เพื่อจะร่วมแบ่งปันบรรยากาศของนักปราชญ์สมัยโบราณของยุคทอง
ในเวลา 2-3 ชั่วโมงนี้เราสามารถจะลืมอย่างน้อยก็ความโศกเศร้าของเรา
ความเกลียดของเรา
ความกดดันของเราไปบ้างเพื่อผสมกลมกลืนตัวเราเองเข้ากับปรัชญาอันสูงส่งของนักบุญต่างๆ
ในโบราณกาล
พวกคุณจะได้รับเชิญให้เข้าร่วมในช่วงเวลาทองของจุดมุ่งหมายที่สูงขึ้นของชีวิต
เปิดปัญญาของเราเพื่อติดต่อกับเครือข่ายของจักรวาล
โลกของเราสวยงามมากๆ
เมื่อเปรียบเทียบกับโลกอื่นๆ
อีกหลายโลกที่เรารู้จักหรืออาจจะไม่รู้จักก็ได้
ลองแกล้งทำเป็นว่าเรารู้จักบางโลกก็แล้วกัน
พูดตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วยังมีดาวเคราะห์อื่นๆ
อีกบางดาวที่ถูกค้นพบแล้วซึ่งไม่สวยงามเท่าโลกของเรา
ฉะนั้นเราจึงแสดงความยินดีกับตัวเราเองได้ที่มีสวรรค์น้อยๆ
เช่นนี้ที่ซึ่งเรามีน้ำ
มีความเขียวชอุ่มและมีอากาศ
แม้แต่อากาศก็ตามเถอะ
เพราะว่าในดาวเคราะห์หรือ โลกอื่นบางโลก
อากาศที่นั่นไม่สดชื่นกระปรี้กระเปร่า
บางทีมันก็มีสิ่งปนเปื้อนมากและสิ่งมีชีวิตไม่สามารถแม้แต่จะพักอาศัยอยู่ที่นั่นได้
โลกของเราได้รับการทำให้สวยงามขึ้นวันแล้ววันเล่า
จนเราได้มีความสะดวกสบายในปัจจุบันนี้
เรามีชีวิตที่ดีขึ้นด้วยการมีไฟฟ้าและสิ่งประดิษฐ์ที่เจริญพัฒนาทั้งหลาย
นี่เป็นเพียงเรื่องที่เกี่ยวกับความสบายทางวัตถุเท่านั้น
ก็คล้ายๆ กัน
ถ้าจิตวิญญาณของเราซึ่งสำคัญมากกว่าเนื้อหนังเสียอีกนั้นได้รับการติดตั้งเครื่องมือที่ทำให้สบายมากหลายอย่างมากขึ้น
ชีวิตของเราก็จะดีขึ้นมากด้วย
ร่างกายมนุษย์เราหรือชีวิตมนุษย์ของเราไม่เพียงแต่ประกอบด้วยลักษณะปรากฏทางวัตถุของร่างกาย
หรือพลังอำนาจในการคิดของสมอง
แต่เรายังมีบางสิ่งบางอย่างที่นอกเหนือจากสองสิ่งนี้ซึ่งก็คือจิตวิญญาณ
จิตวิญญาณ ปัญญา
หรือพลังสูงสุดซึ่งอยู่ภายในตัวเราคือสิ่งที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมีชีวิตขึ้นมา
และสนับสนุนค้ำจุนทุกอย่างนั้น
ดังนั้นขณะที่เรากำลังเป็นแบบที่เรียกว่ามีชีวิตอยู่นี้เราจึงสามารถเคลื่อนไหว
สามารถพูดคุย สามารถคิด สามารถรัก สามารถสืบสวนค้นคว้า สามารถทำอะไรได้หลายอย่าง
แต่เมื่อสิ่งที่เรียกว่าจิตวิญญาณออกจากตัวเราไป
ถึงตอนนั้นแม้ว่าร่างกายเดิมจะยังคงอยู่
เราก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้เลย
ฉะนั้นถ้าขณะที่ยังมีชีวิตอยู่เราเรียนรู้จิตวิญญาณนี้ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่อยู่เบื้องหลังกิจกรรมของการมีชีวิตของเราทั้งหมด
เราก็จะฉลาดรอบรู้มากขึ้น
รู้แจ้งมากขึ้นและก็แน่นอน,
พึงพอใจมากขึ้นด้วย
มิฉะนั้นแม้ว่าเราจะมีความสะดวกสบายมากมายในชีวิตและอารยธรรมความเจริญของเราได้ขึ้นสู่จุดที่สูงขนาดนี้ในประวัติศาสตร์
พวกเราหลายคนก็ยังคงไม่มีความสุขอยู่ดี
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราอยากจะทำในชีวิต
มีอุดมการณ์หลายอย่างที่เราอยากจะทำให้สำเร็จ
แต่ว่าเราไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร
แม้ว่าเราจะรู้วิธีเริ่มต้น
เราก็ไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นทิศทางที่ถูกหรือเปล่า
ดังนั้น หลายครั้ง
เราจะไม่ประสบผลสำเร็จทั้งๆที่เรามีความจริงใจ
สวดอธิษฐาน
และมีความตั้งใจที่ดีที่จะบริการรับใช้ช่วยเหลือโลกส่วนรวม
มันก็ยากที่จะไปถึงเป้าหมายของเรา
มันเป็นเพราะว่าเราไม่รู้จักจิตวิญญาณ
หรือพลังสูงสุดซึ่งซ่อนตัวอยู่สงบภายในตัวเราทุกคน
ก็เหมือนกับคนที่มีทรัพย์สมบัติมากมายในบ้านแต่ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน
ดังนั้นเราจึงไม่สามารถจะใช้ประโยชน์จากมันเพื่อให้ชีวิตของเราดีขึ้นได้
ฉันแน่ใจว่าพวกเราทุกคนที่นี่และคนส่วนใหญ่ใน
โลกปรารถนาสันติภาพ
ความสุขที่แท้จริงและความงามทั้งภายในและภายนอก
แต่ทำไมส่วนใหญ่เราจึงใช้จ่ายเงินทองและเวลาไปมากมายในเรื่องบางเรื่องแต่ว่ามันก็ไม่สามารถทำได้สำเร็จ?
มันเป็นเพราะว่าเราไม่ได้เข้าหาปัญหาทั้งหลายจากทางด้านที่ถูกต้อง
เป็นเพราะว่าเราไม่ได้ใช้ปัญญาสูงสุดของเราในการทำงานทุกอย่างของเรา
ที่จริงแล้วอะไรก็ตามที่เราเรียนรู้ภายนอก
เป็นแบบเดียวกันในพวกเราทุกคน
อะไรก็ตามที่เราพยายามเรียนรู้ด้วยสมองด้วยความคิดจิตใจซึ่งเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ชั้นยอดของเรา
เราจะไม่มีทางได้รับผลสำเร็จ 100%เต็ม
นอกจากนี้ยังมีสิ่งต่างๆ
ที่จะทำมากมายหลายอย่างในชีวิต,
มีหลายโครงการที่เราอยากจะทำให้สำเร็จด้วยพลังอันจำกัดมากของคอมพิวเตอร์เครื่องนี้เท่านั้น
ถึงแม้ว่ามันจะมีคุณภาพดีที่สุด
แต่บางครั้งมันก็เสียได้
เวลาเราใส่เชื้อเพลิงที่ผิดๆ เข้าไป
อย่างเช่นใส่วิสกี้เข้าไปมากเกินไปในวันหนึ่งๆ
มันก็จะซิกแซ็กและอาจจะไม่ทำงานไปวันหรือสองวัน
หรือเราใส่ยาเสพติดหรืออะไรบางอย่างที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อพลังในการคิดของเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรามากเกินไป
แต่ถ้าเราทำสิ่งต่างๆ
ด้วยมหาปัญญาของเรา
ด้วยพลังสติปัญญาส่วนกลางซึ่งเชื่อมต่อกับเครือข่ายของทั้งจักรวาล
ตอนนั้นเราก็จะสามารถทำสิ่งมหัศจรรย์ได้หลายอย่าง
แต่ถึงกระนั้นเราก็ไม่ได้ใช้ความพยายามอะไรเลย
นี่คือสิ่งที่เล่าจื๊อเรียกว่า ทำโดยไม่ได้ทำ
ปฏิบัติในแบบที่ไม่มีการปฏิบัติ
เราจะทำแบบนี้สำเร็จได้อย่างไร?
ง่ายมาก
ผู้เป็นอาจารย์ทุกท่านในอดีตได้สัญญากับเราไว้ว่าอะไรก็ตามที่พวกท่านทำ
เราก็สามารถทำได้เช่นกัน
ถ้าพวกท่านกลายเป็นพุทธะ (ผู้รู้แจ้งแล้ว)
เราก็กลายเป็นพุทธะได้เช่นกัน
เพราะว่าอะไรก็ตามที่พวกท่านมีหรือได้มีหรือได้ค้นพบแล้ว
เราก็มีเช่นกัน มนุษย์ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน
มันขึ้นอยู่กับว่าเราใช้ประโยชน์จากทรัพย์สมบัติของเราหรือเปล่า
พระเจ้า, ถ้าหากว่ามี
(พระเจ้า) สักท่าน
จะไม่บังคับผลักดันเรา
เพราะว่าเราเป็นสิ่งสร้างสรรค์ที่ได้รับการเคารพนับถือมากที่สุดในทั้งจักรวาล
เราอยู่ที่ส่วนยอดสุดของสิ่งสร้างสรรค์ทั้งปวง
และอำเภอใจของเราก็เป็นสิ่งที่เด็ดขาดสมบูรณ์ที่สุด
เพราะว่าพระเจ้าได้สร้างมนุษย์ตามพระฉายาหรือรูปลักษณ์ของท่านเอง
ดังนั้นความประสงค์ของมนุษย์ก็คือพระเจ้า
อย่างไรก็ตาม
เราลืมกันไปแล้วที่จะใช้อำเภอใจของเราในบางครั้งเพื่อทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นหรือเพื่ออวยพรโลกนี้
เรากลับใช้พลังนี้ไปอย่างผิดๆ
ดังนั้นหลายครั้งจึงทำให้เกิดหายนะภัยพิบัติแก่
โลกอันสวยงามของเราและก็ต่อชีวิตของเรา
ความแตกต่างระหว่างสวรรค์กับโลก
หรือสวรรค์กับนรกนั้นต่างกันเพียงแค่เส้นยาแดงเดียวเท่านั้น
แตกต่างอย่างเดียวที่ความสนใจของเรา
เราดึงกลับเข้ามาสนใจข้างใน
แทนที่จะกระจายมันออกไปภายนอก
แล้วเราก็จะรู้จักอาณาจักรของพระเจ้า
แต่คนส่วนใหญ่คิดว่าสิ่งนี้เป็นไปไม่ได้
ในขณะที่ผู้บำเพ็ญที่มีประสบการณ์ของวิถีนี้รู้ว่ามันง่ายมาก
เรียบง่ายมาก แม้แต่เด็กๆ
อายุตั้งแต่หกขวบก็ยังสามารถทำได้
และคนสูงอายุที่อายุถึงหกสิบปีหรือบางครั้งก็มากกว่านั้นก็ยังทำได้
ทุกคนสามารถทำได้
เพราะว่าทุกคนมีพลังนี้อยู่ภายในตัวเอง
ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่า ฉันกับมนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน
ทำไมพวกเขาถึงไม่รู้ในเรื่องนี้?
และพระเยซูก็กล่าวว่า สิ่งที่ฉันทำ,
เธอสามารถทำได้ดีกว่า
ดีกว่าไม่ได้หมายความว่าเราจะสูงเหนือกว่าท่าน
ดีกว่าหมายความว่าในอนาคต
เราจะมีอิสรภาพมากกว่าที่จะใช้พลังของเรา
ที่จะสื่อข่าวสารที่ดีนี้ไปยังผู้คนจำนวนมากขึ้นกว่า
ในขณะที่ท่านมีเวลาเทศน์สั่งสอนอยู่แค่สามปีครึ่งเท่านั้น
พวกเราในสมัยใหม่นี้สามารถใช้การพัฒนาทางเทคนิคที่สูงๆหลายอย่างในการสื่อสารกับมวลชนได้
ดังนั้นท่านจึงกล่าวว่า สิ่งที่ฉันทำ,
เธอสามารถทำได้ดีกว่า
มันเป็นคำทำนายสำหรับอนาคตที่ได้รับอิสรภาพมากขึ้น
อนาคตที่เสรีมากขึ้น
ในสมัยของพระเยซู
กิจกรรมต่างๆ ทางด้านศาสนาหรือสัจธรรมได้รับความหวาดเกรง
ได้รับการข่มเหงกลั่นแกล้ง ซ่อนเร้นจากมวลชน
เพราะว่านักปกครองนักการเมืองในสมัยนั้นกลัวว่าใครที่มีอำนาจจะทำให้มวลชนเคลื่อนไหว
ไม่สำคัญว่าพลังอำนาจนั้นจะเป็นเพื่อสิ่งที่ดีสำหรับมนุษยชาติหรือไม่
มันเป็นแค่การต่อสู้แย่งชิงอำนาจเท่านั้นเอง
จึงเป็นผลที่ทำไมในสมัยโบราณหรืออาจจะกระทั่งถึงเมื่อเร็วๆ
นี้
เราจึงไม่ได้มีโอกาสมากนักที่จะเรียนรู้ถึงความลับต่างๆทางจิตวิญญาณซึ่งที่จริงแล้วก็ไม่ได้เป็นความลับอะไรเลย
หลายร้อยปีมาแล้วในเอาแลค
เราไม่มีหลอดไฟฟ้า
เอกอัครราชทูตของเราคนหนึ่งหรืออาจจะเป็นผู้แทนคนหนึ่งจากเอาแลคเดินทางไปศึกษาในฝรั่งเศส
พอกลับมาถึงบ้านเขาก็รายงานว่าทางตะวันตก
ผู้คนมีโคมไฟที่กลับหัวลง
เมื่อก่อนเรามีโคมไฟแบบเก่าซึ่งเราต้องเอาวางบนโต๊ะ
แต่ในตะวันตก,
โคมไฟทั้งหลายกลับหัวลงหมดและน้ำก็ออกมาจากฝาผนัง...หมายถึงน้ำประปา
กษัตริย์ตัดศีรษะเขาเลย
เพราะกษัตริย์และทั้งระบบการปกครอง
ทั้งราชสำนักไม่เชื่อว่ามันเป็นความจริง
พวกเขากล่าวหาว่าเขาดูหมิ่นหรือไม่เคารพกษัตริย์มาหลอกพวกเชื้อพระวงศ์เล่น
ไม่เพียงแต่ตัดศีรษะเขาเท่านั้น
แต่ยังตัดศีรษะของญาติพี่น้องและสมาชิกครอบครัวของเราอีกหลายคนด้วย
นี่เป็นการลงโทษแบบในสมัยก่อนสำหรับคนที่ถูกสงสัยว่าไม่จงรักภักดีต่อผู้ปกครองของประเทศชาติ
ปัจจุบันโชคดีที่เราไม่มีความอยุติธรรมเช่นนี้
คนส่วนใหญ่ในโลกรู้ว่าโคมไฟที่กลับหัวลงนั้นเป็นสิ่งที่ปกติมาก
ขอบคุณพระเจ้า
ผู้คนจำนวนมากมายขึ้นจะได้รู้แจ้ง
ก็คล้ายๆ
กันกับในหลายๆศตวรรษที่ผ่านมาแล้ว
การบรรลุทางจิตวิญญาณหรือการได้รู้แจ้งเป็นสิ่งที่ลึกลับมาก
เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้มากๆ
เป็นความฝันเฟื่องแบบที่ไกลเกินเอื้อมมาก
แต่ปัจจุบันนี้มันเป็นหัวข้อที่ธรรมดาๆมากที่บางครั้งคนยกขึ้นมาพูดในร้านกาแฟ
ในสวนสาธารณะ ในรถไฟหรือในรถประจำทาง ฯลฯ
นี่เป็นสิ่งที่ดี
ยุคสมัยของโลกเราเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
เราได้เริ่มที่จะมีชีวิตอยู่ในบรรยากาศอีกแบบหนึ่งแล้วซึ่งคนจำนวนมากขึ้นจะได้รู้แจ้ง
และสันติสุขจะเข้าถึงได้มากขึ้นสำหรับมนุษยชาติ
ขอให้เราหวังว่าในคนรุ่นต่อๆ
ไปในอนาคต
ผู้ปกครองทั้งหมดของโลกจะไม่ปกครองโดยใช้กำลังอาวุธ
แต่ปกครองด้วยปัญญาและความรักเพราะว่ามนุษย์ทุกคนเป็นพี่น้องกัน
ประเทศต่างๆ ก็คือห้องหับต่างๆ
ซึ่งทั้งครอบครัวมีสิทธิ์ที่จะใช้ร่วมกัน
และมีชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างสอดคล้องปรองดองกัน
ตราบใดที่พวกเราส่วนใหญ่ยังไม่รู้แจ้งและไม่ใช้ปัญญาสูงสุดนี้ในตัวเรา
เพื่อดูแลโลกและเพื่อทำทุกสิ่งทุกอย่าง
ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่
โลกของเราจะไม่กลายเป็นแบบที่เราฝันหรือแบบที่เราคาดหวังจะให้มันเป็น
ดังนั้นอนาคตของโลกจึงอยู่ในมือของเรา
ไม่ได้อยู่กับเฉพาะในบุคคลที่เป็นนักการเมืองหรือผู้ปกครองของมหาประเทศใดๆ
แม้หากว่าจะมีกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งที่ปกครองทั้งโลก
ผู้ที่มีปัญญามากอย่างเช่นพระเจ้าโซโลมอนหรือกษัตริย์เดวิดในสมัยก่อน
แต่ถ้ามวลชนทั้งหมดกำลังแหวกว่ายอยู่ในอวิชชา
ยังโง่เขลาไม่ยอมรับรู้
พระองค์ก็ทำอะไรไม่ได้มาก
ดังนั้นตอนที่พระเยซู,
พระพุทธเจ้าหรืออาจารย์ท่านอื่นๆยังมีชีวิตอยู่,
เนื่องจากการติดต่อสื่อสารในสมัยนั้นยังแย่มาก
ข่าวสารเรื่องการรู้แจ้งจึงไม่ได้แพร่หลายไปในหมู่ผู้คนอย่างกว้างขวางมาก
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีพระบุตรของพระเจ้าอยู่บนโลก
แม้ว่าพวกเขาจะมีพระพุทธเจ้าโลกในตอนนั้นก็ยังคงยุ่งเหยิงวุ่นวาย
ปัจจุบันนี้เนื่องจากมีสิ่งประดิษฐ์ที่วิเศษมากมายหลายอย่าง
เราจึงมีระบบสื่อสารที่ดี
และมีวิธีการขนส่งที่ รวดเร็ว
ดังนั้นผู้คนจำนวนมากในโลกหลายพัน
หลายพันล้านคนจึงได้รู้แจ้งแล้วโดยอาศัยนักบุญท่านต่างๆ,
อาศัยข่าวสารต่างๆ
จากโรงเรียนทางจิตวิญญาณต่างๆ
เราสามารถมองเห็นความหวังของยุคทองอยู่ที่ขอบฟ้า
โลกของเราขณะนี้,
ความขัดแย้งใหญ่ๆหลายอย่างระหว่างชาติที่มีอำนาจก็ได้หยุดลงบ้างแล้วด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง
ทุกคนสามารถถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เพราะว่าเราไม่ค่อยกลัวสงครามโลกครั้งที่ 3
หรือครั้งที่ 4 อีกต่อไปมากนัก
หรืออย่างน้อยก็ในช่วงเวลานี้
มันเป็นเพราะว่ายุคนี้ผู้คนมากมายได้รู้แจ้งขึ้นแล้วและใช้ปัญญาอวยพรโลกหรือทำให้เพื่อนบ้านรู้แจ้งขึ้น
คนหนึ่งนำคนอื่นๆ
แล้วในไม่ช้าก็มีหลายคนเพิ่มขึ้น,
คนส่วนใหญ่ก็จะใช้ชีวิตอยู่กับปัญญาของพวกเขาที่พวกเขามีกันอยู่ทุกคน
และก็ใช้มันไปเพื่ออวยพรโลก
ทำให้มันกลายเป็นสวรรค์
ไม่อย่างนั้นก็ไม่สำคัญว่าเราจะพยายามมากมายแค่ไหนด้วยความรู้อันจำกัดของเราจากหนังสือตำราหรือประสบการณ์ในด้านที่เราชำนาญ
เราก็ทำได้แต่ช่วยเหลือในส่วนที่เล็กน้อยมากต่อมนุษยชาติ
พระเยซูยิ่งใหญ่และได้รับการเคารพนับถือจากทั้งโลกมาจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้
ก็เนื่องมาจากปัญญาของท่าน,ปัญญาสูงสุดภายในตัวท่านเอง
พระพุทธเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ในหัวใจของผู้คนในโลกก็เนื่องมาจากปัญญาสูงสุดของท่านหรือธรรมชาติพุทธะ
ซึ่งทั้งสองท่านกล่าวว่าพวกเราก็มีสิ่งนี้เช่นกัน
พวกเราทุกคนรู้เรื่องนี้กัน
เราเคยอ่านเรื่องนี้หมดแล้ว
เราเคยเรียนรู้เรื่องนี้จากครูหลายท่าน,
จากหนังสือหลายเล่ม แต่เราไม่เคยสงสัยว่า ฉันจะสามารถได้รับมันได้อย่างไร?
ทำไมฉันถึงไม่มีมัน? คำตอบก็คือเรามีมันจริงๆ
เราสามารถมีมัน และเรามีมันอยู่แล้วเสมอมา
แต่ว่าเราไม่รู้วิธีที่จะใช้ประโยชน์จากมัน
เรายุ่งวุ่นวายมากไปกับความรู้ทางโลกที่เราเรียนรู้มาจากหนังสือต่างๆ,
เราภูมิใจมากไปที่รู้อะไรหลายอย่าง
แต่ว่าปัญญาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรากลับละเลยไม่ใส่ใจ
ก็เหมือนกับเจ้าชาย, โอรสของกษัตริย์,
ที่ลืมมรดกทรัพย์สมบัติของเขาไปแล้วก็เที่ยวออกไปขอเศษอาหารกิน
น่าเสียดายมาก
แล้วเราก็มาโทษพระเจ้าที่ไม่ช่วยเรา
เราโทษพุทธะที่ไม่อวยพรเรา
พระเจ้าและพุทธะอวยพรเราอยู่แล้ว,
บอกเราแล้วว่าควรจะทำอะไร
แต่ส่วนใหญ่เราจะทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม
แม้แต่ที่เราเพิ่งจะพูดถึงศีลที่ง่ายๆมากอย่างเช่น
รักเพื่อนบ้านของเธอ หรือ เจ้าต้องไม่ฆ่า
แม้กระทั่งแค่นี้พวกเราหลายคนก็ยังรักษาไม่ได้
พระเจ้าบอกไว้แล้ว
แนะนำหนทางแห่งสวรรค์ไว้แล้วว่า ถ้าเธอรักฉัน,
จงรักษาบัญญัติของฉัน ถ้าเราทำอย่างนั้นกัน
โลกของเราก็จะกลายเป็นสวรรค์ไปนานแล้ว
ตอนนี้ถ้าเราจะโทษพระเจ้า
เราก็ควรจะคิดดูอีกที
ไม่ว่าฉันจะไปไหน
หลายคนจะถามฉันว่า ถ้าพระเจ้าทรงสรรพานุภาพ
ทำไมท่านไม่เปลี่ยนโลกให้กลายเป็นสวรรค์เสียล่ะ?
ทำไมท่านไม่ทำให้ทุกคนดีขึ้น,
กลายเป็นเทวดาเป็นอะไรไปล่ะ? ใช่!
ท่านบอกทุกคนแล้วให้กลายเป็นเทวดา
แต่ว่าเราไม่ฟังเอง
เราไม่อยากจะรักษาบัญญัติของพระเจ้าซึ่งสามารถทำให้โลกของเรากลายเป็นสวรรค์ได้
ทำไมจึงเป็นอย่างนี้? เรารู้
แต่ว่าเราทำไม่ได้ เรารักษาศีลไม่ได้
มันเป็นเพราะว่าเราขาดพลังที่สูงสุด
เราไม่มีกำลังความเข้มแข็งที่จะต้านทานความล่อลวงยั่วยวนมากมายหลายอย่างของโลกนี้
ทำให้ชีวิตของเราสวยงามขึ้น
ด้วยแสงแห่งการรู้แจ้ง
นั่นไม่ได้หมายความว่าหลังจากการประทับจิตแล้วหรือหลังจากรู้แจ้งแล้ว
เธอจะไม่กิน ไม่นอน
หรือว่าเธอโยนทรัพย์สมบัติของเธอทั้งหมดทิ้งไป
ไม่ใช่แบบนั้น
ปรากฏการณ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาทั้งหลายทางโลก
เราสามารถมีความสุขพอใจไปกับมันได้
เราเพียงแต่มีความสุขมากขึ้น
เพราะว่าเรารู้จักชีวิตแบบสวรรค์....ซึ่งมันจะเสริมส่งชีวิตของเรามากขึ้น
ก็เหมือนกับเมื่อก่อนนี้เราไม่มีไฟฟ้า
เราไม่มีหลอดไฟ โลกของเราก็ยังคงดำเนินไป
แต่ว่าในความมืดมากกว่านิดหน่อย
เดี๋ยวนี้เรามีไฟฟ้า เรามีโคมไฟทั่วทุกแห่ง
และเราสามารถทำงานไปได้ตลอดทั้งคืนโดยไม่มีปัญหาอะไร
มันทำให้ชีวิตของเราสะดวกสบายมากขึ้นน่าพอใจมากขึ้น
ก็คล้ายๆ กัน
ชีวิตของเราที่นี่ดีอยู่แล้ว
แต่ว่ามันจะดีที่สุดสำหรับเรา
ถ้าหากว่าเราได้รู้แจ้ง
การรู้แจ้งหมายถึงมีแสงสว่างมากขึ้นสู่ชีวิตของเรา
ไม่ใช่แสงสว่างที่ประดิษฐ์ขึ้นมานะ
แต่เป็นแสงสว่างที่ยืนยงไปตลอด
แล้วกิจกรรมทุกอย่างและทุกสิ่งที่เราทำเราก็เข้าใจแจ่มแจ้งมาก
ไม่ใช่ชัดเจนในระดับของความคิดจิตใจ
แต่ชัดเจนในระดับที่เหนือจิตสำนึก
ดังนั้นเราจะอยู่ในทิศทางที่ถูกต้องเสมอ
แม้หากว่าเราจะทำผิดพลาด
มันก็ไม่ใช่ความผิดพลาด
เราจะรู้ว่ามันเพียงแต่ดูเผินๆว่าเป็นแบบนั้น
แต่ที่จริงแล้วมันเป็นแผนการของภราดรภาพของจักรวาล
หลายคนกลัวว่าหลังจากรู้แจ้งแล้ว
พวกเขาจะไม่สามารถทำธุรกิจของเขาหรืออาจจะแต่งงานไม่ได้
หรืออาจจะ มีความลำบากยุ่งยากแบบต่างๆ
แต่ว่านี่เป็นความคิดที่ผิดๆเกี่ยวกับการรู้แจ้ง
การรู้แจ้งควรจะเป็นว่าเราจะเป็นประโยชน์
ต่อโลกมากขึ้น,
มีประสิทธิภาพมากขึ้นไม่ว่าเราจะทำอะไร
และมีความสุขมากขึ้นในชีวิตของเรา
การรู้แจ้งไม่ได้หมายความว่าเราต้องใช้ชีวิตของเราอยู่ในความทุกข์ยากหรือในการบำเพ็ญแบบทรมานตัวเอง
เอาขี้เถ้ามาทาทั่วตัวและอะไรทั้งหลายนั้น
เธอจะทำอย่างนั้นก็ได้ถ้าเธออยู่ในอินเดีย
มันประหยัดในเรื่องเสื้อผ้า
แต่ในตะวันตกนี่เราไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น
ไม่ว่าเราจะทำอะไร จะทาขี้เถ้าตามตัวหรือไม่
จะโกนศีรษะหรือไม่
หรือจะใส่เสื้อผ้าที่สวยงามหรือจะใส่เสื้อผ้าเก่าขาดโทรมๆ
ก็ควรจะทำโดยที่มีการรู้แจ้งด้วยและนั่นคือสิ่งที่เราขาดไป
เราไม่ควรและไม่ต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเรา
เราเพียงแต่ต้องปรับปรุงให้มีวิถีชีวิตที่ถูกต้อง
เราเพียงแต่ต้องเพิ่มความสว่างเข้ากับจิตวิญญาณของเราให้มากขึ้น
ก็เหมือนกับตอนนี้ที่เราเพิ่มหลอดไฟฟ้าเข้ามาในการใช้ชีวิตประจำวันของเรา
พอเราค้นพบไฟฟ้าเราก็สามารถใช้ประโยชน์มันได้หลายทาง
เราสามารถมีโทรทัศน์ วิทยุ หลอดไฟ ตู้เย็น
ฯลฯ ทุกสิ่งที่เราต้องการเราสามารถหามาได้
ไฟฟ้าไม่ได้เป็นสิ่งประดิษฐ์ของมนุษยชาติ
มันเป็นการค้นพบอย่างหนึ่ง
ก็คล้ายกันคือการรู้แจ้งไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์ของพระพุทธเจ้าหรือพระคริสต์หรือไม่ใช่ของขวัญจากอาจารย์คนใด
มันเป็นสิทธิที่ทุกคนมีแต่กำเนิด
เป็นมรดกอยู่ภายในเราทุกคน
เวลาใดที่เราอยากได้มัน
ถ้าเรามีเพื่อนผู้มีประสบการณ์ที่จะแสดงให้เรารู้ตอนแรกว่าจะทำอย่างไร
แล้วเราก็จะได้มัน และเราสามารถมีมันตลอดเวลา
เหมือนกับถ้าเธอเดินเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง
เป็นบ้านหลังใหม่หรือบ้านของเธอ
แล้วเธอไม่รู้ว่าสวิตช์หรือปลั๊กไฟอยู่ตรงไหน
มันก็ยากมากที่จะเดินคลำไปตามผนังตรงนี้ตรงนั้น
พยายามจะหาสวิตช์หรือปลั๊กไฟ
แต่ถ้ามีใครที่เคยอยู่ในบ้านหลังนั้นและรู้ว่าสวิตช์อยู่ที่ไหนมาบอกเราเท่านั้น
เราก็สามารถจะหลับตาทำได้ทุกวันด้วยซ้ำ
เพราะว่าเรารู้แล้วว่ามันอยู่ที่ไหนแน่
พวกเราส่วนใหญ่ใช้ชีวิตในชาตินี้พยายามทำไปตามวิธีที่ยาก
ใช้วิธีที่ยุ่งยาก
ดังนั้นเวลาเราได้ยินใครบอกว่า การรู้แจ้งนั้นง่าย
รู้แจ้งทันที ไม่มีพันธะหรือข้อบังคับใดๆ
ทุกอย่าง เราก็รู้สึกไม่เต็มใจไม่อยากจะเชื่อ
แต่ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?
ถ้าของนั้นอยู่ในกระเป๋าของเธออยู่แล้ว
และมีคนชี้บอกเธอ ทำไมมันจะยากมากด้วย?
มันอยู่ที่นั่นตลอดเวลา
ในคัมภีร์ไบเบิลก็มีบอกด้วยว่า อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในตัวเธอ
และจงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าก่อนอื่นใด
แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็จะตามมา เอง
มันเป็นแบบนั้นจริงๆ
เราใช้ชีวิตไป ใช้พลังงาน
เวลา เงินทอง
พยายามจะหาความสุขและปัญญาโดยอาศัยวิธีการทางวัตถุต่างๆวิธี
และโดยอาศัยการได้สิ่งต่างๆทางทรัพย์สมบัติ,
ความรักหรือทางด้านธุรกิจ
แต่ว่าเราก็ไม่เคยพบมัน พอเราพอใจกับจุดหนึ่ง
เราก็อยากได้จุดต่อไป แล้วเราก็จะไม่เคยหยุด
ลึกในใจเรามีอะไรบางอย่างที่ยังไม่เป็นที่พอใจ
มีอะไรที่ว่างเปล่าอยู่เสมอ
มันเป็นเพราะว่าจิตใต้สำนึกของเรา,
เหนือจิตสำนึกของเรา,
รู้ว่าเราขาดสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิตเรา
นั่นคือปัญญาสูงสุดซึ่งมีอยู่ที่นั่นให้เราได้ใช้ประโยชน์
เราควรจะใช้มัน,
ถ้าเราอยากจะอยู่อย่างมีชีวิตที่แท้จริงและอยากจะมีประสบการณ์กับความสุขที่แท้จริง
ถ้าเราก้าวพ้นการดำรงอยู่ทางวัตถุนี้เข้าไปยังโลกของแสงสว่างและความเป็นจริง
แม้แต่เพียงชั่วครู่เดียว
เราจะรู้ว่าชีวิตนี้ไม่ได้เป็นชีวิตเดียวและไม่ใช่ชีวิตที่ดีที่สุดที่มีอยู่
มันเป็นแค่สิ่งที่ลอกแบบมาจากชีวิตที่แท้จริง
แล้วเราก็จะหมดการยึดติดหรือความรู้สึกของการแข่งขันที่เรามีสำหรับชีวิตอันไม่จีรังมากชีวิตนี้
ด้วยเหตุนี้เวลาที่นักปราชญ์ในสมัยก่อนได้รู้แจ้งแล้ว
พวกเขาจึงได้สละทั้งอาณาจักร
พวกเขาทำอย่างนั้นได้เพราะว่าพวกเขาได้รับบางสิ่งมา
ได้รับอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่กว่าภายในตัวของพวกเขาเอง
พระเยซูกล่าวว่า อาณาจักรของฉันไม่ได้อยู่บนโลก
อาณาจักรของฉันอยู่ในสวรรค์
สวรรค์นั้นอยู่ที่ไหนกันล่ะ?
เราจะไปถึงที่นั่นได้อย่างไร?
มันอยู่ที่นี่แหละ
เราสามารถได้มันมาไม่ว่าเวลาใดถ้าเราต้องการมันอย่างจริงใจ
ถ้าเราไม่เห็นสวรรค์ตอนนี้, ในชีวิตนี้,
ใครจะแน่ใจได้ว่าเราจะได้มันหลังจากเราตายไปแล้ว
เธอเคยทำงานในบริษัทแล้วเจ้านายบอกว่า เธอทำงานไปเถอะ
หลังจากเธอตายแล้ว
ฉันจะให้เงินทั้งหมดที่เธอต้องการ(คนหัวเราะ)
เธอจะยอมรับเงื่อนไขนั้นหรือ?
เธอมักจะเชื่อเสมอในสวรรค์ภายหน้าซึ่งเธอมองไม่เห็น
ดังนั้นจึงขอเชิญพวกเธอให้มาเห็นสวรรค์บนโลก
พอเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็นในชีวิตนี้เป็นแค่สิ่งที่ลอกแบบมา,
เป็นเงาของสิ่งที่เป็นจริงแล้ว
เราก็จะมีความสุขและทะนุถนอมกระทั่งเงานั้นมากขึ้นด้วยซ้ำ
เพราะว่าเรารู้ว่าของจริงนั้นสวยงาม
สมมุติว่าเธอรู้จักผู้หญิงสวยคนหนึ่งและเธอรู้จักหล่อนเป็นการส่วนตัว
แบบนั้นแม้กระทั่งเวลาหล่อนเข้ามาใกล้เธอ
แม้เพียงแค่เห็นเงาของหล่อน...เธอยังไม่เห็นตัวหล่อน,
หล่อนอยู่ข้างหลังประตู
และเงานั้นทอดออกมาด้าน นอก...เธอก็รู้สึกเสียวซ่านใจแล้ว
เพราะว่าเธอสัมพันธ์เชื่อมโยงกับบุคคลคนนั้น
และเธอรู้ว่ามันเป็นเงาของ ที่รักของฉัน
ดังนั้นเธอก็จะรักแม้กระทั่งเงาด้วยเหมือนกัน
เธอพอใจต้อนรับเงานั้นเช่นกัน
เพราะเธอรู้ว่าเงานั้นมาจากที่รักของเธอ
มองเห็นทะลุปรุโปร่งถึงความเป็นจริงและภาพลวงตา
ก็คล้ายกันเรามีสิ่งต่างๆ
มากมายในชีวิตและเราก็พยายามมีความสุขไปกับมัน
แต่ส่วนมากความสุขสนุกเพลิดเพลินนั้นจะตื้นและอายุสั้นมาก
บางครั้งมันก็พาเอาความทุกข์อีกอย่างหนึ่งมาให้ด้วย
แต่ถ้าเรารู้จักความสุขที่แท้จริงแล้ว
แม้กระทั่งในชีวิตนี้,
เงาของชีวิตที่แท้จริงนี้, เราก็พอใจเช่นกัน
เพราะเรารู้ว่าชีวิตนี้มาจากไหนและเรารู้กระทั่งว่าจะปรับเงานั้นอย่างไรเพื่อทำให้มันเหมือนจริงมากขึ้น
แต่ก่อนนี้เราไม่รู้ว่าจะยืนอย่างไร
มุมไหนจะทำให้เงานั้นสวยขึ้น
ตอนนี้เรารู้แล้ว
เราจึงดำเนินชีวิตไปอย่างพึงพอใจ มีความสุข
รอคอยเวลาที่จะมาถึงที่เราจะสามารถก้าวเข้าไปในความเป็นจริงที่ยั่งยืนชั่วนิจนิรันดร์
ทิ้งสิ่งที่เรียกว่าความทุกข์ทั้งหมดนี้ไว้ในโลกของเงา
ถ้าเราไม่รู้จักชีวิตที่แท้จริงนี้ในขณะที่เรายังคงอยู่ที่นี่
มันก็ยากมากที่จะบอกว่าเราจะรู้จักมันหรือไม่หลังจากที่เราจากโลกนี้ไปแล้ว
เพราะว่าเราไม่รู้จักมัน
เราจึงกลับมาอีกครั้งแล้วครั้งเล่าแสวงหาสำหรับชีวิตนี้ที่จะหาความสุขเพลิดเพลินที่ไม่เคยพอใจเต็มที่และหวังว่าจะได้รับมันในการเกิดชาติต่อไป
ฯลฯ ดังนั้นจึงมีการกลับมาเกิดใหม่อีก
บุคคลที่รู้แจ้งแล้วไม่เคยกลับมาเกิดใหม่อีก
เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นความประสงค์ของเขาเองสำหรับจุดมุ่งหมายที่สูงส่งบางอย่างเพื่อจะช่วยพี่น้องที่ทุกข์ยากคนอื่นๆบางคนซึ่งยังคงติดหล่มอยู่ในมายาลวงตาลวงใจอยู่
คนส่วนใหญ่กลับมาเกิดใหม่เพราะแรงดึงของความโน้มเอียงต่างๆแต่ก่อนนี้จากอดีตชาติ
พวกเขาต้านทานไม่ไหวที่จะต้องกลับมาเกิดใหม่เนื่องจากความปรารถนาที่ยังไม่บรรลุหลายอย่าง
เนื่องจากอุดมการณ์หลายอย่างที่ยังทำไม่สำเร็จ
แต่ว่าการใช้ความรู้อันจำกัดซึ่งถูกส่งผ่านจากร่างหนึ่งไปยังอีกร่างหนึ่งในโลกเดียวกัน
หมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ตลอดเวลาและเป็นสิ่งเดียวกันนั้น
เราไม่มีทางรู้จักทั้งจักรวาล
เราไม่มีทางจะจัดการกับสิ่งต่างๆจากรากเหง้าของปัญหาของมัน
เป็นเหมือนกับเรารดน้ำต้นไม้ที่ใบและไม่เคยรดที่ราก
การที่ได้รู้แจ้งก็คือการรู้ถึงรากเหง้าของทุกสิ่ง
ดังนั้นไม่ว่าเราจะทำอะไรมันก็จะถูกต้อง
และผู้คนก็จะได้รับผลกระทบจากเราและหันมาสู่แสงสว่าง
แล้วทั้งโลกก็จะสดใสขึ้น
แต่เริ่มเดิมทีที่เรามาที่นี่ในตอนแรก
เราใช้ชีวิตอยู่ในแสงสว่าง
ความสุขและความรุ่งโรจน์
แล้วหลังจากเวลาผ่านไป
เราก็กลับกลายพัวพันอยู่กับความสนุกสนานเพลิดเพลินของโลกนี้
เรามีความอยากรู้อยากเห็นกับทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้
เราอยากจะรู้ เราอยากจะลิ้มรส เราอยากจะสัมผัส
และอยากจะมีประสบการณ์กับทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา
แล้วเราก็ค่อยๆเข้ามาสัมผัสติดต่อกับปรากฏการณ์ต่างๆหรือลักษณะที่ปรากฏต่างๆทางวัตถุเหล่านี้
เราได้รับผลกระทบจากธรรมชาติที่เป็นทางด้านวัตถุมากขึ้น
แล้วเราก็กลายเป็นสิ่งทางวัตถุมากขึ้นๆ
จนในที่สุดเรากลายมาเป็นสิ่งทางวัตถุเป็นส่วนใหญ่
และแสงสว่างนั้นก็หายไปจากสายตา
แสงนั้นไม่ได้อันตรธานหรือหายไปหมดจริงๆหรอก
เพียงแต่ถูกห่อหุ้มอยู่ในกล่องวัตถุที่หยาบๆ
การที่จะพบแสงนี้ได้อีก
เราต้องทำลายฝ่าสิ่งกีดขวางที่เป็นทางวัตถุนี้เข้าไป
เรื่องนี้เราสามารถทำได้ด้วยวิธีเฉพาะอย่างหนึ่ง
ก็เหมือนกับเรื่องทางวิทยาศาสตร์ทุกอย่าง
เมื่อเรามีวิธีเราก็สามารถจะทำได้
เหมือนกับผู้หญิงสามารถมีครรภ์ได้ส่วนผู้ชายทำไม่ได้
ดังนั้นจึงมีวิถีทางหนึ่งสู่การรู้แจ้ง
ส่วนวิธีอื่นๆไม่ได้ผลอะไรนัก
นักปราชญ์ทั้งหลายในสมัยโบราณได้ค้นพบวิธีนี้
ที่จริงแล้วไม่ใช่ว่ามันถูกค้นพบหรอก
วิธีนี้ถูกนำมาส่งจากสวรรค์โดยอาศัยพระบุตรหรือลูกๆคนต่างๆของพระเจ้าในช่วงเวลาต่างๆกันไป
เพื่อเตือนใจมนุษยชาติถึงสภาพดั้งเดิมอันรุ่งโรจน์ของพวกเขา
และเตือนว่าพวกเขาไม่ควรลืมแหล่งกำเนิดดั้งเดิมของพวกเขาและไม่ควรเกลือกกลิ้งอยู่ในความทุกข์ของพวกเขาซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นเลย
เพราะฉะนั้นเราจึงมาที่นี่ในวันนี้เพื่อแบ่งปันข่าวดีและเทคนิคที่ง่ายๆมากนี้ที่จะฝ่าผ่านเครื่องห่อหุ้มทางวัตถุนี้ไปเพื่อจะได้ติดต่อกับความรุ่งโรจน์ที่แท้จริงของพวกคุณอีก
คำถาม & คำตอบ
ถ:
ทำไมจิตวิญญาณจึงถูกซ่อนเร้นจากตัวเรา?
อ: ทำไมหรือ?
ก็เพราะว่าเราเพียงแต่มองดูออกไปภายนอก
ไม่ดูว่าจิตวิญญาณอยู่ที่ไหน
สมมุติว่าฉันกำลังนั่งอยู่ตรงนี้
และเธอก็กำลังมองดูอยู่ที่ประตูด้านหลังตลอด
แล้วเธอจะเห็นฉันหรือ? ไม่หรอก, ใช่ไหม?
ก็เท่านั้นเอง ฉันไม่ได้ถูกซ่อนเอาไว้จากเธอ
มันเป็นเพียงแต่ว่าเธอไม่อยากจะเห็นฉัน
เป็นตัวอย่างนะก็คล้ายๆ
กับจิตวิญญาณของเรานั่นแหละ
ถ:
ถ้าเราควรจะมีชีวิตอยู่ในความสอดคล้องปรองดองกัน
ทำไมเราถึงได้สร้างความกลัวขึ้นมาที่ทำให้เราต้องต่อสู้?
อ:
เราไม่ได้สร้างความกลัว
เรามีความกลัวเพราะว่าเราไม่มีพลังที่จะต้านทานความกลัว
เราไม่รู้จักกำลังความแข็งแรงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราซึ่งอยู่ภายในตัวเราเอง
ทันทีที่เรารู้จักมัน ความกลัวของเราก็จะหายไป
นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะเอาชนะความกลัว...คือรู้จักความยิ่งใหญ่ของเรา
รู้จักกำลังความแข็งแรงของเรา ยอดปัญญาของเรา
ถ:
มีความแตกต่างอะไรไหมระหว่างพระเจ้ากับพุทธะ?
อ: ใช่ มีความแตกต่าง;
แต่ว่า ก็ไม่มีความแตกต่างอะไร
พระเจ้าเป็นรูปแบบในแง่ที่ไม่ปรากฏแสดงรูปร่างให้เห็นชัดของพลังแห่งจักรวาล
ส่วนพุทธะเป็นรูปแบบที่แสดงให้เห็นรูปร่าง
ภายในพุทธะมีพลังแห่งจักรวาล
พุทธะมาจากพลังแห่งจักรวาล
และก็มีพลังแห่งจักรวาลนี้ด้วย
ถ:
กรุณาเล่าถึงบทบาทของความชั่วในชีวิต
อ:
ความชั่วเป็นแรงพิเศษที่เราสร้างขึ้นมาด้วยกันกับผู้อื่นขณะที่กำลังมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันในชีวิตของเรา
ยกตัวอย่างเช่น,
ฉันอยู่ที่นี่คนเดียวไม่มีอะไรจะทำและไม่มีธุระอะไรกับใคร
แล้วอยู่ๆก็มีคนอื่นเข้ามาหา ถามอะไรบางอย่าง
อยากจะทำอะไรบางอย่าง
แล้วเราเกิดมีความเข้าใจผิดกันขึ้น
เราสร้างบรรยากาศที่ก้าวร้าวมากขึ้นมาแล้วคนคนนั้นก็อาจจะชกหน้าฉันให้ก็ได้
ทีนี้ถ้าฉันชกเขากลับไม่ได้เพราะฉันไม่มีแรง
ฉันก็พยายามจะจดจำเรื่องนี้เอาไว้ตลอดเวลา
พยายามหาโอกาสไหนก็ได้ที่จะให้อะไรตอบแทนกลับที่เขาทำกับฉันไว้
นี่เป็นการเพาะความเกลียดชังขึ้นมา
ความเกลียดไม่ได้มีอยู่ที่นั่นในตอนแรก
แต่ว่ามันถูกสร้างขึ้นมาเนื่องจากความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันระหว่างฉันกับคนคนนั้น
นั่นคือความชั่วร้าย
ดั้งเดิมทีแรกไม่ได้มีความชั่วอยู่
ความชั่วมีอยู่หลังจากที่เราพยายามจะรักษาสภาพทางด้านบวกหรือด้านที่ดีของธรรมชาติของเราแล้วเราทำไม่สำเร็จ
หลังจากที่เราพยายามจะระลึกถึงความดีงามและการยกโทษของเราไม่สำเร็จ
และหลังจากที่เราไม่ผ่านการทดสอบของชีวิต
เราสามารถสร้างสวรรค์ขึ้นมา
ถ:
การสร้างความชั่วขึ้นมาเป็นการเล่นสนุกๆของจิตวิญญาณหรือ?
อ: ไม่ใช่,
ฉันบอกเธอไปแล้วว่า
มันเป็นการสร้างขึ้นมาของตัวเราเอง
เพราะฉะนั้นก็คล้ายๆ กันคือ
เราสามารถสร้างสวรรค์ขึ้นมาได้ถ้าเราอยากจะสร้าง
ทุกครั้งที่เราแผ่ความรักความเมตตากรุณา
ความอดทนและความเข้าใจต่อผู้อื่นออกไป
นั่นคือเราสร้างสวรรค์ขึ้น
ถ:
อัตตาจำเป็นจะต้องเปิดสู่ความชั่วนี้หรือว่ารวมมันเข้าไว้ด้วยกันหรือ?
อ:
อัตตาไม่ได้ทำอะไรเลย อัตตาคือความชั่วเอง
อัตตาคือความรู้สึกของความหยิ่งทะนงภาคภูมิใจของแต่ละบุคคล,
ของความหยิ่งยโสอวดดีในตัวเอง
ฉะนั้นเราจึงไม่ควรยุ่งสนใจอยู่กับเรื่องนี้ด้วยซ้ำ
เราควรจะรู้จักความยิ่งใหญ่ของตัวเราแทนที่จะภาคภูมิใจกับความรู้และความสำเร็จนิดๆหน่อยๆของเรา
เมื่อไรที่เราภาคภูมิใจกับความสำเร็จหรือความรู้เล็กๆน้อยๆ
ของเราในชีวิตนี้
นั่นก็คือเวลาที่อัตตาเข้ามาแทนที่จิตวิญญาณของเรา
นี่ไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับเรา
เราควรจะทำอะไรไปโดยปราศจากความรู้สึกภาคภูมิใจหรือการขอสิ่งตอบแทน
ถ:
สำหรับการรู้แจ้งนั้น,
การช่วยบริการรับใช้มนุษยชาติด้วยความรักสำคัญเท่าๆกับการทำสมาธิหรือเปล่า?
หรือว่าการช่วยเหลือสำคัญมากกว่าหรือสำคัญน้อยกว่าการฝึกบำเพ็ญสมาธิ?
อ: ทั้ง 2
อย่างต้องไปด้วยกัน
เราทำสมาธิเพราะว่าเราอยากจะบริการช่วยเหลือให้ดีขึ้น
เราอยากจะเห็นแจ่มแจ้งมากขึ้นในสิ่งที่เราทำ
ฉะนั้นเราก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการทำงานของเราและช่วยผู้อื่นได้มากขึ้น
ถ้าไม่ทำสมาธิ,
บางครั้งเรามีเจตนาที่ดีที่สุดและตั้งใจจะบริการช่วยเหลือผู้คน
แต่ว่าเราไม่รู้ว่าวิธีไหนที่ดีที่สุด
ฉะนั้นการทำสมาธิจึงเป็นองค์ประกอบที่ช่วยให้เราบริการช่วยเหลืออย่างไม่มีตัวตนที่แท้จริง
ถ:
เป็นไปได้ไหมที่จะใช้ชีวิตแบบที่เป็นอิสระจากความสงสัยและความกลัวอย่างสมบูรณ์ไปตลอดกาล
และถ้าเป็นไปได้
เราจำเป็นจะต้องทำอะไรหรือว่าไม่ทำอะไร?
อ:
ความกลัวและความวิตกกังวลมาจากความมืด
จากความไม่รู้
จากความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้เท่านั้นเอง
ทันทีที่เราได้รู้จักด้านที่มั่นคงของธรรมชาติ,
ด้านที่แท้จริงของชีวิตของเรา
ความกลัวและความวิตกกังวลก็จะหายไป
เรากลัวก็เพราะว่าเราคิดว่าหลังจากชีวิตนี้แล้ว
เราไม่มีอะไรเลย
เรากลัวก็เพราะว่าเรารู้จักแต่ความเป็นอยู่ที่ไม่จีรังยั่งยืนของโลกนี้
ถ้าเรารู้ว่าชีวิตเป็นนิรันดร์
ถ้าเรารู้ว่าเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล
เราจะไม่มีความกลัวเลย
เพราะฉะนั้นฉันจึงขอเชิญให้พวกเธอได้รู้จักกับตัวเธอเองโดยอาศัยวิธีการประทับจิต
ถ:
พระเจ้าเป็นความนึกคิดอย่างหนึ่ง
เป็นความเข้าใจอย่างหนึ่ง
แต่มันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เหนือความเข้าใจและคำพูดใดๆซึ่งมีข้อแม้ในเรื่องความจำกัดอยู่เสมอ
ชีวิตที่ไม่มีที่สิ้นสุด,
เป็นนิรันดร์และสากลทั่วไปเป็นอยู่เฉพาะในปัจจุบันเท่านั้น
ความอมตะนิรันดรเป็นรูปแบบของที่นี่
ตอนนี้ความคิดและเวลาปิดกั้นมันจากประสบการณ์ของชีวิตเรา
เพราะฉะนั้นฉันคิดว่าเราได้แต่ผ่านพบอะไรอยู่ในปัจจุปันเท่านั้น
ฉะนั้น ชั่วเวลาชีวิตนี้จึงสำคัญที่สุด
ท่านคิดว่าอย่างไร?
อ: แน่ละ
แต่เธอไม่ได้ประสบกับมันจริง
เธอเพียงแต่พูดตามคำพูดที่คนอื่นพูด
ความอมตะนิรันดรอยู่ในเวลาปัจจุบัน, ถูกต้อง
ยกตัวอย่างเช่น: ตอนนี้,
ฉันหลับตาหรือไม่หลับตา,
ฉันก็เห็นสภาพความเป็นจริงและอยู่ในโลกที่แบ่งออกเป็น
2 ฝ่ายในเวลาเดียวกันนี้
ดังนั้นฉันจึงสามารถพูดกับตัวเองและกับเธอได้ว่าความอมตะนิรันดร์อยู่ที่นี
ขณะนี้ ในปัจจุบัน!
แต่ตราบใดที่เธอมองไม่เห็นมัน
เธอก็เห็นแต่ความเป็นสอง
เธอเห็นแต่ในโลกวัตถุ ฉะนั้น ที่นี่ ขณะนี้
อดีต, ปัจจุบันหรืออนาคต
มันก็เป็นแบบเดียวกันสำหรับเธอ
สภาพความเป็นจริงมันแตกต่างจากโลกนี้
แตกต่างจากสิ่งที่เรารู้เนื่องจากเราเกิดมาในความเป็นอยู่ที่เป็นทางวัตถุ
เพราะฉะนั้นถ้าเรามองไม่เห็น
เราก็จะมาอ้างไม่ได้ว่า
สภาพความเป็นจริงอยู่ที่นี่และในขณะนี้
สิ่งที่เราเห็นอยู่รอบตัวเราในตอนนี้ไม่ใช่สภาพความเป็นจริง
สภาพความเป็นจริงเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากชีวิตนี้
นอกเหนือจากสิ่งที่เธอเห็นที่นี่
นอกเหนือจากร่างทางวัตถุที่เรารู้จัก
ถ้าเรามองเห็นมันในเวลาเดียวกันกับที่เราเห็นร่างกายนี่
เป็นจริงเหมือนๆกับเห็นร่างกายนี้และสิ่งแวดล้อมทั้งหลายนี้
แบบนั้นเราจึงจะอ้างได้ว่าเราเห็นสภาพความเป็นจริงที่นี่และขณะนี้
ตลอดเวลา
ถ:
จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากตายไปแล้ว?
อ:
ฉันรู้ว่าเธออยากจะรู้จริงๆ
ว่ามันเกิดอะไรขึ้นหลังจากชีวิตนี้
เพราะฉะนั้นฉันจะพยายามอธิบายให้เธอฟังถึงแม้ว่าฉันจะยังไม่ได้ตายอย่างสมบูรณ์ก็ตาม
ฉันตายไปครึ่งหนึ่ง(อาจารย์หัวเราะ)
เพราะธุระต่างๆ กับการทัวร์รอบโลกนี้
ฉันก็ตายไปครึ่งหนึ่งเสมอ
อย่างไรก็ดี,
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังความตายมันก็ขึ้นอยู่กับตัวเธอ
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเป็นคนดีมีคุณธรรม,
ถูกต้อง มีความรัก
ความเมตตากรุณามากในขณะที่ยังมีชีวิตเป็น
มนุษย์อยู่ในโลก หลังจากที่เรียกว่าตายแล้ว
เราก็จะถูกพาไปยังคฤหาสน์ที่สมควรกับเราซึ่งเรียกว่าสวรรค์
แต่นี่ก็ไม่ได้เป็นนิรันดร์ตลอดไป
เพราะว่าบุญกุศลของเราไม่ได้เป็นนิรันดร์ไม่รู้จักหมด
สวรรค์ตามส่วนนี้จึงไม่ได้ชั่วนิรันดร์
การที่จะมีสวรรค์ชั่วนิรันดร์เราต้องหาแหล่งชั่วนิรันดร์ของบุญ
ซึ่งก็คืออาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดภายในตัวเรา
ซึ่งเป็นบุญชั่วนิรันดร์ในตัวของมันเอง
ทีนี้ถ้าในชีวิตนี้เรากำลังทำสิ่งที่ตรงข้ามซึ่งขัดกับบัญญัติต่างๆ
ของพระเจ้า และต่ำกว่ามาตรฐานของมนุษยชาติ
เราก็คงจะต้องถดถอยลงมาสู่ระดับที่ต่ำลงของจิตสำนึก,
ของความเป็นอยู่
เพื่อที่จะมาประสบกับสิ่งที่เราขาดไปใหม่,
กับสิ่งที่เราต้องหามาให้กับความรู้ของเรา
หลังจากเวลาผ่านไประยะหนึ่งเราก็จะได้รับการยกขึ้นมาสู่มาตรฐานมนุษย์อีกครั้ง
ถ้าเรายังดีขึ้นๆอีกเหนือมาตรฐานมนุษย์
เราก็จะถูกชวนเชิญและได้รับการยกขึ้นสู่สวรรค์
ผู้ประทับจิตคือผู้ที่จะเข้าสู่อาณาจักรชั่วนิรันดร์และจะไม่กลับมาเกิดบนโลกนี้หรือโลกทางโลกอื่นใดอีก
ถ:
ท่านอาจารย์ที่รัก
ฉันจะกำจัดความคิดที่เลวๆได้อย่างไร?
อ:
การที่จะกำจัดความคิดที่เลวๆ
เธอต้องแทนที่มันด้วยความคิดที่ดีๆ ง่ายมาก
เธอไม่อยากจะใส่ชุดสีดำก็โยนมันทิ้งไปแล้วก็ใส่ชุดสีขาวแทน
ถ:
อาจารย์กรุณาพูดถึงธรรมชาติพุทธะภายในตัวเราให้มากกว่านี้หน่อยได้ไหม?
อ: ธรรมชาติพุทธะ (ตัวตนที่แท้จริงของเรา)
คือสิ่งที่เรียกว่า พลังของอาจารย์ผู้สูงสุด
ซึ่งทำให้ทั้งจักรวาลเคลื่อนไป,
ซึ่งทำให้ทุกสิ่งมีชีวิตและสวยงาม
ซึ่งทำให้เราฉลาดและมีความรัก
และซึ่งปล่อยให้ร่างกายของเราไร้ชีวิตหลังจากที่มันตัดสินใจที่จะถอนตัวออกจากร่างนั้น
หรือไม่ใช้เครื่องมือนั้นอีกต่อไป
ถ้าเรารู้จักธรรมชาติพุทธะนี้
ก็ไม่มีอะไรที่เราไม่รู้และไม่มีอะไรที่เราจะปรารถนา
นั่นไม่ได้หมายความว่าเรากลายเป็นท่อนไม้เป็นรูปร่างที่เป็นไม้ไป
เรามีทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์มี เรามีอารมณ์
เรามีความรู้สึก
และเรามีรสนิยมของความพอใจในความงาม
สัจธรรมและความดี
แต่อารมณ์ต่างๆที่เรามีในตอนนี้อยู่ในความควบคุม
เราจะใช้มันเวลาที่จำเป็นและเราจะเก็บมันกลับคืนเวลาที่เราต้องการ
นี่คือข้อแตกต่างระหว่างผู้ที่รู้จักธรรมชาติพุทธะของตนกับผู้ที่ไม่รู้จัก
ผู้ที่รู้จักธรรมชาติพุทธะของเขาจะมีความสุขอยู่เสมอ
ไม่สำคัญว่าอยู่ในสภาพแวดล้อมอะไร
เขาอาจจะยากจนมาก อาจจะร่ำรวยมาก
อาจจะมีตำแหน่งสูงสุดยอดทางการเมือง
หรืออาจจะเป็นแค่คนเก็บขยะ
แต่เขาจะเป็นอิสระสิ้นจากความวิตกกังวลและความกลัวอยู่เสมอ
มีความพอใจเสมอไม่ว่าในสถานการณ์ใดที่พบว่าตนเองอยู่ในนั้น
นี่คือข้อแตกต่าง
ถ:
เราต้องทำสมาธิไปนานเท่าไหร่จึงจะบรรลุการรู้แจ้ง?
อ: การรู้แจ้งเกิดขึ้นทันที
พอเธอนั่งลงอยู่กับอาจารย์และต้องการมันอย่างจริงใจ
มันก็จะมาทันที ก่อนจะทันทีเสียอีก
บางครั้งฉันยังแนะนำไม่ทันจบเลย
คนก็ได้รู้แจ้งแล้ว คนบางคนรีบมาก
ไม่มีเวลาจะคอย(คนหัวเราะ)
แต่การทำสมาธิต้องทำทุกวัน
เพราะว่าเราต้องการจะอยู่ในสภาพที่รู้แจ้งเสมอ
เราอยากจะฟื้นฟูการได้รับการรู้แจ้งของเราใหม่อีกและเรายังอยากจะยืดมันขยายไปจนไม่มีที่สิ้นสุด
ไม่อย่างนั้น
แม้ว่าเธอจะทำสมาธิไปร้อยปีเธอก็จะไม่ได้รับการรู้แจ้งอะไรเลย
การทำสมาธิไม่ได้นำการรู้แจ้งมาให้
แต่พลังอาจารย์ต่างหากที่นำ
เพราะระหว่างการประทับจิตหรือระหว่างที่เรียกว่าการทำสมาธิตามวิธีของเรา
เธอไม่ได้ทำสมาธิ การทำสมาธิหมายถึงความพยายาม
แต่ในวิธีของเรามันไม่มีการพยายาม
เธออาจจะนั่งอยู่ บางทีแม้กระทั่งหลับ
การรู้แจ้งก็เกิดขึ้นแม้ในตอนนั้น
หรือเธอจะได้รู้แจ้งในระหว่างหลับ
พลังอาจารย์จะปลุกจิตวิญญาณของเธอในขณะที่ความคิดจิตใจของเธอยังหลับอยู่
ร่างกายของเธอพักผ่อนอยู่...จิตวิญญาณของเธอจะถูกปลุกให้เข้าสู่โลกของแสงและปัญญา
ดังนั้น
การทำสมาธิจึงไม่ใช่วิถีทางสู่การรู้แจ้ง
แต่เนื่องจากไม่มีคำศัพท์ในโลกนี้
เราจึงต้องเรียกมันว่าการทำสมาธิ
ที่จริงแล้วเธอเพียงแต่นั่งอยู่ตรงนั้น
รับพระพรของพระเจ้า
และรับรู้ถึงพลังสูงสุดของเธอเอง
ที่จริงไม่มีการทำสมาธิมาเกี่ยวข้อง
เพราะว่าสิ่งใดที่หามาได้นั้นมันเป็นผลของการกระทำอะไรบางอย่าง
ยังเป็นผลิตผลของทางโลก
ยังอยู่ภายในโครงร่างทางวัตถุ
ดังนั้นการทำสมาธิของเราจึงเป็นการทำสมาธิที่ไม่ใช่สมาธิ...เป็นการทำสมาธิที่ไม่ใช้ความพยายาม
(คนปรบมือ)
ถ:
ท่านอาจารย์ที่รัก ฉันทำสมาธิวันละ 30 นาที
แต่ว่าฉันเพ่งความสนใจไม่ได้เลยหลังจากผ่านไปได้
10 นาที เป็นเพราะกรรมหนักที่ฉันมีหรือ?
ขอบคุณ
อ: ไม่ใช่,
มันเป็นแต่เพียงนิสัยอย่างหนึ่ง
พวกเราส่วนใหญ่เคยชินมากกับการมองออกไปภายนอกและให้ความสนใจกับสิ่งภายนอก
ดังนั้นเวลาเราพยายามจะดึงความสนใจของเรากลับเข้ามาภายใน
มันจึงยาก มันเคยชินกับการวิ่งออกไปข้างนอกอีก
ให้พยายามทำต่อไปแล้วเธอก็จะดีขึ้น
ถ:
คนที่รู้สึกมีความรักน้อยจะกลายมามีความรักมากขึ้นได้อย่างไร?
อ: รู้แจ้งให้มากขึ้น
แล้วเราก็จะมีความรักมากขึ้น
นี่คือวัตถุประสงค์ของการรู้แจ้ง
การรู้แจ้งทำให้เรามีความรักมากขึ้น
อดทนมากขึ้น มีความเข้าใจมากขึ้น
นี่คือผลที่ดีที่สุด |