วิธีทำให้ครอบครัวมีความสุขสมบูรณ์

 
ปราศรัยโดย ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ศูนย์ซีหู, ฟอร์โมซา
8 ตุลาคม 1995 (เดิมเป็นภาษาจีน)
 
 
 

ไม่ใช่ว่าเรารักใครคนใดคนหนึ่งด้วยการพูดออกมา คนส่วนมากชอบตะโกนบอกความรักของเขาออกมาดังลั่นว่า.... “รัก, รัก, รัก!” ฟังดูน่าคลื่นไส้ ถ้าเธอรักใครคนหนึ่งจริง คนก็จะรู้สึกถึงมันเอง โดยที่ไม่ต้องเห็นตัว ไม่ต้องได้ยินเสียงจากตัวเธอ ถ้าเธอไม่ได้มีหน้าที่ในการเป็นอาจารย์หรือมีภารกิจอันสำคัญใดๆ ที่ทำให้เธอต้องละทิ้งบ้าน เธอก็ควรปฏิบัติต่อครอบครัวของเธออย่างดี ดูแลญาติมิตรของเธอ และชักจูงเขาด้วยความรักความรักที่แท้จริงไม่ได้แสดงออกมาด้วยคำพูดจากปาก...ไม่ใช่จากการพูด ถ้าเธอรักสามีของเธอจริง เธอก็ควรจะเรียนรู้วิธีทำอาหารอร่อยๆ ให้เขากิน และวิธีแต่งหน้าแต่งตาเพื่อแสดงความงามของเธอให้เขาเห็น

แต่งตัวสวยให้สามีของเธอดูเท่านั้น

เมื่อก่อนนี้ตอนที่ฉันเป็นภรรยาคนหนึ่ง เวลากลางวันที่ฉันออกไปทำงาน ฉันก็ไม่ได้แต่งตัวสวยมากมายอะไร เป็นอย่างนั้นจริงๆ นะ เธอจะแต่งตัวสวยพริ้งไปเพื่อใครกันล่ะในระหว่างเวลาทำงานตอนกลางวัน? แม้ว่าทั้งโลกจะมาจ้องมองเธออย่างหลงใหลชื่นชม เธอจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา? ถ้าสามีของเธอเองไม่ได้อยากแม้แต่จะมองดูเธอแล้วเธอจะทนได้หรือ? ตอนกลางวันมันจำเป็นที่จะต้องปกป้องและบำรุงผิวของเธอด้วยการทาครีมหรืออะไรอื่นๆ ตอนเย็นค่ำพอสามีของเธอกลับมาบ้านเธอก็อาจจะจุดเทียน สวมเสื้อผ้าสวยๆ และแต่งหน้าทาปากให้เขาชม มันควรจะเป็นแบบนี้ต่างหากที่เธอจะแสดงว่าเธอรักสามีของเธอ ไม่ใช่ด้วยการพูด

เธอไม่รู้วิธีทำกับข้าวตัวเธอก็เหม็นเหลือร้าย แต่เธอกลับไม่สนใจ แล้วเธอก็แต่งตัวเหมือนหัวหน้าแก๊งขอทานทุกวัน แต่เธอยังจะหวังให้สามีของเธอรักเธออยู่อีก เขาจะรักเธอเข้าไปได้อย่างไร? เขาก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกันนะ เขาก็มีข้อเสียของตัวเอง มีความชอบอะไรของเขาเอง แต่ในตัวเธอไม่มีอะไรที่จะทำให้เขาสดชื่นยินดี แล้วเธอก็ยังจะบังคับให้เขารักเธออีก แต่ว่าแม้กระทั่งพระเจ้าก็ยังบังคับเขาไม่ได้เลยนะ!

ฉันรู้สถานการณ์แบบนี้ดีว่าจะทำให้สามีรู้สึกไม่สบายใจ เขาก็อยากจะรักภรรยาของเขาอยู่หรอกแต่เขาก็ทำไม่ได้ ไม่มีอะไรที่จะสามารถทำให้เขารักเธอได้ ดังนั้น เวลาเรารักใครคนหนึ่ง เราก็ควรจะรู้ว่าเขาชอบอะไรมากที่สุด แล้วเราก็ให้สิ่งที่เขาชอบนั้น มีแต่วิธีนี้เท่านั้นที่เธอจะพูดได้ว่าเธอรักเขา ไม่ใช่ด้วยการพูดซ้ำไปซ้ำมาทั้งวันทั้งคืน โดยไม่ได้ดูแลจัดการตัวเองและครอบครัวของเธอให้ดี

บ้านไม่ได้ปัดกวาดเช็ดถูมา 2-3 เดือนแล้ว หน้าตาเธอก็ไม่ได้ล้างมา 2 เดือน แต่งตัวก็ไม่เรียบร้อย ถึงแม้ว่าเธอจะแต่งตัวเสียสวยเชียวเวลาเธอออกไปนอกบ้าน แต่พอเธอกลับมาบ้าน เธอก็ดูเหมือนกับขอทานในสายตาของสามีเธอ นี่เป็นเพราะว่าเธอไม่ได้เข้าใจแก่นแท้ที่สำคัญเลย ถ้าเธอรู้จักคิดให้มากขึ้นสำหรับชีวิตแต่งงานของเธอ มันก็จะเป็นชีวิตแต่งงานที่มีความสุข เธอไม่จำเป็นต้องสวยน่ารักเท่าซีชือหรอก (สาวงามเวียดนามในสมัยโบราณ) ผู้หญิงทุกคนมีความน่ารักในตัวบางด้านอยู่แล้ว ถ้าเธอคิดว่าตัวเธอไม่สวย เธอก็สามารถจะเรียนรู้วิธีที่ดาราหนังเขาเดินกันก็ได้ วิธีที่คนสวยนั่ง และเรียนรู้วิธีที่หล่อนดูแลความงามของหล่อนเอง ปัจจุบันนี้ เธอสามารถที่จะเรียนรู้เรื่องพวกนี้ด้วยการอ่านหนังสือหรือโทรศัพท์ไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญดูก็ได้ เธอเรียนรู้ได้ ไม่มีเหตุผลหรอกว่า ทำไมภรรยาหรือสามีไม่สามารถจะทำงานบ้านได้

ฉันรู้ ว่ามันไม่ใช่คำถามเกี่ยวกับการบำเพ็ญ แต่พวกเธอก็มักจะมาถามหรือเขียนจดหมายมาถามเกี่ยวกับเรื่องปัญหาทางครอบครัวซึ่งทำความลำบากให้กับพวกเธอมากที่สุด ฉันเข้าใจ ว่าถ้าเธอไม่มีความสงบสุขกับคนในครอบครัวของเธอ เธอก็ไม่มีทางมีจิตใจที่สงบ เธอจะไม่สามารถเข้าสมาธิได้เวลาเธอนั่งสมาธิ ชีวิตการแต่งงานก็สัมพันธ์กับการบำเพ็ญเช่นกัน จึงมีกล่าวไว้ว่า “วิถีทางของพุทธะไม่สามารถจะถูกแยกออกจากวิถีทางโลกได้” ฉันพูดไม่ได้หรอกว่าเพราะว่ามันเป็นเรื่องทางโลก ฉันจึงจะไม่ตอบคำถามเหล่านี้ของเธอ แต่ว่า เธอเองก็ไม่ได้นำสิ่งที่ฉันบอกเธอไปแล้วไปปฏิบัติกัน พวกเธอทุกคนเอาแต่พูดว่า “ฉันเข้าใจ! ฉันเข้าใจ! ฉันฟังวีดิโอเทปมาหลายม้วนแล้ว” (ผู้ฟังหัวเราะ) แต่เธอก็ยังมาถามคำถามเดียวกันพวกนี้เสมอ


วิธีที่ชาญฉลาดของอาจารย์ควรจะถูกนำไปใช้

ปัญหานั้นไม่ใช่ว่าอาจารย์ไม่ตอบคำถามของเธอหรอก แต่ว่าเธอไม่ได้ปฏิบัติตามที่ฉันพูดมากกว่า ถ้าสั่งยาให้กินแล้ว แต่เธอไม่ยอมกินมัน โรคของเธอก็ไม่มีทางรักษาหายหรอก อาจารย์พูดแล้วบอกแล้วทั้งฝ่ายสามีและภรรยา แต่ก็มีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างที่เธอยังไม่ได้เรียนรู้เหมือนกัน อย่างเช่น เธอควรจะแปรงฟันของเธอนานสัก 3-5 นาที ถ้าเธอไม่รู้วิธีแปรงก็ไปถามหมอฟันของเธอ เธออาจจะแปรง 2 หรือ 3 ครั้งก็ได้! แปรงแล้วก็แปรงอีกหนหรือ 2 หน ฟันของเธอก็ควรจะสะอาดมากแล้ว เดี๋ยวนี้มีน้ำยาบ้วนปาก, น้ำหอม, สบู่, อะไรต่างๆ หลายชนิดที่จะเอามาใช้ดับกลิ่นจากตัวเธอได้

เธอควรจะแต่งตัวให้สวยงามดูดี เสื้อผ้าไม่จำเป็นต้องเป็นชุดแพงๆหรอก ไม่อย่างนั้นเธอก็จะเปลี่ยนชุดไปทุกวันไม่ได้ เธออาจจะตัดเย็บเองหรือซื้อหาเสื้อผ้าที่ราคาถูกลง มีสีสันสวย ถ้าตัวเธอสดใสมีชีวิตชีวา ไม่ว่าเธอจะใส่ชุดอะไร ก็จะทำให้เธอดูสวยทั้งนั้นแหละ ไม่จำเป็นว่าชุดนั้นจะต้องเป็นชุดแพงๆ

เสื้อผ้าที่ฉันสวมใส่ส่วนมากก็ทำที่นี่เองแหละ...ถูกมากเลย ฉันเพียงแต่ซื้อผ้ามาชิ้นหนึ่ง ก็เอามาทำเป็นชุดสวยได้ชุดหนึ่งทันที บางครั้งฉันก็ไปซื้อเสื้อผ้าลดราคาตามข้างถนน กระโปรงสีสวยๆที่ฉันใส่เมื่อสองอาทิตย์ก่อนนี้ก็ซื้อมาจากไทเป ราคาไม่กี่สิบเหรียญ NT เอง วิธีตัดเย็บของมันก็เป็นแบบง่ายๆ ด้วย พวกเธอทุกคนก็ยังบอกว่าอาจารย์สวย แต่จริงๆแล้วมันราคาไม่มากมายอะไรเลย

วิธีที่ต่างกันสำหรับโอกาสที่ต่างกัน

อย่าไปซื้อเสื้อผ้าที่ราคาแพงมากเกินไป ไม่อย่างนั้น เธอก็เปลี่ยนชุดบ่อยๆไม่ได้ จงรู้จักฉลาดขึ้น บางแห่งมีเสื้อผ้าขายราคาถูกแต่ว่าสวย ตราบใดที่มันเหมาะกับตัวเธอมันก็ดีแล้ว ถ้าเธอรู้วิธีที่จะแต่งตัวให้เข้าชุดกัน เธอก็จะดูสวยขึ้น มันไม่ทำให้เธอต้องเสียเงินมากหรอก ไม่จำเป็นต้องมาบ่นว่าสามีของเธอไม่ได้ให้เงินเธอมาก เธอเลยแต่งตัวสวยไม่ได้ มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะบริจาคเงินให้กับร้านเสื้อผ้า เราควรจะบริจาคให้กับตัวเราเองซิ แทนที่จะเอาไปบริจาคให้กับร้านเสื้อผ้า (ผู้ฟังหัวเราะ)

ผู้ชายก็เหมือนกันเวลาเธอบำเพ็ญก็แน่นอนที่เธอควรจะสวมเสื้อผ้าที่ง่ายๆ...หลวมๆ สบายๆ ซึ่งทำให้เธอรู้สึกสบายเวลานั่ง แต่เวลาเธอกลับไปบ้านหรือออกไปนอกบ้านกับภรรยาของเธอ เธอก็ควรจะแต่งตัวตามสมัยนิยม แต่งตัวให้เรียบร้อย ทำให้ตัวเองดูดี พอมีชายที่ดูหล่อ ดูดีไปไหนด้วย ภรรยาก็จะเกิดความภูมิใจ เธอคิดว่าหล่อนจะอยากออกไปไหนกับขอทานหรือ? (ผู้ฟังหัวเราะ) เธออยากให้ภรรยาของเธอดูสวยงามและดูดี แล้วตัวเธอเองล่ะ? เธอนุ่งกางเกงกีฬาเก่าๆ เวลาที่มานั่งสมาธิในศูนย์ แล้วเวลาเธอพาภรรยาของเธอออกไปข้างนอกเธอก็ยังใส่เสื้อผ้าแบบนี้อีก

การบำเพ็ญก็มีหลักการของมัน การออกไปทำอะไรทางโลกก็มีหลักการของมันเช่นกัน ทั้งสองอย่างนี้จะเอามาผสมปนกันไม่ได้ แล้วเธอก็มาบ่นกับฉันว่า “การฝึกบำเพ็ญทำให้ฉันเป็นอย่างนี้” พวกเธอทำให้อาจารย์ของเธอขายหน้าจริงๆ เธอไม่รู้ว่าเวลาไหนที่จะเดินหน้า เวลาไหนที่จะถอยกลับ ไม่รู้วิธีที่ถูกต้องเหมาะสม เธอไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรตามสถานการณ์นั้นๆ เธอไม่รู้วิธีที่จะจัดการกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป นั่นก็หมายความว่าเธอไม่มีปัญญา ลูกศิษย์ของอาจารย์ไม่ควรจะเป็นแบบนี้ อย่าทำให้เสื่อมเสียชื่อของฉันหน่อยเลย ถ้าเธอเป็นแบบนี้ ก็อย่าไปบอกคนอื่นเขานะว่า เธอเป็นลูกศิษย์ของ “อนุตราจารย์ชิงไห่ อู๋ ช่าง ชือ ซูมาจื๊อ” (อาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ ผู้ฟังปรบมือ)

จงอุทิศตนเพื่อรักษาชีวิตแต่งงานของเธอ

มันไม่ยากหรอกที่จะได้อะไรมา แต่มันยากที่จะเก็บรักษามันไว้ เธอต้องรู้วิธีที่จะเก็บรักษา เธอต้องจ่ายราคาค่างวดไปเพื่อทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกหรือ? ถ้าเธออยากจะมีรถเบนซ์ เธอก็ต้องจ่ายคืนเงินที่กู้ยืมมาไปสักระยะหนึ่ง รถเบนซ์นั้นก็ยังซดน้ำมันอย่างกับปลาอีกด้วย และเธอก็ต้องจ่ายค่าประกันรถมากมาย ต้องจ่ายเงินเยอะแยะเพื่อการบำรุงรักษารถ ถ้าเธออยากจะมีรถเบนซ์เธอก็ต้องจ่าย หรือเธออาจจะซื้อรถยื่อหลง หรือรถยี่ห้ออื่นก็ได้

หลังจากที่เธอแต่งงานแล้วเธอก็ไม่ระมัดระวัง ไม่ดูแลตัวเอง สามีของเธอก็เลยทิ้งเธอไป แล้วเธอก็ร้องไห้มาหาฉัน จะมีประโยชน์อะไรที่จะร้องไห้มาหาฉัน? เธอควรจะไปร้านเสริมสวยแล้วก็ไปร้องไห้ที่นั่นซี แล้วพวกเขาก็จะช่วยเธอให้ดูเรียบร้อยขึ้นเอง (ทุกคนหัวเราะ) พวกเขาจะตัดผมดัดผมให้เธอ ดึงผิวของเธอให้ตึงเรียบขึ้น กรีดหนังตาของเธอ เสริมจมูกของเธอ และทำตาให้เธอใหม่ พวกนี้อาจจะช่วยก็ได้นะ แต่จะมีประโยชน์อะไรที่จะมาร้องไห้กับฉัน? แม้ว่าฉันจะสามารถเรียกลมเรียกฝนได้ ฉันก็เรียกสามีของเธอกลับมาไม่ได้หรอก บางครั้งเวลาฉันเห็นหน้าเธอ ฉันก็ยังอยากจะหาภรรยาใหม่ให้สามีของเธอเหมือนกันนะ (อาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ) ตัวเธอเองดูโทรมเชียว แต่เธอก็ยังจะมาบังคับให้สามีของเธอรักเธออีก อย่างนี้จะเป็นไปได้อย่างไรกัน?

ปัจจุบันนี้ทั้งภรรยาและสามีต้องดูแลตัวเองให้ดี เนื้อตัวต้องสะอาดสะอ้าน....อาบน้ำบ่อยๆ แปรงฟันบ้วนปากให้ดี ไปหาหมอฟันหรือหมออื่นเป็นประจำ ดูว่าต้องแก้ไขปรับปรุงอะไรก็ทำไป เธอต้องแต่งตัวให้เรียบร้อย ถ้าเธอแต่งตัวไม่เรียบร้อย ใส่เสื้อผ้าเก่าๆขาดๆ สามีของเธอก็ไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าเธอ แล้วเขาจะรักเธอเข้าไปได้อย่างไร? ผู้หญิงคนอื่นข้างนอกนั่น พวกหล่อนยังไม่ได้แต่งงาน เพราะฉะนั้นพวกหล่อนจึงตั้งใจแต่งหน้าทาแป้ง ฉีดน้ำหอม อาบน้ำ แปรงฟัน ไปร้านเสริมสวย และอะไรต่างๆ มาก เธอก็ต้องดูแลตัวเธอเอง แล้วสามีของเธอก็จะรักเธอ ผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่เธอเป็นเมื่อก่อนนี้ และผู้หญิงคนนี้ก็เป็นเหตุผลที่สามีของเธอเคยรักไม่ใช่หรือ?

มันเป็นปัญหาทางด้านจิตใจของมนุษย์เรา เป็นแบบเดียวกันทั้งสำหรับผู้ชายผู้หญิง มีคนเดียวไม่พอ เพราะว่าคนหนึ่งก็มีคุณลักษณะอย่างหนึ่งเท่านั้นและก็เก่งในเรื่องเดียวเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ถ้าหล่อนทำกับข้าวได้ หล่อนก็จะทำความสะอาดบ้านไม่เก่ง หล่อนอาจจะรู้ทั้งสองอย่างก็ได้...ทั้งวิธีทำกับข้าวและวิธีทำความสะอาดบ้าน แต่หล่อนอาจจะไม่รู้วิธีทำอย่างอื่น บางทีหล่อนอาจจะไม่รู้วิธีแต่งหน้า แม้แต่การออกไปไหนนอกบ้านกับหล่อนเป็นบางโอกาสก็จะทำให้เธอขายหน้า และอยากเอาหล่อนซ่อนไว้ที่ไหนสักแห่งแล้ว เวลาหล่อนไปพูดคุยกับคนอื่น พวกเขาก็จะบีบจมูกไว้เพราะหล่อนมีกลิ่นเหม็นแย่มาก บางครั้งเมื่อกลิ่นตัวแรงมากหรือแต่งตัวไม่เรียบร้อยทุกอย่างก็แย่ไปหมด นอกจากนี้ถ้าเธอยังทำกับข้าวก็ไม่ได้ด้วย ก็ “ลาก่อนล่ะ!” (ผู้ฟังหัวเราะ)

เราจะไปบังคับให้คนอื่นมารักเราไม่ได้ ถ้าเราไม่มีคุณค่าพอ ถ้าเธอเป็นสามีหรือเป็นภรรยาที่ดีไม่สำเร็จ เธอก็ต้องคิดเอาเองว่า “ทำไมฉันถึงทำไม่สำเร็จ? ฉันจะปรับปรุงตัวเองได้อย่างไร? ครั้งต่อไปฉันจะทำได้สำเร็จไหม? ทำไมฉันถึงทำเรื่องนี้ได้ไม่ดี?” ถ้าเธอทำไม่ได้จริงๆ ก็เลิกทำแต่ถ้าเธอทำได้ ก็จงปรับปรุงตัวเอง ขยันศึกษาเรียนรู้จนกว่าเธอจะทำได้สำเร็จ มันง่ายๆ อย่างนี้แหละ! ทำไมสามีของเธอจึงไปรักผู้หญิงคนอื่นล่ะ? เราไม่ต้องไปเกลียดชังหล่อนคนนั้นหรอก เราควรจะไปเรียนรู้จากหล่อนว่าหล่อนมีข้อที่ได้เปรียบหรือจุดเด่นอะไรบ้าง

ถ้าเธอรู้จักผู้หญิงคนนั้น ก็ไปเรียนรู้ว่าอะไรที่ทำให้สามีของเธอชอบหล่อน แล้วเธอก็ทำแบบเดียวกันนั้นหลังจากที่เธอกลับบ้านแล้ว หรือเธออาจจะทำให้ดีกว่าที่หล่อนทำ สามีของเธอก็จะไม่อยากจะทิ้งเธอไปแน่นอน เป็นเพราะว่าสามีหรือภรรยานั้นรักเรา เขาถึงได้แต่งงานกับเรา แล้วความรักนั้นหายไปไหนแล้วล่ะ? มันเป็นไปไม่ได้หรอกว่าความรักนั้นจะหายไปจนหมดสิ้น เป็นตัวเราเองที่ไม่ได้ดูแลชีวิตแต่งงานให้ดี หรือเราไม่ได้ให้ความสนใจกับมันมาก หรือว่าเราไม่ได้รักสามีหรือภรรยา หรือเราขี้เกียจมากไปที่จะปรับปรุงตัวของเราเอง ภายหลังเราถึงจะได้รู้ซึ้งว่ามันเป็นความผิดของเรา แต่ถึงตอนนั้นมันก็สายไปแล้ว

ก็เช่นเดียวกับการทำสิ่งต่างๆ ทางโลก ถ้าเราอยากจะประสบความสำเร็จเราก็ต้องขยันทำงานหนักเข้าใจไหม? เรื่องทางโลกก็ต้องทำด้วยวิธีทางโลกมากกว่าจะด้วยวิธีทางธรรม ไม่อย่างนั้น มันก็จะเป็นการใช้ข้อดีของพลังในการบำเพ็ญไปโดยไม่มีประโยชน์

ตอนที่ฉันไปแอฟริกา ฉันก็ได้รู้จักเจ้าชายและเจ้าหญิงหลายท่าน พวกเขาบอกฉันว่าสมาชิกในราชตระกูลทุกคนต้องเรียนรู้เวทย์มนตร์มากมาย รวมทั้งการใช้เวทย์มนตร์คาถา พวกเขาจึงจะสามารถรู้ว่าใครเลว ใครดี อะไรต่างๆ พวกเขายังสามารถทำให้เธอรักเขาโดยใช้เวทย์มนตร์ของเขาด้วย ซึ่งจะทำให้เธอเชื่อฟังทำตามเขาไปโดยที่เธอไม่รู้ตัว จะมีประโยชน์อะไรหรือในการใช้พลังเวทย์มนตร์ปาฏิหาริย์น่ะ?

นานมาแล้ว ตอนที่ฉันเริ่มจะมีลูกศิษย์ ฉันไม่มีเวลาสอนพวกเขาเรื่องนี้ ก็มีสามีของลูกศิษย์ผู้หญิงคนหนึ่งทิ้งเธอไป เธอก็มาหาฉันร้องห่มร้องไห้ใหญ่ ขอให้ฉันสอนเวทย์มนตร์คาถาเพื่อทำให้สามีของเธอกลับมารักเธอ ฉันก็บอกเธอไปว่า “ฉันไม่มีเวทย์มนตร์แบบนั้นหรอก และถึงแม้ว่าฉันจะมี ฉันก็จะไม่ถ่ายทอดให้เธอ ฉันไม่ชอบพวกมนตร์ดำแต่ว่าฉันรู้พวกมนตร์ขาวเยอะ เธออยากจะเรียนไหมล่ะ? เธอก็ตอบว่า “อยาก”

ฉันก็บอกว่า “เธอควรจะพูดจาให้นุ่มนวลขึ้นหน่อย แต่งหน้าทาแป้งให้สวยขึ้น สวมเสื้อผ้าใหม่เป็นบางครั้งบางคราว แต่ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเสื้อผ้าราคาแพง บางครั้งเธอควรจะเปลี่ยนอารมณ์ของเธอบ้าง อย่าอ่อนหวาน นิ่มนวล หรือหัวดื้อเสมอไปทุกๆ วัน เธอควรจะเปลี่ยนแปลงไปบางโอกาสแล้วแต่สถานการณ์”

นี่เป็นเพราะว่าผู้ชายชอบลักษณะแบบต่างๆ หลายๆ แบบของผู้หญิง เช่นเดียวกับพวกเราผู้หญิง เราจะชอบลักษณะนิสัยแบบเดียวกันหมดทุกๆวันไม่ได้หรอก...ทื่อเกินไป (ผู้ฟังหัวเราะ) ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย มันดูเหมือนว่าจะดีแต่ก็ไม่ดีจริง บางทีมันก็ไม่เลวหรอกนะที่จะไม่ดีนิดหน่อยบ้าง ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง!

ความหลากหลายทำให้ความรักสดชื่น

ผู้ชายส่วนมากชอบความหลากหลาย ถ้าเธอรู้เรื่องนี้แล้ว และเธออยากจะรักษาสามีของเธอไว้ ก็จงเปลี่ยนแปลงตัวเองไปเรื่อยๆ หรือไม่ก็พาผู้หญิงอื่นอีกสองสามคนมาเป็นภรรยาให้สามีของเธอ เธอชอบอย่างไหนมากกว่ากันล่ะ? ถ้าเธออยากจะมีความสงบสุขในครอบครัวและรักษาสามีของเธอไว้กับบ้านได้ ก็ต้องไปหาภรรยามาให้เขาอีกสองสามคน เพราะเขาชอบลักษณะนิสัยที่แตกต่างกันไปหลายแบบสำหรับวันต่างๆที่แตกต่างกันไป ฉะนั้นมันจะเป็นการดีที่สุด ถ้าเธอจะสามารถเล่นบทได้หลายอย่าง เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของเขา ซึ่งก็เช่นเดียวกันสำหรับสามีด้วย แล้วครอบครัวก็จะมีความสงบสุข และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาหาฉันแล้วก็มาร้องไห้ร้องห่มเสียงดัง

พวกเธอทุกคนล้วนมีพลังวิเศษอยู่แล้ว ดูแลรักษาความสะอาดของร่างกาย ให้มีกลิ่นหอมตลอดเวลา บ้วนปาก แปรงฟันให้สะอาดก่อนที่จะพูดคุย อย่าทำอย่างนี้นะคือ; หลังจากกินหอมกระเทียมแล้วเธอก็เข้าไปหาเขาแล้วบอกเขาว่า “ฉันรักคุณ!” (อาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ) เวลานั้นน่ะ ไม่ว่าจะมีบรรยากาศโรแมนติกขนาดไหน หรือเธอจะจุดเทียนสักกี่เล่มก็ตาม มันก็ไม่ช่วยหรอก เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้แหละที่อาจจะไล่เขาเตลิดไป เมื่อก่อนนี้ฉันก็เคยกลัวเรื่องนี้

ถ้าใครมีกลิ่นเหม็นฉันก็จะทนไม่ได้ ฉันจะอยากอาเจียนออกมาและจะพูดคุยอะไรกับเขาไม่ได้เลย ความสนใจของฉันจะถูกเบี่ยงเบนไป แล้วฉันก็จะคิดอยู่ตลอดว่า “ทำไมเขาไม่รักษาความสะอาดปากของเขานะ?” ฉันจะคิดอย่างนี้ตลอดเวลา แล้วใจฉันก็จะรวบรวมมุ่งความสนใจในตัวเขาไม่ได้เลย มัวแต่คิดหาวิธีที่จะหลีกหนีจากบรรยากาศนี้ไปให้พ้นเช่น “เมื่อไหร่เขาถึงจะหยุดพูดนะ?” หรือ “ฉันจะทำให้เขารู้ได้อย่างไร?” อะไรต่างๆ แรงบันดาลใจทั้งหลายจะหายไปหมด

เพราะฉะนั้น อย่าไปตำหนิเขาเลยที่ไม่รักเธอ เขาจะรักเธอได้อย่างไร? เขาไม่มีเวลาพอที่จะพยายามหลีกหนีไปให้พ้นจากตัวเธอด้วยซ้ำ! ถ้าเธอเป็นตัวเขา เธอก็จะไม่ชอบแบบนี้เช่นกัน!

แต่มันก็แล้วแต่ด้วยเหมือนกันนะว่า บางทีสามีของเธออาจจะชอบกลิ่นแบบนี้ ก็เก็บมันไว้เถอะ (ผู้ฟังหัวเราะ) เธอต้องทำความเข้าใจในเรื่องนี้กับเขาให้ชัดเจนนะ!

สำหรับคนที่มีระดับสูง พวกเขาจะไม่ชอบกลิ่นเหม็นแบบนี้หรอก ฉะนั้น เราต้องยกระดับของเราให้สูงขึ้น ดูแลตัวเราเองโดยที่ไม่ไปตำหนิคนอื่น ถ้าหากว่ามีใครไม่ชอบเรา หรือสามีหรือภรรยาของเธอหนีเธอไป เราก็ต้องถามตัวเราเองว่า “ทำไม?” ถามตัวเองจริงๆและด้วยใจจริงว่าเราทำอะไรผิดไป และเราได้ทำในสิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งคาดหวังว่าเราจะทำหรือไม่ แล้วเราก็จะรู้เหตุผล ไม่จำเป็นต้องมาถามอาจารย์และขอคาถาวิเศษ ไม่มีประโยชน์หรอก! ถึงแม้ว่าฉันจะสอนพวกมนต์วิเศษแบบนั้น....อย่างเช่นการทำเสน่ห์ครองใจคนรักของเธอ การควบคุมความคิดจิตใจของเขา หรือการทำให้เขาอยู่กับเธอเคียงข้าง เธอจะชอบแบบนี้หรือ? เธอจะรักภรรยาหรือสามีที่ดูทึ่มซื่อบื้อ ที่ถูกเธอครอบงำความคิดจิตใจอย่างนั้นหรือ? เขาจะไม่ได้รักเธอจริงหรอก เพียงแต่ถูกผูกมัดยึดไว้และหลงลืมตัว หมกมุ่นอยู่กับเธอ ความคิดของเขาจะสับสน เขาจะเริ่มชอบสิ่งที่เขาไม่เคยชอบมาก่อน มันก็เป็นเหมือนกับความผิดปกติทางจิตใจอย่างหนึ่งเช่นกัน เธอจะชอบภรรยาหรือสามีที่ผิดปกติอย่างนี้หรือ? (ผู้ฟังตอบ: “ไม่, เราจะไม่ชอบแบบนี้”)

เพราะฉะนั้นฉันถึงบอกเธอว่าเวทย์มนตร์วิเศษนั้นไม่มีประโยชน์อะไร เราควรจะจูงใจคนอื่นด้วยคุณสมบัติของเรา ด้วยความดีและความงามภายในของเราเองเท่านั้น เราเคารพตัวเราเองทางภายนอก ซึ่งจะทำให้เป็นที่เจริญตาของผู้อื่น เสียงของเธอจะหลอมละลายหัวใจของใครก็ตามที่ได้ฟัง หรือความประพฤติ และกิริยาท่าทางของเรา ที่เราปฏิบัติต่อผู้อื่นจะทำให้พวกเขาประทับใจ ความรักแบบนี้ต่างหากที่จะยั่งยืนนานกว่า แทนที่จะอาศัยเวทย์มนตร์คาถาเอาง่ายๆ อย่างนั้น

ฉันรู้ว่าปัญหาในครอบครัวทำให้เธอยุ่งยากมากที่สุด, ใช่ไหม? (ผู้ฟัง: ใช่!) บางครั้งมันก็ทำให้เรารู้สึกไม่ดี ฉันรู้ดี ตัวอย่างเช่น เธอเป็นคนที่ซื่อสัตย์ต่อคู่ครอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ประทับจิตแล้ว เธออยากจะเชื่อฟังทำตามคำสั่งสอนของอาจารย์ และอยากจะดูแลครอบครัวอย่างจริงใจ...รักภรรยาหรือสามีของเธอ แต่บางครั้งเธอก็ทนไม่ได้ แล้วเธอก็จะรู้สึกไม่ดี วุ่นวายใจ และรู้สึกผิด ฉันรู้ว่าเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าหนักใจที่คอยรบกวนใจเธอมากที่สุด แต่ภรรยาบางคนก็เฉื่อยชาและก็ไม่ยอมปรับปรุงตัวเลย ไม่ดูแลตัวเอง ไม่สนใจว่าตัวเองจะมีเสน่ห์บ้างหรือไม่ หรือว่ามีชีวิตชีวาหรือเปล่า ไม่แสดงให้สามีรู้ว่าตัวหล่อนยอมรับหรือสนใจในความคิดเห็นของสามี ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าสามีรักหล่อนหรือไม่ ทั้งสามีกับภรรยาจึงติดอยู่ตรงนั้น

สามีก็เป็นแบบนี้เหมือนกับภรรยา ต่างฝ่ายต่างก็โทษกันและก็ฉุดลากกันให้ตกต่ำลงมาทั้งคู่ คนหนึ่งเหลวไหล อีกคนก็ยิ่งเหลวไหลมากกว่า ไม่มีใครสนใจอีกฝ่าย แล้วมันก็เลยแย่ลงๆ จนกระทั่งไม่มีใครอยากจะมองหน้าใคร แล้วในที่สุดก็โยนศีลทั้งหลายกลับคืนมาให้อาจารย์แล้วก็พูดว่า “ฉันรู้สึกแย่จริงๆ ฉันเสียใจ แต่อย่างไรฉันก็ต้องหาคนใหม่อยู่ดี” บางทีมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปหาคนใหม่ การเปลี่ยนไปมีคนใหม่ไม่ได้หมายความว่าอะไรๆ จะดีขึ้น ต่อไปมันก็จะเหมือนเดิมนั่นแหละ เธอแต่งงานกับผู้หญิงอีกคน แล้วหล่อนก็จะเหลวไหลเหมือนกับคนก่อนนั้นแบบเดียวกันเลย

เมื่อเธอทำเรื่องเล็กๆ ได้แล้วเท่านั้น
เธอจึงจะพยายามทำเรื่องใหญ่ที่สำคัญได้

หลังจากแต่งงานแล้ว น้อยคนที่จะยังพยายามสงวนรักษาชีวิตแต่งงานไว้....ยกย่องนับถือกันเหมือนกับแขกคนหนึ่ง หรือให้ความสนใจต่อพฤติกรรมและกิริยามารยาทของตน รวมทั้งคุณความดีจากภายใน และความมีเสน่ห์ คนส่วนใหญ่ที่ทำความรำคาญให้แก่กันก็จะเป็นอยู่อย่างนั้นแล้วก็แย่ลงๆ ทุกที ชีวิตจะสวยงามแบบนี้ไม่ได้หรอก ถ้าเธออยากจะเป็นนักบวช เธอก็อาจจะมาอยู่ที่นี่ก็ได้แล้วก็มาโทรมไปด้วยกัน ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่ถ้าเธออยากจะอยู่ในสังคม เธอต้องพยายามปกป้องครอบครัวของเธอ...ให้บรรยากาศที่เพลิดเพลินมีความสุขแก่กันและกัน และทำให้ชีวิตมีความสุข เวลาเธออยู่บ้าน เธอก็ควรจะดูแลตัวเองและดูแลสามีหรือภรรยาของเธอ บางครั้งสามีก็ควรจะเตือนความจำหล่อนบ้าง ถามหล่อนว่า “ทำไมเดี๋ยวนี้เธอไม่หวีผมเผ้าของเธอเลยล่ะ?” ถามหล่อนว่า “เธออาบน้ำครั้งสุดท้ายตั้งแต่เมื่อไหร่? นานแค่ไหนแล้วจ๊ะ?” พูดแบบตลกๆ เตือนความจำและยกย่องนับถือซึ่งกันและกัน

ถ้าเราไม่มีชีวิตจิตใจ หมดความร่าเริง ชีวิตแต่งงานก็จะสูญสิ้นไปด้วยแน่นอน ทั้งสองฝ่ายไม่มีทางที่จะดึงดูดใจกันได้ ถ้าตัวเราเองไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ แล้วอีกฝ่ายจะรักเราได้อย่างไร? เราไม่มีชีวิตชีวาข้างในตัว เราไม่อยากจะพยายามต่อสู้ เราไม่มีความสุขอยู่ภายใน และก็ไม่สนใจอะไรเลย ถ้าเราไม่สนใจในตัวเอง แล้วใครอื่นที่ไหนจะมาสนใจเรา? สามีของเธอก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกัน ไม่ใช่ท่อนไม้ มนุษย์ทุกคนรักสัจธรรม ความดีและความงาม ถ้ามีอะไรที่สวยงาม เขาก็จะชอบมองแน่ แต่ถ้าคนที่อยู่ที่บ้านน่าเกลียดมาก ก็แน่นอนที่เขาจะต้องมองดูที่อื่นข้างนอกบ้าน ฉันก็จะทำอย่างนั้นเหมือนกันแหละ ( ผู้ฟังหัวเราะ) แล้วเธอก็มาโทษกันเอง แบบนั้นไม่ดีเลย!

เราต้องตรวจดูตัวเราเองก่อนอื่น ถ้าเราไม่รู้วิธีทำอาหาร ก็ทำตามสูตรทำตามตำราไป! มันก็จริงที่ชีวิตมันยุ่งวุ่นวายสำหรับบางคน แต่บางคนก็ไม่ยุ่งขนาดนั้น สามีออกไปทำงานหาเงิน แล้วตัวเธออยู่บ้าน เธอก็อาจจะใช้เวลาบางช่วงในแต่ละปีเพื่อเรียนรู้อะไรบางอย่าง เธออาจจะบอกตัวเองว่าภายในสามเดือนนี้ฉันต้องเรียนรู้วิธีทำอาหาร ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้อะไรเลยในเรื่องนี้ แต่เธอก็จะรู้ไปเองหลังจากที่เธอเรียน! ฉันมั่นใจว่ามันจะได้ผลแน่นอน รับประกันได้! มีหลายแห่งที่สอนวิธีทำอาหารมังสวิรัติ ถึงแม้ว่าเธอจะทำอาหารเนื้อ เธอก็ยังต้องเรียนอยู่ดี ใครที่ไม่ต้องการจะปฏิบัติตามคำสอนของอาจารย์และผู้ที่ไม่ได้เป็นเพื่อนบำเพ็ญก็ยังต้องเรียนเช่นกัน ถ้าหากว่าเขาอยากจะทำอาหารเนื้อให้สามีของเขา เพราะเธอไม่เคยได้รับการสอนวิธีทำอาหารตอนที่เธอยังเด็ก แล้วเธอจะรู้เองโดยอัตโนมัติได้อย่างไร?

หลังจากเรียนวิธีทำอาหารแล้ว ต่อไปเธอก็อาจจะเรียนวิธีตัดเย็บเสื้อผ้าต่อ หรือวิธีเต้นรำ หรืออะไรอื่นๆ แค่นั่งขัดสมาธิบำเพ็ญทุกวันนั้นยังไม่พอหรอก เธอควรจะร่วมกิจกรรมที่ผ่อนคลายสบายๆกับสามีด้วย เกิดอะไรขึ้นหลังจากเธอกลายเป็นพุทธะแล้วน่ะ?....ไม่มีอะไรจะต้องทำต่อไปหรือไร? ชีวิตก็ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ นี่ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกหรือ?

ฉะนั้นชีวิตต้องมีความหลากหลายและมีชีวิตชีวาบ้าง ไม่อย่างนั้นเธอก็อาจจะไปสร้างถ้ำแล้วก็ขังตัวเองอยู่ข้างในนั้น แล้วก็ตายไปเสีย! (อาจารย์หัวเราะ) ถ้าเธอต้องการจะตาย ก็ตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอดเลย แต่ถ้าเธออยากจะมีชีวิตอยู่ ก็จงอยู่อย่างมีชีวิตจิตใจ อยู่อย่างมีความหมายและน่าสนใจ เพราะว่าเราก็ต้องสร้างตัวอย่างสำหรับคนอื่นด้วย ไม่อย่างนั้นทุกคนก็จะคิดว่า หลังจากมาเรียนกับ “ชิงไห่ อู๋ ช่าง ชือ ซูพรีม ซูมา ชิงไห่ จื๊อ” (ผู้ฟังหัวเราะ) แล้ว คนนั้นจะไม่มีอะไรดีขึ้น เก่งขึ้นเลย แถมยังดูแย่ลงกว่าเดิมอีก....แต่งตัวเหมือนกับหัวหน้าแก๊งขอทาน

มิหนำซ้ำหลังจากกินอาหารที่เธอทำแล้ว เขายังคิดจะหนีไปเรียนเมืองนอกเสียอีก (ผู้ฟังหัวเราะ) หรือเธอจะพูดประโยคอะไรออกมาให้ถูกก็ยังไม่ได้ “ฉัน-ไม่-อยาก-จะ-พูด” แต่เธอก็ยังต้องพูด! เธอคิดว่าฉันชอบมาพูดทุกวันอาทิตย์แบบนี้หรือ? แต่ถ้าฉันมีงานที่จะต้องทำ ฉันก็จะทำอย่างดี ฉันต้องอ่านต้องค้นคว้า บางครั้งสิ่งที่ฉันอ่านก็ไม่ได้ถูกนำมาใช้ มันก็ไม่สำคัญหรอก บางครั้งฉันก็ใช้ประโยชน์จากหนังสือ จากเรื่องบางเรื่อง มันให้ความหมายที่โยงไปถึงหรือนำไปสู่เรื่องอื่นๆได้ เมื่อมีการอ้างอิงถึงประวัติศาสตร์หรือตัวอย่างอะไร พวกเธอก็สามารถจะเข้าใจได้ทันทีในสิ่งที่ฉันกำลังพูดถึง

แม้ว่าถึงอย่างไรโลกนี้ก็ไม่ถาวร พระเจ้าก็ได้ประทานชีวิตนี้และร่างกายนี้ให้กับเราแล้ว ก็หมายความว่าท่านต้องการให้เราทำอะไรบางอย่างกับมัน ท่านให้สามีหรือภรรยาเรามาคนหนึ่ง ฉะนั้นท่านจึงต้องการให้เราดูแลเขาหรือหล่อน ร่วมมือกัน ใช้ชีวิตอยู่และเรียนรู้ด้วยกัน เคารพยกย่องกัน เรียนรู้ที่จะเอื้อเฟื้อ สุภาพมีมารยาทในการใช้ชีวิต

เพราะฉะนั้นเราต้องทำอย่างดี ถ้าเธอไม่สามารถจะจัดการกับสามีหรือภรรยาคนหนึ่งได้แล้ว เธอจะไปทำอะไรอย่างอื่นได้...สมัครเป็นประธานาธิบดีหรือ? (ผู้ฟังหัวเราะ) มีคนสมัครกันเยอะแยะแล้ว เธอไม่ต้องลองดูหรอกเธอไม่มีทางจะเบียดเข้าไปได้หรอก ไม่มีโอกาสมากอย่างนั้น ผู้บำเพ็ญอย่างเธอได้แต่รู้วิธีนั่งขัดสมาธิเท่านั้นเอง มันจะดูไม่ได้เรื่องเลยที่จะนั่งขัดสมาธิอยู่ในทำเนียบประธานาธิบดีน่ะ เวลามีราชการงานเมืองคอยให้เธอจัดการอยู่ เธอก็จะพูดว่า “ฉันยังนั่งสมาธิไม่ครบสองชั่วโมงครึ่งเลย” (อาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ) ฉันบอกเธอแล้วว่า มันก็ไม่เป็นไรหรอกที่จะสมัครเป็นประธานาธิบดีหรือทำงานในทำเนียบนั้น แต่ว่าเธอจะต้องทำอย่างดีด้วย ถ้าเธอจัดการกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้ เธอก็จะไม่มีทางจัดการกับงานใหญ่ที่สำคัญได้