วิธีไปถึงดินแดนแห่งพุทธะ
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ มหาวิทยาลัย โคลัมเบีย นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
วันที่ 4 พฤศจิกายน 1989 (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)

ดินแดนพุทธะอยู่ที่ไหน
หนทางสู่ปัญญาไม่มีที่สิ้นสุด
สิ่งมีชีวิตต่างๆ ในกลุ่มดาวอื่นและในโลกอื่น
นักบุญผู้รู้แจ้งมีอยู่ในทุกยุคสมัย
อะไรคือธรรมวิถีที่ถูกต้อง
รูปลักษณะที่ไม่สามารถจะมองเห็นได้
การล้างบาปที่แท้จริง
ความแตกต่างระหว่างดินแดนบริสุทธิ์กับโลกของเรา

สวัสดียามบ่ายอีกครั้งหนึ่งรู้สึกมีความสุขมากที่พวกท่านมาในวันนี้ ตอนนี้เป็นบ่ายวันเสาร์และเวลาของพวกท่านมีค่ามากฉันดีใจที่พวกท่านสละเวลาทำงานของท่านเพื่อมาที่นี่ บางครั้งก็เป็นเรื่องยากที่จะพูดออกมายากที่จะย้อนกลับมาสู่ความคิดตามปกติในระดับของมนุษย์ทั่วไป เพื่อจะได้ใช้ภาษาสื่อต่อต่อกันได้แต่ฉันจะพยายามดู หลังจากพูดไปสักครึ่งชั่วโมงมันก็จะพูดต่อไปได้เองโดยอัตโนมัติ  ในตอนนี้ขอได้โปรดช่วยฉันและร่วมใจกับฉันในการสวดอธิษฐานเพื่อให้การสัมมนาของเรา การประชุมของเราประสบผลสำเร็จ และเป็นประโยชน์ต่อพวกท่านทุกคนรวมทั้งบุคคลที่ท่านรักด้วย เพียงแค่ 2-3 นาทีเท่านั้นขอให้เราช่วยอธิษฐานให้พระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพพูดผ่านมาทางตัวฉัน และให้พระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพในตัวท่านตื่นขึ้นมาฟัง ขอบคุณๆ

 
ดินแดนพุทธะอยู่ที่ไหน
พระศากยมุนีพุทธเจ้าสมัยเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ จริงๆ แล้วตอนนี้ท่านก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่ฉันหมายถึงสมัยเมื่อท่านยังอยู่ในโลกแห่งวัตถุ อยู่ในร่างกายที่มีเนื้อหนังนี้ ท่านได้แนะนำให้เรารู้จักดินแดนอันมหัศจรรย์มากมายซึ่งเราเรียกว่า ดินแดนแห่งพุทธะ และพระเยซูคริสต์สมัยเมื่อท่านยังอยู่ในโลกนี้ท่านก็เล่าให้เราฟัง และแนะนำให้เรารู้จักสิ่งที่เรียกว่าสวรรค์จำนวนมาก ซึ่งเป็นระดับชั้นต่างๆ ของจิตสำนึกนั่นเอง นอกจากนี้ท่านยังบอกเราด้วยว่า “ในบ้านพระบิดาของเรา มีคฤหาสน์อยู่มากมาย” พวกเธอจำได้ไหม? จำได้ใช่ไหม? ดินแดนแห่งพุทธะมากมายนี้หมายความว่าอย่างไร? และที่กล่าวว่า “ในบ้านพระบิดาของเรา มีคฤหาสน์อยู่มากมาย” นั้น หมายความว่าอย่างไร?

ฉันอยากจะแนะนำพวกเธอให้รู้จักดินแดนพุทธะแห่งหนึ่ง และเธออาจจะเรียกที่นั่นว่าเป็นคฤหาสน์ของพระเจ้าหลังหนึ่งก็ได้ ในทางพุทธศาสนานั้นมีดินแดนพุทธะแห่งหนึ่งซึ่งสวยงามมาก จริงๆ แล้วดินแดนพุทธะมีอยู่มากมายแตกต่างกันแต่วันนี้เราจะพูดถึงดินแดนพุทธะเพียงแห่งเดียวก่อน ดินแดนพุทธะแห่งนี้เรียกว่าดินแดนแห่งราชาของไภษัชคุรุพุทธะ  เมื่อสมัยที่พุทธะองค์นี้ยังอยู่ในร่างกายเนื้อและท่องไปทั่วโลกเพื่อช่วยสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นนั้น ท่านมีปฏิญญาอยู่ 12 ข้อเพื่อยังประโยชน์ให้แก่ผู้คน การตั้งคำสัตย์ปฏิญานนี้หมายความว่าอย่างไร? เวลาที่เธอบำเพ็ญปฏิบัติเพื่อมุ่งสู่ความเป็นพระโพธิสัตว์ หรือหมายถึงเมือเธอกำลังบำเพ็ญปฏิบัติเพื่อมุ่งสู่ความเป็นพระโพธิสัตว์ หรือหมายถึงเมื่อเธอกำลังบำเพ็ญตนเพื่อเป็นนักบุญนั้น เธอก็อยากจะช่วยผู้คนด้วยวิธีการบางอย่าง ดังนั้น เธอจึงตั้งปรารถนาไว้ในใจว่าผู้คนต่างๆ จะได้รับประโยชน์จากเธอด้วยวิธีการบางอย่าง นี่แหละที่เรียกว่า “ปฏิญญา” และจากพลังแห่งการบำเพ็ญของเธอ คุณธรรมของเธอ ความตั้งใจจริงของเธอ และความปรารถนาดีของเธอ ปฏิญญาเหล่านี้จะกลายเป็นจริงได้

ปฏิญญาข้อหนึ่งของราชาแห่งไภษัชคุรุพุทธะซึ่งในภาษาจีน เรียกว่า “เอี้ยว ซือ โฝ” ก็คือ ถ้าหากใครมาหาท่านด้วยโรคภัยไข้เจ็บไม่ว่าจะทางร่างกายหรือจิตใจ ในขั้นแรกท่านก็จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของพวกเขา เอาอาหารมาให้รับประทานให้ยาเพื่อรักษาสุขภาพ จากนั้นท่านก็จะช่วยทำให้พวกเขาตระหนักรู้ในพลังความสามารถอันสูงสุดซึ่งมีอยู่ในตัวของพวกเขาอย่างช้าๆ ซึ่งสิ่งนี้เราเรียกว่าธรรมชาติแห่งพุทธะ หรืออาจจะเรียกว่าอาณาจักรของพระเจ้าก็ได้  เพราะฉะนั้นเมื่อบรรดาลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าเดินทางไปถึงดินแดนของท่านไภษัชคุรพุทธะ พวกเขาก็พบว่าดินแดนแห่งนี้มีอัญมณีมากมายและพื้นดินก็ทำด้วยแก้วผลึก ส่วนใหญ่ดินแดนแห่งพุทธะทั้งหลายจะมีลัการะคล้ายคลึงกัน ดินแดนของท่านไภษัชคุรุพทุธะก็มีลักษณะคล้ายกับดินแดนของท่านอมิตาภพุทธะ พื้นดินทำด้วยแก้วผลึกหรืออัญมณีอันมีค่า บ้านเรือนก็สร้างขึ้นด้วยอัญมณี 7 ชนิด... ได้แก่ ทับทิม เพชร และทอง ฯลฯ  และผู้คนที่อาศัยอยู่ในดินแดนแบบนี้ก็จะมีความสุขอยู่เสมอมิได้ขาด ไม่เคยมีความยากลำบากอะไรเลย ไม่เคยได้ยินเรื่องราวอันทุกข์ยากเลย แม้แต่คำว่าความทุกข์ยากก็ไม่มีอยู่ในดินแดนนี้ ประสบการณ์เกี่ยวกับความทุกข์ที่พวกเขาจำเป็นต้องได้รับนั้นแทบจะไม่ต้องกล่าวถึงเลย

ในขณะที่โลกของเราซึ่งเรียกว่าโลกมนุษย์นั้น มีการผสมผสานกันระหว่างความสุขและความทุกข์บางครั้งเราก็มีความสุข บางครั้งก็มีความทุกข์ บางคนมีความสุข บางคนมีความทุกข์ แต่ในดินแดนของพุทธะนั้นจะต่างออกไป มีแต่ความสุข มีแต่ความสนุกสนาน มีแต่ความปลื้มปีติ มีแต่ความรัก ไม่มีความทุกข์ยาก ไม่มีความเข้าใจผิด ความรุนแรง การตำหนิติเตียน การทะเลาะเบาะแว้ง หรือสงครามเลย 

พระพุทธเจ้าท่านมีวัตถุประสงค์อะไรจึงได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับดินแดนอันสวยสดงดงามนี้ให้ผู้คนฟัง? ก็เพื่อให้พวกเขาตระหนักรู้ว่ายังมีจักรวาลอื่นๆ อีก ยังมีโลกอันสวยงามอื่นๆ อีก ซึ่งเราสามารถไปอยู่อาศัยได้อย่างถาวรไม่จำเป็นต้องมายึดติดอยู่กับโลกที่ทุกข์ทรมานนี้ ถ้าหากเราคิดว่าโลกของเรานี้น่าทุกขเวทนาเกินไปสำหรับเรา และเราไม่ต้องการจะอยู่ที่นี่เราก็ยังมีทางเลือก นี่แหละคือวัตถุประสงค์ที่พระพุทธเจ้าลงมาในโลกนี้ นี่แหละคือวัตถุประสงค์ของพระเยซูเมื่อท่านลงมาในโลก เพื่อแนะนำผู้คนในโลกของเราให้รู้จักโลกอื่นๆ อีกมากมายซึ่งมีชีวิตอันสุขสบาย เหมาะแก่สภาพจิตใจของเราหรือความปรารถนาของเรามากกว่าโลกแห่งนี้

หนทางสู่ปัญญาไม่มีที่สิ้นสุด

ทีนี้ เรามักจะคิดกันว่า พระพุทธเจ้าเสียชีวิตไปแล้ว พระเยซูตายจากโลกนี้ไปแล้ว แต่ไม่ใช่เช่นนั้น ทั้งพระเยซูและพระพุทธเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ เพียงแต่พระองค์อยู่ในสถานที่ที่ต่างไปได้มีการวิวัฒนาการไปตามเวลารวมทั้งหน้าที่การงาน และการเรียนรู้ของพระองค์เราไม่มีวันที่จะเรียนรู้ได้หมด อย่าคิดว่าหลังจากเราเป็นพุทธะหรือเป็นเหมือนพระคริสต์แล้วเราจะหยุดเรียนรู้ ไม่ใช่ ถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็ตีบตันอยู่แค่นั้นหนทางแห่งปัญญานั้นไม่มีที่สิ้นสุด

เพราะฉะนั้น เธอคงจำได้ว่าในคัมภีร์ไบเบิลพระเยซูได้ตรัสอะไรบางอย่างที่แปลกประหลาดไว้ ท่านกล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นมหัศจรรย์หรือความยิ่งใหญ่อะไรซึ่งเราทำไว้ในวันนี้ พวกท่านสามารถจะทำได้ดียิ่งกว่านี้อีกในวันข้างหน้า พระองค์พูดอย่างนั้นไม่ใช่หรือ? ใช่ ใช่! การพูดเช่นนี้แปลกไหม? เราจะทำได้ดีกว่าพระเยซูได้อย่างไร? ใครทราบบ้าง? กรุณายกมือขึ้น บางทีฉันอาจจะให้แอปเปิ้ลเป็นรางวัล ใช่ มีใครทราบบ้างว่าทำไมพระเยซูจึงตรัสอะไรแปลกๆ แบบนั้น? ทำไมพระองค์จึงกล่าวว่า เราสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าที่ท่านเคยทำมาแล้ว? ทำไม? ทำไมพระองค์จึงถ่อมตัวแบบนี้ ใช่ แต่ว่าทำไมจึงต้องยิ่งใหญ่กว่าพระเยซูด้วย? พระองค์ไม่ใช่เป็นบุตรคนเดียวของพระเจ้าดอกหรือ? (ผู้ฟัง: พวกเราก็เหมือนๆ กับพระองค์) แล้วทำไมเราจึงควรจะยิ่งใหญ่กว่าพระองค์ล่ะ? ท่านควรจะพูดว่า พวกเธอก็สามารถทำได้เหมือนๆ กับพระองค์ ทำไมพระองค์จึงกล่าวว่า : พวกเธออาจจะทำได้ดีกว่าตัวพระองค์อีก?

สิ่งที่พวกเธอพูดมานี้ถูกต้องหมด ทุกคนพูดถูกเฉพาะบางส่วนทีนี้ฉันจะเพิ่มเติมให้อีกบางส่วน ผู้ชายที่ตอบคนสุดท้ายนั้นพูดได้ถูกต้องกว่าคนอื่นๆ นิดหน่อย ยกตัวอย่างเช่น ในตอนที่เธอได้พบกับครูของเธอหรือที่เราเรียกว่าได้รับการประทับจิตนั้น เธอเพิ่งจะได้ลิ้มรสสวรรค์เพียงนิดหน่อยเท่านั้น เข้าใจไหม? เพียงแค่ส่วนเล็กน้อยจากพลังภายในตัวของเธอทั้งหมดเพราะฉะนั้นเธอก็จะยกย่องพระเยซู หรือคนที่เป็นครูของเธออย่างมาก เธอจะพูดว่า “โอ! เป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ท่านอาจารย์ทำอะไรให้ฉันน่ะ? ช่างเหลือเชื่อจริงๆ!” ดังนั้นพระเยซูจึงตรัสอย่างถ่อมตัวว่า “ไม่ใช่! ไม่ใช่! สิ่งที่เธอได้นั้นยังไม่มีอะไรเท่าไร เธอจะทำได้ดีกว่านี้อีก” ท่านคงหมายความว่า เมื่อเธอพัฒนาก้าวหน้ามากขึ้นเธอก็จะรู้มากกว่าสิ่งที่เธอรู้ในวันนี้ นี่คือคำอธิบายที่เป็นไปได้อันหนึ่งสำหรับช่วงเวลานั้น ยังอาจมีความหมายที่เป็นไปได้อีกแบบหนึ่ง นั่นก็คือ ในช่วงเวลานั้นพระเยซูอาจจะยังไม่พัฒนาก้าวหน้ามากเท่าที่ควรจะเป็น บางทีในตอนนี้ถ้าหากพระเยซูกลับมาใหม่ในตอนนี้ท่านอาจจะยิ่งใหญ่กว่าสมัยนั้นก็ได้ นี่ก็อาจเป็นคำอธิบายอีกแบบหนึ่ง

ยังมีคำอธิบายอีกลักษณะหนึ่ง คือ บางทีในสมัยนั้นถึงแม้ว่าพลังของพระเยซูจะยิ่งใหญ่มากก็จริงแต่ก็เป็นการยากที่จะแผ่ออกไป ยากที่จะนำไปใช้เป็นประโยชน์แก่ผู้คน เพราะในช่วงเวลานั้นจิตใจของมนุษย์เรายังไม่ได้รับการพัฒนามาก ไม่ใช่หรือ? ในตอนนั้นเรายังไม่เจริญ ยังไม่ฉลาด เหมือนในปัจจุบันนี้ จริงไหม? แม้แต่พระเยซูผู้ยิ่งใหญ่ยังไม่สามารถจะทำอะไรได้มากเลย ก็คล้ายๆ กับเธอเป็นแพทย์ที่ยอดเยี่ยมมาก เป็นวิศวกร หรือเป็นอะไรก็ได้ แล้วเธอเดินทางไปแอฟริกา พร้อมกับความรู้ระดับปริญญาเอกของเธอ เธอจะสามารถทำอะไรได้บ้างล่ะในป่าเขาแบบนั้น? ใช่ไหม? เธออาจจะทำได้แค่ใช้ยาแผนโบราณบางชนิด เอาคนป่วยมากทำความสะอาดด้วยสบู่ ก็ทำได้แค่นั้นเอง และถ้าหากคนป่วยเขารู้สึกดีขึ้น เขาก็ยกย่องเธอ เธอก็อาจจะบอกว่า “ไม่หรอก! ไม่หรอก! นี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย” ซึ่งก็เป็นความจริง มันแทบจะไม่มีอะไรเลยเมื่อเทียบกับสิ่งที่แพทย์สามารถจะทำได้ในสภาวะปกติทั่วไป ในโรงพยาบาลที่ดีๆ ซึ่งแพทย์มีเครื่องมือทุกชนิดพร้อม รวมทั้งมีพนักงานคอยช่วยเหลือให้เขาทำงานได้สะดวก

นอกจากนี้ตอนที่พระเยซูมานั้นเป็นเวลา 2,000 ปีมาแล้ว หลังจากผ่านไปนานถึงสองพันปี ท่านก็คงได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นอีกมาก เพราะฉะนั้นในตอนนี้ ถ้าใครซึ่งอยู่ในอนาคตมาพบกับพระเยซูในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่าสมัยก่อน ผู้คนมีความเจริญมากกว่าแต่ก่อนแน่นอน พวกเขาก็ต้องสามารถทำมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นได้ ใช่ไหม?

เพราะฉะนั้นถ้าเราดูในคัมภีร์ไบเบิลพระเยซูแทบไม่ได้มีโอกาสพูดอะไรมากเลย สิ่งที่พระองค์ตรัสออกมานั้น ฉันต้องขอโทษด้วยนะที่พูดออกมาอย่างนี้ ถึงแม้ว่าพระองค์จะยิ่งใหญ่มาก แต่ก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่มากมายอะไร เข้าใจที่ฉันพูดไหม?  ฉันไม่ได้หมายความว่าพระเยซูไม่ได้ยิ่งใหญ่ เพียงแต่พระองค์ไม่มีโอกาสที่จะได้พูดอะไรออกมามากนัก นอกจากนี้ ผู้คนในสมัยนั้นก็ไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจมากมายอะไร ไม่ยิ่งใหญ่พอที่จะมาเทียบเคียงกับปัญญาของพระเยซู เพราะฉะนั้นท่านจึงต้องเล่านิทานเปรียบเทียบ ต้องเล่าเรื่องอะไรให้ฟัง ต้องใช้พลังการรักษาโรคบางอย่างและสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เพื่อจะได้สามารถปลุกผู้คนให้ตื่นขึ้น และยังต้องพูดโดยใช้คำที่ง่ายๆตรงไปตรงมาบอกพวกเขาปฏิบัติตามพระบัญญัติ ให้เชื่อในพระเจ้า ให้สวดอธิษฐานถึงพระเจ้า ฯลฯ มีลูกศิษย์ของท่านเพียงไม่กี่คนที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ถ่ายทอดข่าวสารของท่าน ที่เหลือนอกนั้น ท่านก็ได้แต่รักษาโรคภัยไข้เจ็บให้ ยกระดับจิตใจพวกเขาให้สูงขึ้นนิดหน่อยโดยใช้วิธีการซึ่งมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น หรือช่วยทำให้พวกเขาสุขสบายขึ้น เตือนพวกเขาถึงเรื่องกฎบัญญัติต่างๆ หรือเตือนให้ระลึกถึงพระเจ้า

เพราะฉะนั้นผู้ที่มาภายหลังพระเยซูซึ่งมีความสามารถเหมือนๆ กับท่าน ได้รับการรู้แจ้งในระดับเดียวกับท่านจึงสามารถทำอะไรได้มากกว่าท่านเยอะ สามารถพูดอธิบายโดยใช้เหตุผลได้ดีกว่า ซึ่งก็เหมาะกับสังคมสมัยใหม่มากกว่า ไม่จริงหรือ? ฉันพูดถูกต้องไหม? ใช่ หรือไม่ใช่? ถูกไหม? ฉันรู้ว่ามันน่าง่วงนอนนิดหน่อย ฉันจะพูดเรื่องตลกให้ฟังทีหลังพวกเธอจะได้ตื่นขึ้น เพราะฉะนั้นจึงไม่เป็นประโยชน์กับเรามากนักถ้าเราจะมัวยึดติดกับภาพพจน์เก่าๆ ในสมัยโบราณของพระเยซูหรือของพระพุทธเจ้า เราต้องเดินต่อไปข้างหน้าและสิ่งที่เราเรียนรู้ในปัจจุบันนี้ก็ไม่จำเป็นแบบเดียวกับผู้คนในอดีตเขาเรียนรู้กัน

ทีนี้ก็มาถึงจุดที่ว่า ทำไมพระพุทธเจ้าจึงมีเวลามากมาย และพูดเกี่ยวกับดินแดนแห่งพุทธะจำนวนมากมายเอาไว้? จริงๆแล้วไม่ใช่ “ตัวท่าน” ที่เป็นคนพูดเรื่องเหล่านี้ด้วยซ้ำแต่เป็นลูกศิษย์ของท่าน ซึ่งได้ถูกนำไปยังดินแดนแห่งพุทธะและกลับมาเขียนเป็นบันทึกเอาไว้ แน่นอน พระพุทธเจ้าก็ต้องอยู่ที่นั่นด้วยอยู่ในดินแดนแห่งพุทธะนั้น แล้วท่านก็เป็นผู้พาลูกศิษย์ไปชมรอบๆ แนะนำโน่นนี่ให้แก่ลูกศิษย์ และจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่แบบนั้น ไม่ใช่เรื่องจำเป็นเลยที่ท่านจะต้องพูดให้ชาวโลกฟังด้วยภาษามนุษย์ เข้าใจไหม? ลูกศิษย์ของฉันบางคน, อาจจะเรียกว่า ลูกศิษย์, นักเรียน หรือเพื่อนบำเพ็ญก็ได้ตามใจเธอ บุคคลเหล่านี้ก็ได้รับประสบการณ์คล้ายคลึงกัน พวกเขาถูกพาไปยังดินแดนอันสวยงาม ซึ่งเต็มไปด้วยความรัก ความสงบสุข หรือความรุ่งเรือง เป็นพระราชวังทอง ซึ่งมีพื้นปูลาดด้วยแก้วผลึก และเมื่อพวกเขากลับมาลงมายังโลกนี้ใหม่ พวกเขาก็จดบันทึกประสบการณ์เหล่านี้ ความสุขที่เขาได้รับในอาณาจักรสวรรค์ หรือในดินแดนแห่งพุทธะเหล่านี้ เพราะฉะนั้น ดินแดนพุทธะเหล่านี้จึงมีอยู่จริง และมีความสวยงามมากกว่าโลกของเรามากนัก

สิ่งมีชีวิตต่างๆ ในกลุ่มดาวอื่นและในโลกอื่น

ภายในจักรวาลเราสามารถใช้ตาเนื้อของเรามองเห็นว่ามีโลกอยู่มากมายหลายแห่ง นักวิทยาศาสตร์ของเรากำลังพยายามอย่างหนักที่จะค้นพบว่าโลกเหล่านี้เป็นแบบไหน มีผู้คนอาศัยอยู่หรือไม่? ผู้คนที่นั่นคล้ายคลึงกับพวกเราหรือไม่? และการค้นพบทางวิทยาศาสตร์บางอันก็ได้พิสูจน์แล้วว่าโลกบางโลกมีผู้คนอาศัยอยู่ ซึ่งมีลักษณะละม้ายคล้ายคลึงกับพวกเราแต่บางครั้งก็ไม่ค่อยเหมือน โลกต่างๆ เหล่านี้ในระบบจักรวาลมีสิ่งมีชีวิตอยู่จริงๆ ซึ่งมีแตกต่างกันมากมายหลายแบบ บางแห่งก็มีความแตกต่างกันทางด้านความถี่ แรงสั่นสะเทือน ซึ่งตาเนื้อของเราไม่สามารถรับรู้ได้ ถึงแม้ว่าเราจะส่งยานอวกาศออกไปยังโลกนั้นโดยมนุษย์อวกาศของเรามีเครื่องมือพร้อมสรรพ เราก็ยังไม่สามารถมองเห็นพวกเขาได้ เพราะฉะนั้น เมื่อนักบินอวกาศของเราเดินทางไปยังดวงจันทร์ เขาจึงมองไม่เห็นอะไรเลย เขาก็เลยเอาก้อนหินบางชนิดกลับมาบ้าน หินเหล่านี้ราคาแพงมาก ฉันคิดว่าเราควรจะไปซื้อมัน แล้วเอามาห้อยไว้ที่คอของเรา....เป็นหินจากดวงจันทร์ เพราะว่ามีราคาแพงกว่าทองอีกเมื่อเอาราคาของยานอวกาศมาใช้คำนวณด้วย

ทำไมตาของเราจึงมองไม่เห็นสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นซึ่งอยู่ในแกแล็คซี่อื่นหรือโลกอื่น ก็เพราะว่าตัวเราทำด้วยสารซึ่งมีความหนาแน่นแตกต่างออกไป ถูกไหม? จริงๆ แล้วสารก็ไม่ใช่สารหรอก ฉันคิดว่าวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์เรื่องนี้ไว้ อันที่จริงสารนั้นมีธรรมชาติของความว่างเปล่าเพียงแต่มีความหนาแน่นแตกต่างกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเข้าใจได้ง่ายมาก  เพราะฉะนั้น พุทธศาสนาจึงมีทฤษฎีที่เกี่ยวกับความว่างๆ นี้หมายความว่า ธรรมชาติของทุกสิ่งทุกอย่างเป็นความว่างเปล่า เพียงแต่มันมีความหนาแน่นแตกต่างกันเท่านั้น

ทีนี้ฉันจะพยายามทำให้เป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้น เช่น อวกาศ..... เราไม่สามารถมองเห็นอากาศเราเพียงแต่ใช้มันได้เท่านั้น เราหายใจได้และรู้สึกว่ามีอากาศอยู่เมื่อมีลมพัด มิฉะนั้นแล้ว เราก็จะไม่สามารถเห็นอากาศ ไม่สามารถรู้ว่าอากาศนั้นมีอยู่ อากาศประกอบด้วยออกซิเจน และ ไฮโดรเจน ทุกคนรู้เรื่องนี้ ใช่ไหม? น้ำก็ประกอบด้วยได้โดรเจนและออกซิเจน ไม่ใช่หรือ? มีองค์ประกอบเหมือนกันคือ H2O แต่อากาศก็แตกต่างจากน้ำโดยสิ้นเชิง จริงไหม? ถ้าเรากระหายน้ำเราไม่สามารถดื่มอากาศได้ เราต้องดื่มน้ำถึงแม้ว่าทั้งสองอย่างจะประกอบด้วยสารอย่างเดียวกัน มีเปอร์เซ็นต์ขององค์ประกอบเหมือนกัน เป็นเรื่องที่แปลกใหม? ทีนี้น้ำแข็งก็ยิ่งต่างออกไปใหญ่ น้ำแข็งมีความหนาแน่นต่างออกไป ฉันคิดว่าน้ำรวมตัวกันหนาแน่นขึ้นจนกลายเป็นของแข็งเราก็เลยมีน้ำแข็ง เรื่องนี้จึงช่วยให้เราอธิบายสิ่งที่แตกต่างกันในจักรวาล ทำไมบางอย่างจึงเป็นของแข็งมองเห็นได้ แต่บางอย่างก็แทบจะจับต้องไม่ได้มองก็ไม่เห็น  ฉันคิดว่ามันก็เป็นทฤษฎีอันเดียวกัน เราจึงได้ยินคนพูดว่า “ทุกสิ่งในจักรวาลเป็นหนึ่งเดียวกัน มีแก่นแท้อย่างเดียวกัน” วันนี้ ฉันรู้แจ้งในเรื่องนี้ต้องขอบคุณพวกเธอ ถ้าฉันไม่ได้พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ฉันก็คงลืมปัญญาส่วนนี้ไปแล้ว ฉันคงจำไม่ได้เข้าใจไหม? เพราะว่าเธอมาวันนี้และต้องการจะรู้เรื่องนี้ ฉันก็เลยมีโอกาสได้ขุดข้อมูลนี้ออกมาให้เธอ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอฉันก็คงไม่ต้องการข้อมูลส่วนนี้ มันคงจะถูกเก็บสะสมไว้และถูกลืมไป

การรู้แจ้งก็คล้ายๆ แบบนี้ เราจำเป็นต้องเปิดความทรงจำของเราออกมา เราต้องใช้มันทุกวันในชีวิตประจำวันของเรา ในการบำเพ็ญปฏิบัติทุกๆ วัน เราจะเปิดความลี้ลับออกมามากขึ้น ยังมีความสามารถอีกมากมายที่ถูกเก็บเงียบอยู่ในสมองของเรา นี่แหละที่เราเรียกว่า การรู้แจ้งนี่แหละที่เราเรียกว่าได้รับปัญญามากขึ้น ไม่มีอะไรลึกลับทุกสิ่งทุกอย่างเรามีอยู่แล้วในสมองของเรา ถูกเก็บสะสมไว้ เพียงแต่ว่าเมื่อเราไม่ได้ใช้มัน เราก็เลยลืมมัน จึงดูคล้ายๆ กับว่าสิ่งนี้ไม่มีอยู่

ตามที่ฉันเล่าให้พวกเธอฟังเกี่ยวกับเรื่องของ น้ำ อากาศ และน้ำแข็ง ซึ่งสร้างจากธาตุชนิดเดียวกันนั้นตัวของเราก็ถูกสร้างขึ้นจากแก่นแท้ชนิดเดียวกัน เป็นธาตุชนิดเดียวกันนั่นก็คือแสง แรงสั่นสะเทือน ซึ่งเราเรียกว่าพระวจนะหรือคำพูด ในคัมภีร์ไบเบิลพระวจนะนี้หมายถึงแรงสั่นสะเทือน ในสมัยโบราณเขาไม่เรียกว่าแรงสั่นสะเทือน เขาเรียกว่าพระวจนะ เป็นอะไรบางอย่างที่มีเสียง เป็นสิ่งซึ่งทำให้เกิดเสียง...นั่นก็คือพระวจนะ ไม่ว่าจะเป็นเสียงที่มองไม่เห็นหรือเสียงที่มองเห็น เขาก็ไม่มีวิธีอธิบายมัน จึงเรียกกันว่าพระวจนะ เล่าจื๊อก็ไม่มีคำอธิบายเกี่ยวกับสิ่งนี้ท่านจึงกล่าวว่า “ถ้าเธอกดดันฉันมากไป ฉันก็จะกล่าวสิ่งที่ยิ่งใหญ่นี้ออกมา สิ่งนี้คือ เต๋า ฉันไม่มีชื่อเรียกมัน” คำศัพท์ทางพุทธศาสนาเรียกว่า กระแสเสียง ใช่ไหม? เป็นเสียงภายใน ทุกอย่างนี้ก็หมายถึงสิ่งเดียวกัน เราจึงได้ยินคำกล่าวในคัมภีร์ไบเบิลว่า “ในปฐมกาลก็มีพระวจนะอยู่แล้ว พระวจนะนั้นอยู่กับพระเจ้า แต่พระวจนะนั้นก็คือพระเจ้า”  ใช่ไหม?

เพราะฉะนั้นแรงสั่นสะเทือนนี้หรือแสงนี้ก็ค่อยๆ มีความหนาแน่นมากขึ้น เมื่อมันเคลื่อนลงมาในระดับชั้นต่างๆ ของจักรวาลตามลำดับ มันจะหนาแน่นมากขึ้น และหนาแน่นที่สุดที่นี่  เราจึงมีร่างกายที่มองเห็นได้เพื่อใช้ในการเคลื่อนไหวไปรอบๆ แต่เมื่อบางคนบำเพ็ญปฏิบัติขึ้นไปถึงระดับชั้นที่สุดมาก พัฒนาตัวของเขาสู่ปัญญาสูงสุด สู่พลังสูงสุด เขาก็จะกลับหลอมรวมกับแหล่งดั้งเดิม เพราะฉะนั้นบางครั้งเธอจึงเห็นร่างกายของเขาอันตรธานหายไป แต่ไม่ใช่ว่าเขาหายไปจริงๆ เพียงแต่เขาหลอมรวมกลายเป็นลักษณะดั้งเดิม ก็เหมือนกับน้ำแข็งที่ถูกแสงหรือถูกไฟมันก็หลอมละลายกลายเป็นน้ำ จากนั้นก็หายไปกลายเป็นอากาศอีกครั้งหนึ่ง แต่เวลาที่เรานั่งสมาธิ เราปฏิบัติ เรากลายเป็นพุทธะเป็นมหาอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่เราจะไม่หายตัวไปรวดเร็วนัก เรายังสามารถควบคุมร่างกายของเราได้ ควบคุมจุดหมายปลายทางของเราได้  และเราต้องการจะอยู่เพื่อประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น แต่ร่างกายของเราไม่ได้เป็นร่างกายจริงๆ อีกต่อไปแล้ว

เพราะฉะนั้น ในบางครั้งถ้าอาจารย์ท่านหนึ่งบรรยายธรรมด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง อาจจะอยู่ในสมาธิหรือกำลังสอนผู้อื่นด้วยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง อาจจะมีบางคนซึ่งไม่เห็นร่างกายของอาจารย์ท่านนั้นเลยเพียงแต่เห็นแสงที่กว้างใหญ่ไพศาลดุจมหาสมุทร  และแสงนั้นจะกลืนเอาทุกคนที่ฟังการบรรยายธรรมนั้นไว้ พวกเขาอาจจะมีประสบการณ์แบบนี้ได้ในบางครั้งอาจจะนานสักครึ่งชั่วโมงหนึ่งชั่วโมง, 2 หรือ 3 ชั่วโมงก็ได้ ตัวเธอจะถูกกลืนหายไปในทะเลของแสงและความสุขสันต์ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ อาจารย์ท่านนั้นได้หลอมรวมเข้ากับมหาสมุทรแห่งแสง บางครั้งผู้ที่เป็นอาจารย์อาจเลือกที่จะปรากฎตัวให้ลูกศิษย์บางคนได้เห็น เพื่อทำให้เขามีความเชื่อมั่นมากขึ้น หรืออาจจะเป็นเพราะลูกศิษย์คนนั้นมีบุญสัมพันธ์อันยิ่งใหญ่กับอาจารย์ท่านนั้นในอดีตก็ได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเห็นปรากฏการณ์นี้และไม่ใช่ว่าอาจารย์ทุกท่านจะมีความสูงส่งจนสามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ได้หมด

 

1 - 2