป นั่นคือเราสร้างสวรรค์ขึ้น

ถ: อัตตาจำเป็นจะต้องเปิดสู่ความชั่วนี้หรือว่ารวมมันเข้าไว้ด้วยกันหรือ?

อ: อัตตาไม่ได้ทำอะไรเลย อัตตาคือความชั่วเอง อัตตาคือความรู้สึกของความหยิ่งทะนงภาคภูมิใจของแต่ละบุคคล, ของความหยิ่งยโสอวดดีในตัวเอง ฉะนั้นเราจึงไม่ควรยุ่งสนใจอยู่กับเรื่องนี้ด้วยซ้ำ เราควรจะรู้จักความยิ่งใหญ่ของตัวเราแทนที่จะภาคภูมิใจกับความรู้และความสำเร็จนิดๆหน่อยๆของเรา เมื่อไรที่เราภาคภูมิใจกับความสำเร็จหรือความรู้เล็กๆน้อยๆ ของเราในชีวิตนี้ นั่นก็คือเวลาที่อัตตาเข้ามาแทนที่จิตวิญญาณของเรา นี่ไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับเรา เราควรจะทำอะไรไปโดยปราศจากความรู้สึกภาคภูมิใจหรือการขอสิ่งตอบแทน

ถ: สำหรับการรู้แจ้งนั้น, การช่วยบริการรับใช้มนุษยชาติด้วยความรักสำคัญเท่าๆกับการทำสมาธิหรือเปล่า? หรือว่าการช่วยเหลือสำคัญมากกว่าหรือสำคัญน้อยกว่าการฝึกบำเพ็ญสมาธิ?

อ: ทั้ง 2 อย่างต้องไปด้วยกัน เราทำสมาธิเพราะว่าเราอยากจะบริการช่วยเหลือให้ดีขึ้น เราอยากจะเห็นแจ่มแจ้งมากขึ้นในสิ่งที่เราทำ ฉะนั้นเราก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการทำงานของเราและช่วยผู้อื่นได้มากขึ้น ถ้าไม่ทำสมาธิ, บางครั้งเรามีเจตนาที่ดีที่สุดและตั้งใจจะบริการช่วยเหลือผู้คน แต่ว่าเราไม่รู้ว่าวิธีไหนที่ดีที่สุด ฉะนั้นการทำสมาธิจึงเป็นองค์ประกอบที่ช่วยให้เราบริการช่วยเหลืออย่างไม่มีตัวตนที่แท้จริง

ถ: เป็นไปได้ไหมที่จะใช้ชีวิตแบบที่เป็นอิสระจากความสงสัยและความกลัวอย่างสมบูรณ์ไปตลอดกาล และถ้าเป็นไปได้ เราจำเป็นจะต้องทำอะไรหรือว่าไม่ทำอะไร?

อ: ความกลัวและความวิตกกังวลมาจากความมืด จากความไม่รู้ จากความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้เท่านั้นเอง ทันทีที่เราได้รู้จักด้านที่มั่นคงของธรรมชาติ, ด้านที่แท้จริงของชีวิตของเรา ความกลัวและความวิตกกังวลก็จะหายไป เรากลัวก็เพราะว่าเราคิดว่าหลังจากชีวิตนี้แล้ว เราไม่มีอะไรเลย เรากลัวก็เพราะว่าเรารู้จักแต่ความเป็นอยู่ที่ไม่จีรังยั่งยืนของโลกนี้ ถ้าเรารู้ว่าชีวิตเป็นนิรันดร์ ถ้าเรารู้ว่าเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล เราจะไม่มีความกลัวเลย เพราะฉะนั้นฉันจึงขอเชิญให้พวกเธอได้รู้จักกับตัวเธอเองโดยอาศัยวิธีการประทับจิต

ถ: พระเจ้าเป็นความนึกคิดอย่างหนึ่ง  เป็นความเข้าใจอย่างหนึ่ง แต่มันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เหนือความเข้าใจและคำพูดใดๆซึ่งมีข้อแม้ในเรื่องความจำกัดอยู่เสมอ ชีวิตที่ไม่มีที่สิ้นสุด, เป็นนิรันดร์และสากลทั่วไปเป็นอยู่เฉพาะในปัจจุบันเท่านั้น ความอมตะนิรันดรเป็นรูปแบบของที่นี่ ตอนนี้ความคิดและเวลาปิดกั้นมันจากประสบการณ์ของชีวิตเรา เพราะฉะนั้นฉันคิดว่าเราได้แต่ผ่านพบอะไรอยู่ในปัจจุปันเท่านั้น ฉะนั้น ชั่วเวลาชีวิตนี้จึงสำคัญที่สุด ท่านคิดว่าอย่างไร?

อ: แน่ละ แต่เธอไม่ได้ประสบกับมันจริง เธอเพียงแต่พูดตามคำพูดที่คนอื่นพูด ความอมตะนิรันดรอยู่ในเวลาปัจจุบัน, ถูกต้อง ยกตัวอย่างเช่น: ตอนนี้, ฉันหลับตาหรือไม่หลับตา, ฉันก็เห็นสภาพความเป็นจริงและอยู่ในโลกที่แบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายในเวลาเดียวกันนี้ ดังนั้นฉันจึงสามารถพูดกับตัวเองและกับเธอได้ว่าความอมตะนิรันดร์อยู่ที่นี ขณะนี้ ในปัจจุบัน! แต่ตราบใดที่เธอมองไม่เห็นมัน เธอก็เห็นแต่ความเป็นสอง เธอเห็นแต่ในโลกวัตถุ ฉะนั้น ที่นี่ ขณะนี้ อดีต, ปัจจุบันหรืออนาคต มันก็เป็นแบบเดียวกันสำหรับเธอ สภาพความเป็นจริงมันแตกต่างจากโลกนี้ แตกต่างจากสิ่งที่เรารู้เนื่องจากเราเกิดมาในความเป็นอยู่ที่เป็นทางวัตถุ

เพราะฉะนั้นถ้าเรามองไม่เห็น เราก็จะมาอ้างไม่ได้ว่า สภาพความเป็นจริงอยู่ที่นี่และในขณะนี้ สิ่งที่เราเห็นอยู่รอบตัวเราในตอนนี้ไม่ใช่สภาพความเป็นจริง สภาพความเป็นจริงเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากชีวิตนี้ นอกเหนือจากสิ่งที่เธอเห็นที่นี่ นอกเหนือจากร่างทางวัตถุที่เรารู้จัก ถ้าเรามองเห็นมันในเวลาเดียวกันกับที่เราเห็นร่างกายนี่ เป็นจริงเหมือนๆกับเห็นร่างกายนี้และสิ่งแวดล้อมทั้งหลายนี้ แบบนั้นเราจึงจะอ้างได้ว่าเราเห็นสภาพความเป็นจริงที่นี่และขณะนี้ ตลอดเวลา

ถ: จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากตายไปแล้ว?

อ: ฉันรู้ว่าเธออยากจะรู้จริงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นหลังจากชีวิตนี้ เพราะฉะนั้นฉันจะพยายามอธิบายให้เธอฟังถึงแม้ว่าฉันจะยังไม่ได้ตายอย่างสมบูรณ์ก็ตาม ฉันตายไปครึ่งหนึ่ง(อาจารย์หัวเราะ) เพราะธุระต่างๆ กับการทัวร์รอบโลกนี้ ฉันก็ตายไปครึ่งหนึ่งเสมอ

อย่างไรก็ดี, สิ่งที่เกิดขึ้นหลังความตายมันก็ขึ้นอยู่กับตัวเธอ ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเป็นคนดีมีคุณธรรม, ถูกต้อง มีความรัก ความเมตตากรุณามากในขณะที่ยังมีชีวิตเป็น มนุษย์อยู่ในโลก หลังจากที่เรียกว่าตายแล้ว เราก็จะถูกพาไปยังคฤหาสน์ที่สมควรกับเราซึ่งเรียกว่าสวรรค์ แต่นี่ก็ไม่ได้เป็นนิรันดร์ตลอดไป เพราะว่าบุญกุศลของเราไม่ได้เป็นนิรันดร์ไม่รู้จักหมด สวรรค์ตามส่วนนี้จึงไม่ได้ชั่วนิรันดร์ การที่จะมีสวรรค์ชั่วนิรันดร์เราต้องหาแหล่งชั่วนิรันดร์ของบุญ ซึ่งก็คืออาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดภายในตัวเรา ซึ่งเป็นบุญชั่วนิรันดร์ในตัวของมันเอง

ทีนี้ถ้าในชีวิตนี้เรากำลังทำสิ่งที่ตรงข้ามซึ่งขัดกับบัญญัติต่างๆ ของพระเจ้า และต่ำกว่ามาตรฐานของมนุษยชาติ เราก็คงจะต้องถดถอยลงมาสู่ระดับที่ต่ำลงของจิตสำนึก, ของความเป็นอยู่ เพื่อที่จะมาประสบกับสิ่งที่เราขาดไปใหม่, กับสิ่งที่เราต้องหามาให้กับความรู้ของเรา หลังจากเวลาผ่านไประยะหนึ่งเราก็จะได้รับการยกขึ้นมาสู่มาตรฐานมนุษย์อีกครั้ง ถ้าเรายังดีขึ้นๆอีกเหนือมาตรฐานมนุษย์ เราก็จะถูกชวนเชิญและได้รับการยกขึ้นสู่สวรรค์ ผู้ประทับจิตคือผู้ที่จะเข้าสู่อาณาจักรชั่วนิรันดร์และจะไม่กลับมาเกิดบนโลกนี้หรือโลกทางโลกอื่นใดอีก

ถ: ท่านอาจารย์ที่รัก ฉันจะกำจัดความคิดที่เลวๆได้อย่างไร?

อ: การที่จะกำจัดความคิดที่เลวๆ เธอต้องแทนที่มันด้วยความคิดที่ดีๆ ง่ายมาก เธอไม่อยากจะใส่ชุดสีดำก็โยนมันทิ้งไปแล้วก็ใส่ชุดสีขาวแทน

ถ: อาจารย์กรุณาพูดถึงธรรมชาติพุทธะภายในตัวเราให้มากกว่านี้หน่อยได้ไหม?

อ: ธรรมชาติพุทธะ (ตัวตนที่แท้จริงของเรา) คือสิ่งที่เรียกว่า พลังของอาจารย์ผู้สูงสุด ซึ่งทำให้ทั้งจักรวาลเคลื่อนไป, ซึ่งทำให้ทุกสิ่งมีชีวิตและสวยงาม ซึ่งทำให้เราฉลาดและมีความรัก และซึ่งปล่อยให้ร่างกายของเราไร้ชีวิตหลังจากที่มันตัดสินใจที่จะถอนตัวออกจากร่างนั้น หรือไม่ใช้เครื่องมือนั้นอีกต่อไป ถ้าเรารู้จักธรรมชาติพุทธะนี้ ก็ไม่มีอะไรที่เราไม่รู้และไม่มีอะไรที่เราจะปรารถนา

นั่นไม่ได้หมายความว่าเรากลายเป็นท่อนไม้เป็นรูปร่างที่เป็นไม้ไป เรามีทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์มี เรามีอารมณ์ เรามีความรู้สึก และเรามีรสนิยมของความพอใจในความงาม สัจธรรมและความดี แต่อารมณ์ต่างๆที่เรามีในตอนนี้อยู่ในความควบคุม เราจะใช้มันเวลาที่จำเป็นและเราจะเก็บมันกลับคืนเวลาที่เราต้องการ นี่คือข้อแตกต่างระหว่างผู้ที่รู้จักธรรมชาติพุทธะของตนกับผู้ที่ไม่รู้จัก

ผู้ที่รู้จักธรรมชาติพุทธะของเขาจะมีความสุขอยู่เสมอ ไม่สำคัญว่าอยู่ในสภาพแวดล้อมอะไร เขาอาจจะยากจนมาก อาจจะร่ำรวยมาก อาจจะมีตำแหน่งสูงสุดยอดทางการเมือง หรืออาจจะเป็นแค่คนเก็บขยะ แต่เขาจะเป็นอิสระสิ้นจากความวิตกกังวลและความกลัวอยู่เสมอ มีความพอใจเสมอไม่ว่าในสถานการณ์ใดที่พบว่าตนเองอยู่ในนั้น นี่คือข้อแตกต่าง

ถ: เราต้องทำสมาธิไปนานเท่าไหร่จึงจะบรรลุการรู้แจ้ง?

อ: การรู้แจ้งเกิดขึ้นทันที พอเธอนั่งลงอยู่กับอาจารย์และต้องการมันอย่างจริงใจ มันก็จะมาทันที ก่อนจะทันทีเสียอีก บางครั้งฉันยังแนะนำไม่ทันจบเลย คนก็ได้รู้แจ้งแล้ว คนบางคนรีบมาก ไม่มีเวลาจะคอย(คนหัวเราะ) แต่การทำสมาธิต้องทำทุกวัน เพราะว่าเราต้องการจะอยู่ในสภาพที่รู้แจ้งเสมอ เราอยากจะฟื้นฟูการได้รับการรู้แจ้งของเราใหม่อีกและเรายังอยากจะยืดมันขยายไปจนไม่มีที่สิ้นสุด ไม่อย่างนั้น แม้ว่าเธอจะทำสมาธิไปร้อยปีเธอก็จะไม่ได้รับการรู้แจ้งอะไรเลย

การทำสมาธิไม่ได้นำการรู้แจ้งมาให้ แต่พลังอาจารย์ต่างหากที่นำ เพราะระหว่างการประทับจิตหรือระหว่างที่เรียกว่าการทำสมาธิตามวิธีของเรา เธอไม่ได้ทำสมาธิ การทำสมาธิหมายถึงความพยายาม แต่ในวิธีของเรามันไม่มีการพยายาม เธออาจจะนั่งอยู่ บางทีแม้กระทั่งหลับ การรู้แจ้งก็เกิดขึ้นแม้ในตอนนั้น หรือเธอจะได้รู้แจ้งในระหว่างหลับ พลังอาจารย์จะปลุกจิตวิญญาณของเธอในขณะที่ความคิดจิตใจของเธอยังหลับอยู่ ร่างกายของเธอพักผ่อนอยู่...จิตวิญญาณของเธอจะถูกปลุกให้เข้าสู่โลกของแสงและปัญญา

ดังนั้น การทำสมาธิจึงไม่ใช่วิถีทางสู่การรู้แจ้ง แต่เนื่องจากไม่มีคำศัพท์ในโลกนี้ เราจึงต้องเรียกมันว่าการทำสมาธิ ที่จริงแล้วเธอเพียงแต่นั่งอยู่ตรงนั้น รับพระพรของพระเจ้า และรับรู้ถึงพลังสูงสุดของเธอเอง ที่จริงไม่มีการทำสมาธิมาเกี่ยวข้อง เพราะว่าสิ่งใดที่หามาได้นั้นมันเป็นผลของการกระทำอะไรบางอย่าง ยังเป็นผลิตผลของทางโลก ยังอยู่ภายในโครงร่างทางวัตถุ ดังนั้นการทำสมาธิของเราจึงเป็นการทำสมาธิที่ไม่ใช่สมาธิ...เป็นการทำสมาธิที่ไม่ใช้ความพยายาม (คนปรบมือ)

ถ: ท่านอาจารย์ที่รัก ฉันทำสมาธิวันละ 30 นาที แต่ว่าฉันเพ่งความสนใจไม่ได้เลยหลังจากผ่านไปได้ 10 นาที เป็นเพราะกรรมหนักที่ฉันมีหรือ? ขอบคุณ

อ: ไม่ใช่, มันเป็นแต่เพียงนิสัยอย่างหนึ่ง พวกเราส่วนใหญ่เคยชินมากกับการมองออกไปภายนอกและให้ความสนใจกับสิ่งภายนอก ดังนั้นเวลาเราพยายามจะดึงความสนใจของเรากลับเข้ามาภายใน มันจึงยาก มันเคยชินกับการวิ่งออกไปข้างนอกอีก ให้พยายามทำต่อไปแล้วเธอก็จะดีขึ้น

ถ: คนที่รู้สึกมีความรักน้อยจะกลายมามีความรักมากขึ้นได้อย่างไร?

อ: รู้แจ้งให้มากขึ้น แล้วเราก็จะมีความรักมากขึ้น นี่คือวัตถุประสงค์ของการรู้แจ้ง การรู้แจ้งทำให้เรามีความรักมากขึ้น อดทนมากขึ้น มีความเข้าใจมากขึ้น นี่คือผลที่ดีที่สุด