การรู้แจ้งคือเครื่องมือสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ วอชิงตันดีซี สหรัฐอเมริกา
วันที่ 14 เมษายน 1993
การรู้แจ้งนั้นมีอยู่แล้ว รอให้ผู้ที่เป็นอาจารย์มาเปิดมันเท่านั้น
ความแตกต่างระหว่างผู้ที่รู้แจ้งและไม่รู้แจ้ง
ทุกๆ คนได้รับส่วนแบ่งของปัญญานี้
หนทางที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสุภาพบุรุษก็คือการรู้แจ้ง
สิ่งที่พระเยซูและพระพุทธเจ้าสามารถทำได้เราก็ทำได้ด้วย
การรู้แจ้งนำความสุขมาสู่ชีวิต
ธรรมวิถีกวนอิมนำเราไปสู่ต้นตอของสิ่งต่างๆ ทั้งมวล
อาจารย์ที่แท้จริงจะปลุกตัวตนภายในที่แท้จริงของเธอให้ตื่นขึ้น
ธรรมชาติที่แท้จริงไม่ได้อยู่กับสิ่งใด ฝุ่นไม่มีทางจะเกาะมันได้
การรู้แจ้งฉับพลันภายหลังการประทับจิต
 

ฉันรู้สึกท่วมท้นตื้นตันในความรักของท่าน และโปรแกรมการต้อนรับที่พวกท่านได้จัดขึ้น ก่อนหน้านี้ฉันรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมาก เพราะต้องเดินทางและไม่ได้นอนพักผ่อนมาเป็นเวลาหลายวัน แต่ในคืนนี้ฉันรู้สึกว่าฉันได้รับพร และมีความปลื้มปิติอย่างมากที่ได้มาร่วมการชุมนุมกับพวกท่าน ฉันมั่นใจว่าเราจะได้รู้จักกันและกันเหมือนอย่างที่เราเคยรู้จักกันมาแล้ว คืนนี้ไม่มีอะไรใหม่สำหรับพวกเราเลย แต่ขอให้เราได้เตือนใจกันและกันถึงสิ่งที่อาจจะลืมไป หรือสิ่งที่เราได้นำไปวางไว้ที่มุมอันห่างไกลแห่งจิตวิญญาณของเรา แล้วก็ไม่มีโอกาสไปเปิดดูมันอีกเลย สิ่งนั้นก็คือการรู้แจ้งหรือธรรมชาติแห่งการรู้แจ้งของตัวตนอันยิ่งใหญ่ของพวกเรา ที่ฉันรู้สึกตื้นตันนั้นมิใช่เพราะความรักของพวกท่านเท่านั้น แต่เพราะฉันรู้อย่างชัดเจนว่า ฉันกำลังนั่งอยู่ต่อหน้าบรรดาพุทธะและพระเจ้าที่ปรากฏโฉมออกมา สิ่งนี้แหละที่นำน้ำตาแห่งความยินดีมาสู่หัวใจของฉัน ไม่ใช่ว่าทุกครั้งที่ฉันนั่งอยู่กับคนจำนวนมากแล้วฉันจะรู้สึกตระหนักยินดีในเรื่องนี้เสมอไป แต่มันก็เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ และมันเป็นสิ่งที่งดงามมาก โดยเฉพาะบางโอกาสที่ฉันรู้สึกท้อถอย ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมานี้ ฉันครุ่นคิดถึงสิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่ว่ามันเป็นสิ่งที่มีประโยชน์จริงๆ หรือเปล่า

แต่ในคืนนี้ฉันก็รู้สึกว่าฉันจะทำมันต่อไป ทั้งนี้ก็เพราะความรักของพวกท่านและปัญญาอันสูงส่งของพวกท่าน ฉันรู้ดีว่าฉันจะทำมันต่อไปได้แน่นอน (คนปรบมือ) และในอนาคตอันใกล้นี้หากฉันได้รับความสำเร็จสามารถทำให้ผู้คนได้รับความสุข ได้ตระหนักรู้ถึงพระเจ้าในระหว่างที่เดินทางไปบรรยายธรรมตามที่ต่างๆ นี้ ฉันก็จะระลึกถึงผู้คนที่วอชิงตันดีซี ขอบคุณมากๆ (คนปรบมือ) คืนนี้ฉันต้องการสิ่งนี้จริงๆ มันเป็นสิ่งที่ดีมาก (คนปรบมือ)

 

การรู้แจ้งนั้นมีอยู่แล้ว รอให้ผู้ที่เป็นอาจารย์มาเปิดมันเท่านั้น
 

การรู้แจ้งนั้นมีอยู่ภายในตัวของเราอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ว่าสิ่งใดที่เพื่อนประทับจิตของเราบอกว่ามาจากตัวฉัน ฉันก็ไม่ควรจะยอมรับเพราะว่ามันเป็นของพวกเธอทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นความยิ่งใหญ่หรือพระพรซึ่งเธอได้รับในระหว่างที่เธอฝึกบำเพ็ญทางจิตวิญญาณ หรือเธอค้นพบมันใหม่อีกครั้งหนึ่งก็ล้วนแต่เป็นของเธอ แต่เนื่องจากพี่ๆ น้องๆ ที่มีจิตวิญญาณพัฒนาขึ้นมาอยู่ในระดับสูง จะมีธรรมชาติของความถ่อมตนอยู่ภายใน พวกเขาจึงยกพลังมหัศจรรย์ต่างๆ และพลังพรทั้งหมดให้กับผู้ที่เป็นอาจารย์ ไม่ว่าอาจารย์ของเขาจะเป็นใครซึ่งอาจจะบังเอิญเข้ามาอยู่ร่วมหนทางเดียวกับเขา และได้ช่วยแสดงวิธีให้เขาได้ค้นพบตนเองอีกครั้งหนึ่ง ถ้าหากพวกเธอไม่ได้รู้แจ้งอยู่ก่อนแล้ว ถ้าธรรมชาติของเธอไม่ใช่พุทธะ ฉันก็ไม่มีวันจะทำให้เธอกลายเป็นพุทธะได้เลย ถ้าพระเจ้าไม่ได้อยู่ในตัวเธอมาก่อนแล้ว ฉันก็ไม่มีวันแสดงพระเจ้าที่อยู่ภายในตัวของเธอได้ ฉันไม่สามารถจะทำให้หินกลายเป็นเพชร ไม่ว่าฉันจะนั่งขัดถูมันนานสักเท่าไรก็ตาม เธอเข้าใจไหม!

เพราะฉะนั้น จากความถ่อมตนทั้งหมดของฉันๆ จึงอยากจะบอกให้พวกเธอทราบว่าพวกเธอนั้นมีความยิ่งใหญ่มาก พวกเธอคือมหาอาจารย์สูงสุดและเราทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีอะไรที่ฉันควรจะเอามาสอนเธอเพียงแต่จะช่วยชี้ให้เธอเห็นอัญมณีอันมีค่า ซึ่งเธอเก็บไว้ในกระเป๋าและเธอลืมมันไปเนื่องจากเธอมัวแต่วุ่นวายเที่ยวมองหามันที่อื่น บ่อยครั้งทีเดียวที่เธอทำแบบนั้นเธอเอาของใส่กระเป๋า เช่น แว่นตาของเธอ หรือเงินหรือสิ่งมีค่าอะไรก็ตาม แล้วเธอก็ลืมไปทั้งๆ ที่มันอยู่ใกล้แค่นี้เอง (อาจารย์หัวเราะ) เธอเที่ยวมองหาค้นทั่วบ้านทุกซอกทุกมุมแต่ก็หาไม่เจอ เพราะฉะนั้นเธอจึงคิดว่าการแสวงหาทรัพย์สมบัติของเธอนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย เพียงแต่ว่าเราไม่รู้ว่าควรจะมองหาที่ไหนแค่นั้นเอง และอาจจะมีเพื่อนบางคนยืนอยู่ข้างๆ บอกเธอว่า "เฮ้! มันอยู่ในกระเป๋าของเธอไง" นี่แหละคืองานของผู้ที่เป็นอาจารย์ ดังนั้น ตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้ว ใครที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น "อาจารย์" จากบรรดาลูกศิษย์ จริงๆ แล้วเขาก็เหมือนกับเรานั่นเอง เขาควรจะเป็นผู้ที่ถ่อมตนมากๆ มีคุณสมบัติความเป็นมนุษย์เหมือนกับเราทุกประการ และเขาก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองคืออาจารย์ แต่เนื่องจากบรรดาลูกศิษย์ได้รับประสบการณ์จึงอ้างว่าเกิดจากอาจารย์ผู้นั้น เหมือนคำกล่าวที่ว่า "เมื่อเห็นผลที่ออกมาจากเธอก็รู้ได้ว่าเธอเป็นอะไร" แต่อย่างไรก็ตาม จะเป็น "อาจารย์" หรือ "ไม่ใช่อาจารย์" ไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งสำคัญก็คือเพื่อนที่มีประสบการณ์คนนั้น ซึ่งเราเรียกเขาว่าอาจารย์ จะต้องสามารถแสดงให้เราเห็นความยิ่งใหญ่ของตัวเรา แล้วเราก็สามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งนั้นได้

ความแตกต่างระหว่างผู้รู้แจ้งและไม่รู้แจ้ง

ผู้ที่รู้แจ้งและผู้ที่ไม่รู้แจ้งนั้นมีความแตกต่างกันมากมาย  ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะมีลักษณะคุณสมบัติต่างๆ เหมือนๆ กัน  มีปัญญาระดับเดียวกันและมีความยิ่งใหญ่เท่าเทียมกัน  ฉันไม่สามารถบอกเธอได้ว่าแตกต่างกันอย่างไรแต่ฉันรู้ว่ามันต่างกัน และลูกศิษย์ของเราหลายคนก็รู้สิ่งนี้หลังจากได้รับการประทับจิต  ใช่ไหม? (ผู้ฟัง:ใช่)  พวกเธอบางคนทราบดี แล้วหลังจากนั้นเธอก็ไปพูดคุยกับคนที่ยังไม่ได้รับการประทับจิต ยังไม่ได้ค้นพบคุณสมบัติบางส่วนของปัญญาของเขาก็จะเห็นความแตกต่างกันอย่างมากมายระหว่างบุคคลทั้งสอง  แม้ว่าลักษณะภายนอกจะไม่มีอะไรต่างกันเลยก็ตาม  การรู้แจ้งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นก้าวเข้ามาอยู่ในตัวบ้าน  เพื่อที่จะมาตรวจดูว่ามีสมบัติอะไรอยู่ภายในตัวบ้าน  เมื่อเขาเข้ามาอยู่ในตัวบ้านเขาก็พ้นจากความหนาวเย็น  พ้นจากอันตรายจากสุนัขป่า เสือ และภัยพิบัติทางธรรมชาติทั้งหลายซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้

มีความแตกต่างกันมากเมื่อเราเข้ามาอยู่ในบ้านเราก็รู้ว่ามีอะไรอยู่ภายใน  ถ้าเรายังอยู่แถวๆ บริเวณประตูอย่างน้อยก็รู้ว่าการตกแต่งภายในเป็นอย่างไร  และเมื่อเราก้าวเดินสำรวจจากห้องหนึ่งไปยังอีกห้องหนึ่งเราก็จะพบสมบัติ  พบเฟอร์นิเจอร์และสิ่งมีค่าทั้งหมดที่อยู่ภายในบ้าน  แล้วเราก็อาจไปบอกคนนอกบ้านว่าข้างในมีอะไร  คนที่อยู่นอกบ้านเมื่อได้ฟังเรื่องราวแล้วก็อาจนำไปเล่าต่อให้คนอื่นฟังว่ามีอะไรอยู่ภายในตัวบ้าน  แต่การนำไปเล่าต่อกับการได้เห็นได้สัมผัสจริงๆ นั้นมีความแตกต่างกัน  นอกจากนี้การอยู่ภายในตัวบ้านยังได้รับประโยชน์ด้านความปลอดภัยจากอันตรายข้างนอกบ้านอีกด้วย

บางคนถามฉันว่า  "ฉันก็โอเคแล้ว ฉันไม่ต้องการรู้แจ้งหรอก รู้ไปทำไม? ถ้าไม่รู้แจ้งจะโอเคไหม?"  ฉันก็ตอบว่า "ได้ๆ โอเค" (อาจารย์หัวเราะ)  ก็ไม่มีทางเลือกนี่  แต่เวลาที่เราอยู่นอกบ้านบางครั้งก็ปลอดภัยบางครั้งก็มีแสงแดดแต่บางครั้งก็มีฝนตก  บางครั้งอาจจะมีพายุใต้ฝุ่นมีหลายสิ่งหลายอย่างที่อาจเกิดขึ้นได้ และเมื่อเรารู้แล้วว่าเรามีบ้านเราก็อาจจะออกมานอกบ้านได้ในบางครั้ง  แต่เมื่อถึงคราวจำเป็นหรือเมื่อเราต้องการกลับเข้าบ้านเราก็กลับเข้าไปได้  มีสิ่งต่างๆ ที่น่าทึ่งน่ามหัศจรรย์มากมายอยู่ในห้องของจิตวิญญาณของเรา  ซึ่งทรัพย์สมบัติในโลกนี้ไม่สามารถจะเทียบเท่าได้  ไม่มีอะไรในโลกที่จะทำให้เรามีความสุขได้เท่ากับการที่เราได้ค้นพบความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงของเรา

 
ทุกๆ คนได้รับส่วนแบ่งของปัญญานี้

ยิ่งเราค้นพบว่าตัวเรามีความยิ่งใหญ่อย่างไรเราก็จะยิ่งถ่อมตัวมากขึ้น (อาจารย์หัวเราะ) เหมือนกับว่าเรื่องนี้มีความขัดแย้งอยู่ในตัวแต่เป็นเช่นนี้จริงๆ และเราจะกลายเป็นเหมือนเด็กๆ  เราจะกลายเป็นบุคคลที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสามาก นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ก็คล้ายๆ กับคนที่ซื่อๆ บริสุทธิ์ และดูเหมือนว่าเธอบอกอะไรเขาไปไม่ว่าจะเป็นความสามารถของเธอ ความทะเยอทะยานของเธอ ความฉลาดหลักแหลมของเธอ หรือปริญญาของเธอ เขาก็จะไม่คัดค้านอะไรเลย ไม่ใช่ว่าเขาจะพยายามเอาปัญญาของเขามาบังคับกดดันเธอ  แต่สิ่งต่างๆ จะเป็นไปเองโดยธรรมชาติหรือเมื่อได้รับการร้องขอ  และส่วนใหญ่แล้วหลังจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์พูดอะไรออกมาแล้ว เขาก็จะลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพูดไปอย่างสิ้นเชิง อาจจะจำได้เพียงประโยคหนึ่งหรือสองประโยคหรือจำไม่ได้เลย ทั้งนี้เพราะว่าปัญญานั้นมาจากแหล่งของจักรวาลซึ่งทุกๆ คนสามารถจะนำมาใช้ได้ มันไม่ได้เป็นของใครคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มคนกลุ่มใด มันเป็นของผู้โง่เขลาเท่าๆ กับเป็นของผู้รู้แจ้ง เป็นของเด็กๆ เท่าๆ กับเป็นของผู้สูงอายุ ทุกคนมีส่วนแบ่งรวมอยู่ในปัญญานี้ เพียงแต่ว่าเราจำเป็นต้องปรารถนาที่จะรู้ถึงปัญญานี้อย่างแท้จริงเท่านั้น

เมื่อได้รู้ถึงปัญญานี้แล้วเราก็ไม่ได้ละทิ้งโลก เราจะไม่ขาดความสนุกสนานของทางโลก แต่เรากลับจะมีความสุขกับโลกนี้มากขึ้นเมื่อมีโอกาส และถึงแม้จะไม่มีโอกาสเราก็มีความสุขเหมือนๆ กัน  นี่แหละคือความแตกต่างมันแตกต่างกันเพียงเท่านี้  แต่เพราะว่าเราไม่รู้จักธรรมชาติที่รู้แจ้งของเราเราก็คอยใฝ่หาอะไรบางอย่างที่จะทำให้เรามีความสุข หรือเรามัวแต่คิดว่าสิ่งนั้นจะทำให้เราสุข  ดังนั้นบางครั้งเราจึงมีความทะเยอทะยานแสวงหาชื่อเสียง ทรัพย์สมบัติ ความสวยงามและความรักอันไม่จีรังยั่งยืน ฯลฯ  โดยคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เราสุข จนในที่สุดเราก็ตระหนักแน่ชัดว่าสิ่งเหล่านี้ได้แต่นำความเศร้าโศกมาให้เราเป็นส่วนใหญ่

ต่อเมื่อเรารู้แจ้งเท่านั้นเราจึงจะมีความสุขในทุกๆ สิ่งไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราก็ยินดี  ถ้ามีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นเราก็รับไว้เหมือนกับเป็นของขวัญจากพระเจ้า  เราจะยินดีเต็มที่โดยไม่รู้สึกมีความผิดไม่ต้องสงวนท่าที  ไม่มีอะไรมาขวางกั้นไม่ว่าจะภายในหัวใจหรือในความคิดของเรา  ทั้งนี้เพราะธรรมชาติของบุคคลผู้รู้แจ้งนั้นเป็นอิสระมากไร้ซึ่งความกังวล  ง่ายๆ เหมือนกับเด็กๆ ถ้าเธอให้อะไรดีๆ แก่เขาๆ ก็จะรับไว้  เขาจะไม่คิดกังวลว่าเธอจะมาหลอกเขา  หรือกังวลว่าเขาควรจะได้รับสิ่งนั้นหรือไม่เขาเพียงแต่รับมันไว้เท่านั้น  และเมื่อสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยให้เรามีความสะดวกสบายหรือมีความร่ำรวยในชีวิตเราก็ยังมีความสุขและดำเนินชีวิตแบบนั้นต่อไปได้  เราจะไม่ปรารถนาความยิ่งใหญ่ทางวัตถุแต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่พยายามทำอะไรให้สังคมเลย  หรือไม่ทำหน้าที่ในฐานะพลเมืองของโลกอย่างดีที่สุดเรายังคงทำและทำทุกสิ่งทุกอย่างเช่นเดิม  เราจะทำอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเต็มใจทำส่วนของเราให้แก่โลกทั้งโลกอย่างเต็มที่  สิ่งทีต่างไปก็คือเราทำโดยไม่หวังรางวัลตอบแทนไม่หวังในคำสรรเสริญ  และถ้าเราล้มเหลวหรือมีคนเข้าใจผิดในความปรารถนาดีของเรา เราก็ทนได้  เราจะไม่มีความทุกข์ทรมานในหัวใจของเรา 

ลูกศิษย์ของฉันหลายคน ฉันหมายถึงเพื่อนบำเพ็ญของเราหลายคนเล่าให้ฉันฟังว่าหลังจากรู้แจ้งแล้ว พวกเขาแตกต่างไปจากเดิมมากพวกเขารู้มากกว่าแต่ก่อน  เข้าใจสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนและต่างไปจากสภาพที่เขาเคยเป็นอยู่  ฉันเองนั้นลืมไปแล้วว่าก่อนการรู้แจ้งและหลังการรู้แจ้งนั้นเป็นอย่างไร  บางครั้งฉันรู้สึกว่ายากที่จะเข้าใจเรื่องที่พวกเขาพูดกัน (อาจารย์หัวเราะ)  แต่แล้วฉันก็มีโอกาสเจอและได้พูดคุยหรือได้อยู่ร่วมกับคนที่ไม่ได้รับการประทับจิต  ถึงตอนนั้นฉันก็เลยเข้าใจเรื่องที่พวกเขาพูดกันฉันจึงรู้ว่าผู้ที่รู้แจ้งและไม่รู้แจ้งนั้นต่างกันอย่างไร  ที่พูดนี้ไม่ได้แบ่งแยกนะไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่  เพียงแต่เป็นการอธิบายว่าความจริงเป็นอย่างไร  เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่เอามาพูดกันด้วยความภาคภูมิใจ  เป็นเพียงการตระหนักรู้ถึงความแตกต่างระหว่างคนที่ก้าวเข้ามาในตัวบ้านและคนที่อยู่นอกบ้าน

หนทางที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสุภาพบุรุษก็คือการรู้แจ้ง

ถ้าฉันไม่ได้มีโอกาสรู้จักและเข้าใจกลุ่มคนที่มิได้รับการประทับจิตอย่างลึกซึ้งแท้จริง  ฉันก็คงลืมเรื่องนี้ไปแล้วเพราะปกติฉันมองทุกคนเหมือนกับเป็นตัวฉันเอง ฉันไม่ได้นึกว่าฉันรู้แจ้งหรือพวกเขาไม่รู้แจ้ง  ฉันไม่ได้มาคอยจดจำเรื่องเหล่านี้เวลาฉันพบปะกับผู้คน  และนี่แหละคือเหตุผลที่บางครั้งนอกจากฉันจะรู้สึกท้อแท้ในการทำงานแล้ว  ฉันยังรู้สึกอยู่ในใจว่าไม่จำเป็นต้องไปเที่ยวสอนใครไม่จำเป็นต้องคอยวิ่งไปทั่วโลก  ไม่จำเป็นต้องตอบรับคำเชิญของลูกศิษย์ตามที่ต่างๆ ทั่วโลก และต้องมาเหน็ดเหนื่อยกับการอยู่บนเครื่องบินๆ ที่มีการสูบบุหรี่  สนามบินที่มีคนเยอะแยะอะไรพวกนี้  และยังมีกำหนดการวุ่นวายต้องทำโน่นทำนี่มากมาย  เพราะฉันเคยคิดว่าไม่จำเป็นต้องทำเรื่องพวกนี้แต่พอฉันคิดทำนองนี้  บางครั้งพระเจ้าผู้ทรงอำนาจก็จะเตือนฉันว่ามันเป็นสิ่งจำเป็น  เพราะว่ามันมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างการที่เธอรู้ว่าเธอมีสมบัติและสามารถใช้มันได้  กับเพียงแค่รู้ว่าเอมีทรัพย์สมบัติแต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนและจะใช้มันอย่างไร  เป็นเรื่องที่แตกต่างกันอย่างมาก  ดังนั้นฉันจึงยังเดินทางไปทั่วโลกตามคำขอร้องที่จริงใจของบรรดาลูกศิษย์  ทั้งนี้ก็เพราะตัวอย่างต่างๆ เหล่านี้ซึ่งทำให้ฉันทราบว่าบางคนยังไม่รู้ว่าตนเองยิ่งใหญ่และเขาเฝ้าคอยที่จะรู้

 
 

ไม่ใช่เพราะเราจะต้องการมีความภาคภูมิใจในความยิ่งใหญ่ของเรา  แต่มันเป็นหน้าที่ของเราที่จะรู้จักมรดกของเรา  เราไม่ควรจะเป็นเพียงแค่เกิดมาในโลกนี้มาใช้ชีวิตอยู่สักไม่กี่สิบปี  ซึ่งต้องวุ่นวายกับปัญหาของลูกและครอบครัว  แล้วในที่สุดก็ "คาพุท" จบสิ้นไป (คนหัวเราะ) ไม่มีอะไรมากกว่านั้นชีวิตไม่มีอะไรเพิ่ม  และยิ่งเลวร้ายกว่านั้นอีกเวลาที่จะต้องจากโลกนี้ไปเราก็ยังต้องทุกข์ทรมาน  เราทุกข์เพราะการยึดติดกับสมาชิกในครอบครัวของเรา  เราทรมานก็เพราะว่าเราไม่รู้ว่าเรากำลังจะไปที่ไหนทุกข์เพราะกลัวในสิ่งที่เรายังไม่รู้  และคนในครอบครัวทั้งหมดหรือคนที่เรารักทั้งหลายก็ได้แต่ยืนอยู่รอบๆ ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ได้แต่มองดูเราทุกข์ทรมาน

เพราะฉะนั้น หนทางอันยิ่งใหญ่ของสุภาพบุรุษก็คือการรู้แจ้ง  เราต้องรู้ว่าเรามาจากไหนและเรากำลังจะไปไหนอย่างชัดแจ้งชัดเจน  เพราะว่าเราคือมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่เราใช้ชีวิตอย่างวีรบุรุษ  เราดำเนินชีวิตแบบพระเจ้าบนโลกนี้  เราไม่ควรจะมีชีวิตเหมือนกับทาสของเงินทองข้าวของ หรือความอยากได้โน่นได้นี่  ซึ่งโลกได้พยายามเอามาติดไว้ในหัวของเรา  เราไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความอยาก  ไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความเกลียด  เราเกิดมาจากความบริสุทธิ์และความงาม เราจึงควรต้องคงไว้ในสภาพนั้น   นอกจากจะบริสุทธิ์แล้วเรายังควรต้องฉลาดมากขึ้น  นี่แหละคือหนทางของสุภาพบุรุษ

 

สิ่งที่พระเยซูและพระพุทธเจ้าสามารถทำได้ เราก็ทำได้ด้วย
 

ถ้าเรานับถือพระเยซู บุชาพระพุทธเจ้า  ถ้าเราอยากจะกราบไหว้บูชาบรรดานักปราชญ์แห่งเทือกเขาหิมาลัยโบราณ  เราก็ควรจะรู้ไว้ว่าเราสามารถเป็นได้เหมือนพวกท่าน  ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลยระหว่างตัวเรากับนักปราชญ์  ต่างกันเพียงเส้นผมแค่เส้นเดียวน้อยมาก (อาจารย์หัวเราะ)  และเมื่อเราก้าวข้ามไปได้เราก็จะอยู่ในกลุ่มของบรรดานักบุญและถ้าเราอยู่ข้างหลังห่างไปเพียงเส้นผมเส้นเดียว  เราก็เป็นบุคคลผู้โง่เขลาเที่ยวก้มหัวให้แก่ความกดดันทุกอย่างของโลกนี้ กลัวทุกสิ่งทุกอย่างทุกคน  และไม่รู้ว่าชีวิตของเราก่อนหน้านี้รวมทั้งหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร  แม้ว่าเรามีตาแต่เราก็เหมือนคนตาบอด  เรามีหูแต่ก็เหมือนคนหูหนวก  ทั้งนี้เพราเราไม่ได้ยินคำสอนจากสวรรค์ ไม่ได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้า ไม่ได้รับรู้ความยิ่งใหญ่ของเรา  เป็นสิ่งที่น่าเสียดายมากถ้าชีวิตของเรายังเป็นอยู่อย่างนั้น

เราอยากจะช่วยโลกเหลือเกินอยากจะนำสันติภาพมาสู่โลก  ทำให้โลกกลายเป็นสวรรค์แต่เราจะทำได้อย่างไรถ้าเราไม่มีปัญญา?  จะทำได้อย่างไรถ้าเรายังไม่อยู่เหนือเกณฑ์เฉลี่ย  เราจะไม่ให้หัวของเราเปียกได้อย่างไรถ้าเราไม่อยู่เหนือน้ำ  ดังนั้น การรู้แจ้งจึงเป็นเครื่องมือสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตนี้และชีวิตหน้า  เราจะเดินทางท่องไปได้กว้างไกลในกาแล็กซี่ของจักรวาล  ถ้าเรารู้สิ่งต่างๆซึ่งแม้นักวิทยาศาสตร์ที่ฉลาดที่สุดในโลกก็ยังไม่รู้  นี่แหละคือความสามารถของมนุษย์  มนุษย์ที่แท้จริงไม่ใช่เป็นแค่เนื้อและกระดูกเท่านั้น  สิ่งที่สามารถเคลื่อนย้ายภูเขาได้หรือทำสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ ได้นั้น  มิใช่ลักษณะภายนอกที่ดูสวยงามหรือมีเสน่ห์แต่เป็นแหล่งปัญญาอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าผู้ทรงพลานุภาพนั่นเอง  สิ่งที่พระเยซูได้ทำไปแล้ว สิ่งที่พระพุทธเจ้าเคยแสดงให้เราดูตอนที่ท่านยังอยู่ในโลกนั้นเป็นเพียงแค่เรื่องตลก  เพราะสิ่งที่พระเยซูทำได้หรือที่พระพุทธเจ้าทำได้จริงๆ นั้นเหนือกว่าสิ่งนั้นทั้งหมด  มันมีความยิ่งใหญ่กว่านั้นเป็นพันล้าน หมื่นล้านเท่าและเราก็สามารถทำได้ 

นี่แหละคือสิ่งที่ฉันได้ค้นพบและต้องการจะเตือนให้เธอจำได้  ในขณะที่เราสวดอธิษฐานเราก็มุ่งความสนใจของเราเข้าสู่ภายใน  ไม่สนใจความสะดวกสบายหรือข้าวของทางวัตถุมากนัก  แต่ไม่ได้หมายความว่าเราทิ้งสิ่งเหล่านี้เรายังคงอยู่ในบ้านหลังเดิม กินอาหารที่เราสามารถหามาได้  สวมเสื้อผ้าที่เราคิดว่าเหมาะสมแก่โอกาส  แต่ความสนใจของเราไม่ได้อยู่ที่สิ่งเหล่านี้อีกต่อไปนี่แหละคือสิ่งสำคัญ  ไม่ใช่ว่าสิ่งต่างๆ ทั้งหลายเป็นตัวขัดขวางความเป็นนักบุญของเรา  แต่ความสนใจของเรานั่นแหละที่เป็นตัวกีดขวาง ดังนั้น  เราจึงควรจะหันความสนใจเข้าสู่ภายในและเราก็จะรู้ทุกอย่างที่พระเยซูรู้ พระพุทธเจ้ารู้ และบรรดานักปราชญ์ทุกคนทั้งในอดีตและอนาคตรู้เพราะธรรมชาติของเราเป็นอย่างนั้น

ก็เหมือนเธอเอาเพชรใส่ไว้ในกระเป๋าของเธอถ้าเธอเที่ยวมองหาไปทั่ว  หรือแม้แต่เที่ยวมองหาไปทั่วโลกเธอก็ไม่มีวันพบมัน  ไม่ใช่เฉพาะแต่มองหาแต่ที่บ้านของเธอเท่านั้นต่อให้มองหาไปทั่วโลกเธอก็ไม่มีวันพบเพชรนั้น  เพราะเธอไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน (อาจารย์หัวเราะ)  ทั้งๆ ที่ตลอดเวลามันอยู่ในกระเป๋าของเธอ  โลกไม่ควรจะอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้ถ้าพวกเราทุกคนรู้แจ้ง  หรืออย่างน้อยสักครึ่งหนึ่งของพวกเรารู้แจ้งแต่จะยิ่งดีขึ้นถ้าพวกเราส่วนใหญ่รู้แจ้ง  ถ้าไม่เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องสันติภาพๆ จะมาเอง  ไม่จำเป็นต้องอยากได้อะไรเพราะว่าเรามีปัญญาแล้ว "ปัญญาคือพระเจ้า พระเจ้าคือชุมพาบาลของฉันๆ จะไม่ปรารถนาอะไรอีกแล้ว"  พระเจ้าอยู่ภายในตัวของเราสิ่งนี้ก็คือพลังอันทรงอานุภาพซึ่งหลับอยู่ข้างใน  และเราสามารถจะปลุกให้มันตื่นขึ้นเมื่อใดก็ได้และก็ใช้ประโยชน์จากมันได้  อย่างน้อยก็เพื่อความพอใจของเรา

การรู้แจ้งนำความสุขมาสู่ชีวิต

ผู้ที่รู้แจ้งแล้วไม่เคยรู้จักการไม่พอใจ ไม่รู้จักความอยาก ไม่รู้จักการไม่มีความสุข  อย่างน้อยก็เป็นอยู่ไม่นานบางทีอาจจะเป็นในตอนเริ่มต้นบำเพ็ญใหม่ๆ ถ้าเรายังไม่ค่อยมั่นคงนักในอุปนิสัยของเราสมองอาจจะยังเอาชนะได้อยู่  ดังนั้นบางครั้งเราอาจจะคิดอยากได้โน่นอยากได้นี่  แต่เราก็รู้ถึงความผิดพลาดของเราในทันทีไม่เหมือนกับสมัยก่อนที่จะรู้แจ้ง  เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรามีความอยากจึงไม่มีทางที่จะหยุดยั้งมันได้ ดังนั้น ความแตกต่างจึงเห็นได้ชัดเจนมาก

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ฉันพูดให้เธอฟังจากประสบการณ์ของฉัน  แต่ไม่ได้หมายความว่าหลังจากรู้แจ้งแล้วเธอจะนั่งขัดสมาธิสวยงามอยู่บนโซฟาที่ไหนสักแห่งหนึ่ง  แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็จะกลายเป็นสวรรค์ไม่ใช่อย่างนั้น  เรายังจำเป็นต้องมีการให้และรับกรรมตามกฎของสาเหตุและการชดใช้การกระทำนั้นในขณะที่เรายังคงอยู่ในโลก  แต่เราจะมีพลังที่ยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลังเรา  ไม่ว่าจะเกิดพายุฝนหรือใต้ฝุ่นเราก็จะมั่นคงปลอดภัยและได้รับความพอใจ  เพราเราทราบดีว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตนิรันดร์  อาจจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับร่างกายของเราแต่ไม่มีผลต่อตัวตนที่แท้จริงของเรา  ถ้าเราต้องการร่างกายอีกร่างหนึ่งเราก็สร้างขึ้นมาใหม่ได้  นี่แหละคือความรู้สึกที่มั่นคงมากๆ ของผู้รู้แจ้ง 

คนที่รู้แจ้งจะทำสิ่งต่างๆ มากมายแต่ก็ไม่เคยรู้สึกว่ากำลังทำอะไรเลย  ถึงแม้ว่าทางด้านวัตถุภายนอกเขาได้ให้สิ่งต่างๆ ออกไปมากมายแต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกว่าเขาคือผู้ให้  เขาทนสิ่งต่างๆ มากมายแต่ก็ไม่เคยรู้สึกว่าเขากำลังอดทนอยู่   เขาอาจจะแสดงอารมณ์ของเขาออกมาเป็นบางโอกาสแต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกว่ามันผิด  เพราะมันเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับสถานการณ์นั้นๆ ดังนั้น หนทางของบุคคลผู้รู้แจ้งก็คือ อิสรภาพ คือความสุข และปัญญา  นี่แหละคือชีวิตซึ่งพวกเราทุกคนควรจะจำได้เพราะว่านี่คือตัวตนจริงๆ ของเรา

ไม่ใช่ชีวิตที่เราคิดว่าเป็นอย่างในปัจจุบันซึ่งเต็มไปด้วยความกังวลในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ทุกอย่าง  กังวลเรื่องค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ ไม่ว่าสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อะไรก็ทำให้เราเกิดความวุ่นวายได้  หลังจากเรารู้แจ้งเราก็ยังคงมีใบเสร็จเหล่านี้มาอยู่ดี (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) ไม่ต้องสงสัยเลยพระเจ้าจะไม่เอามันไปจากเราเพราะว่ามันเป็นของเรา (อาจารย์หัวเราะ)  แต่ทัศนคติและวิธีการเอาชนะสิ่งเหล่านี้จะแตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง  เราจะมีชีวิตที่ผ่อนคลายมีวิธีการที่ง่ายขึ้นในการจัดการกับข้อเรียกร้องต่างๆ จากรอบด้าน  ถ้าเราแสวงหาปัญญาของเราอย่างแท้จริงฉันก็ให้สัญญาในเรื่องนี้ได้  เพราะฉันได้เรียนรู้เรื่องนี้มาแล้วด้วยตัวฉันเองไม่ได้เรียนจากหนังสือหรือจากครูคนไหน  แต่มาจากประสบการณ์ของตัวฉันเอง

เพราะฉะนั้นสิ่งที่ฉันเล่าให้เธอฟังนี่เป็นความจริงอย่างยิ่ง  เป็นเรื่องส่วนตัวและไม่มีการคิดเงินเพราะว่ามันมาจากฉัน  ฉันไม่ได้ยืมมาจากธนาคารจึงไม่จำเป็นต้องมีดอกเบี้ย (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ)  แล้วเธอก็จะได้ตระหนักในเรื่องเหล่านี้และเรื่องอื่นๆ อีกด้วยตัวของเธอเอง  ขึ้นอยู่กับว่าเธอต้องการมากขนาดไหนเธอสามารถทำงานได้แค่ไหน  และขึ้นกับพี่น้องร่วมจักรวาลของเธอเห็นว่าเหมาะที่จะมอบให้เธอหรือไม่  ขึ้นกับภารกิจในชีวิตของเธอและตำแหน่งที่เธอมีอยู่ในโลกนี้  ในบางครั้งเมื่อผู้ที่เป็นอาจารย์ได้ขึ้นมาถึงระดับของความเป็นอาจารย์พวกเขาเหล่านั้นก็เท่าเทียมกัน  แม้กระนั้นก็ตาม เธอก็ยังคงเห็นความแตกต่างระหว่างอาจารย์ท่านหนึ่งกับอีกท่านหนึ่ง  เธอจะสามารถเห็นความแตกต่างได้จากการสอนหรือการบรรยายของท่าน  จากความก้าวหน้าของลูกศิษย์ท่าน  หรือจากวิธีการที่ท่านอธิบายความเข้าใจเกี่ยวกับการตระหนักรู้ภายใน 

เพราะฉะนั้นแม้แต่อาจารย์ด้วยกันเองก็ยังมีความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น  ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขามีคุณสมบัติแตกต่างกัน  แต่เกิดจากมีพื้นฐานต่างกันหรือตำแหน่งต่างกัน  ถ้าอาจารย์ท่านหนึ่งสามารถนำสิ่งต่างๆ มาใช้ประโยชน์ได้มากท่านก็มีอยู่มาก  ท่านสามารถดึงสิ่งต่างๆ จากภายในมาให้คนอื่นได้จำนวนมาก  ในขณะที่อาจารย์อีกท่านหนึ่งอาจจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต่างไปในยุคสมัยต่างไป ประเทศก็ต่างไป  จึงจำเป็นต้องใช้คุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป เช่น การพูดการอธิบายน้อยกว่าหรือมากกว่าท่านอื่นๆ ดังนั้น เราจึงมีคำสอนทางด้านศาสนาอยู่มากมายมีชื่อเรียกแตกต่างกัน  หรืออยู่ในศาสนาต่างกันแต่ก็ชี้ไปยังสัจธรรมอันเดียวกัน

หลังจากการรู้แจ้งเราจะทราบเรื่องนี้อย่างแน่ชัด  เราจะรู้ว่าหลักการสำคัญของทุกศาสนาคือสิ่งเดียวกัน  เราจะรู้ว่าพวกท่านสอนอะไรในขณะที่พวกท่านสอนอะไรในขณะที่พวกท่านยังมีชีวิต  หมายถึงศาสดาทั้งหลายเราจะรู้ว่าพระพุทธเจ้าและพระเยซูก็สอนธรรมวิถีกวนอิม  เราจะทราบว่าสิ่งที่เล่าจื๊อกล่าวไว้ในเต๋าเต็กเก็งก็เกี่ยวกับธรรมวิถีกวนอิม  เกี่ยวกับแสงและเสียงแห่งสวรรค์  ซึ่งช่วยยกพวกเราขึ้นเหนืออุดมคติทางโลกเหนือเรื่องจุกจิกต่างๆ ของสมองคอมพิวเตอร์ของเรา  เพื่อให้เราได้พบกับระดับจิตที่สูงขึ้นแล้วเราก็จะรู้จักตัวเราเอง เราจะรู้จักพระเจ้า  วันนี้ฉันมีความสุขมากฉันไม่ทราบว่าสิ่งที่ฉันพูดไปนี้จะเหมาะกับพวกเธอหรือเปล่า  ฉันเอาแต่พูดๆๆ (อาจารย์หัวเราะและผู้ฟังปรบมือ)  ฉันคิดว่าฉันควรจะหยุดพูดก่อนเธอจะได้ถามคำถามและฉันจะได้มีโอกาสอธิบายเพิ่มเติมได้ โอเคไหม? เอานะ? ขอบคุณมาก (คนปรบมือ)

ถาม: พระเยซูไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว  ท่านมีพลังที่จะติดต่อมาถึงคนที่มีความเชื่อในตัวท่านในขณะนี้ได้หรือไม่  เราสามารถมีอาจารย์สองคนในเวลาเดียวกันได้หรือไม่?  คืออาจารย์ท่านหนึ่งอาจจะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่อีกท่านหนึ่งยังคงอยู่ในโลกนี้แต่จะจากโลกนี้ไปในอนาคต

ตอบ: ได้ เรามีได้  ผู้ที่ได้พบกับบุคคลที่เป็นอาจารย์ซึ่งยังมีชีวิตอยู่และในเวลาเดียวกันก็เป็นอาจารย์ภายในด้วยเป็นผู้ที่โชคดีมาก  แต่ในขณะที่เธอพบกับอาจารย์ที่ยังมีชีวิตอยู่เธอก็ยังสามารถพบกับอาจารย์ที่จากไปแล้วได้ด้วย  ถ้าเธอขึ้นไปถึงระดับที่พระเยซูอยู่ในตอนนี้เธอก็จะสามารถเห็นพระองค์  ลูกศิษย์ของเราหลายคนเห็นพระเยซูและหลายคนก็เห็นพระพุทธเจ้า เป็นอย่างนั้นใช่ไหม?  มีใครที่เป็นลูกศิษย์อยู่ที่นี่บ้างไหม...? จริงหรือเปล่า? จริงไหม? (เพื่อนบำเพ็ญตอบว่า: ใช่) โอ เขาตอบว่า"ใช่" อย่างไรก็ตาม บางครั้งชาวพุทธอาจจะเห็นพระเยซูหรือพระแม่มารี  และบางครั้งชาวคริสต์ก็อาจเห็นพระพุทธเจ้าหรือพระโมฮัมเหม็ดก็ได้

ถาม: ฉันจะกดความทะเยอทะยานของฉันซึ่งจะทำให้ฉันเกิดภาวะครอบงำจิตใจของฉันและรบกวนฉันอย่างมากนี้ได้อย่างไร?

ตอบ: เป็นเพราะเรายังไม่รู้แจ้งและธรรมชาติแห่งความทะเยอทะยานของเรานั้น  อันที่จริงมันก็กระตุ้นให้มุ่งสู่การรู้แจ้งไม่มีอะไรอย่างอื่น  ไม่ใช่ธรรมชาติซึ่งมีระดับต่ำๆ เพราะเรารู้อยู่ในจิตใต้สำนึกว่าเรายิ่งใหญ่กว่านี้  เราเคยเป็น "ประธานาธิบดีของจักรวาล"  ดังนั้น จึงเป็นการยากที่จะคงตัวอยู่ในระดับต่ำๆ ในขณะที่เราอยู่บนโลกนี้เราจึงมีความโลภ มีความทะเยอทะยาน  ดังนั้นหลังจากการรู้แจ้งแล้วเธอจะรู้วิธีจัดการกับความทะเยอทะยานของเธอ  เพื่อนำมาใช้เป็นประโยชน์แก่ชีวิตของเธอและโลกนี้  ความทะเยอทะยานไม่ใช่สิ่งที่เลวอะไร ปัญหาก็คือวิธีการจัดการกับมัน  ถ้าเราจัดการมันได้อย่างฉลาด จัดการด้วยปัญญามันก็จะเป็นประโยชน์มาก

ถาม: ความสุขคืออะไรและจะอยู่ได้นานแค่ไหน?

ตอบ: (อาจารย์หัวเราะ) พวกเธอทุกคนก็ทราบดีว่าความสุขทางโลกนี้เป็นอนิจจัง  มันจะคงอยู่นานแค่ไหนขึ้นอยู่กับบุคคลและสภาพแวดล้อม  ความสุขที่แท้จริงซึ่งได้มาจากธรรมชาติที่แท้จริงของเรานั้นจะคงอยู่ตลอดไป  นี่แหละคือสิ่งที่เราอยากจะแนะนำให้กับเธอเป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวเธอแล้ว

ธรรมวิถีกวนอิมนำเราไปสู่ต้นตอของสิ่งต่างๆ ทั้งมวล
ถาม: ขั้นตอนการรู้แจ้งเป็นอย่างไร เทคนิคนี้สามารถนำเราไปสู่การรู้แจ้งระดับไหน?

ตอบ: มันจะนำเธอไปสู่ต้นตอของสิ่งต่างๆ ทั้งมวล  เป็นที่ซึ่งเธอจากมาและเป็นที่ซึ่งทุกๆ สิ่งจะกลับไป  ระหว่างระดับชั้นของโลกนี้มีระดับของจิตหรือระดับของความเป็นอยู่ทั้งหมด 5 ระดับ  ถ้าเราได้ฝึกปฏิบัติวิธีแห่งแสงและเสียงจากสวรรค์และได้รับการนำทางจากครูที่มีประสบการณ์มาแล้ว  สามารถผ่านระดับชั้นที่ 5 นี้ไปได้เราก็จะไปถึงที่นั่นซึ่งเป็นบ้านของมหาอาจารย์ทั้งมวล  อาจารย์ทุกท่านลงมาจากระดับนี้และเมื่อเสร็จภารกิจท่านก็กลับไปที่นั่น  ในอนาคตเราก็จะลงมาช่วยสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ถ้าหากเราปรารถนาที่จะกลับมายังโลกนี้ใหม่หรือโลกอื่นๆ ในจักรวาลก็ได้ ดังนั้น ขั้นแรกก็คือรับการประทับจิตแล้วสิ่งอื่นๆ ก็จะตามมาเอง

ถาม: การไปหาพระเจ้านั้นมีอยู่หนทางเดียวก็คือรับการประทับจิตในแสงและเสียงใช่ไหม?

ตอบ: ใช่ นั่นคือการเดินทางช่วงสุดท้ายเธอยังคงมีหนทางอื่นอีกมาก แต่ถ้าเธอไปไม่ถึงที่นั่นเธอก็จะไม่ได้อยู่ที่นั่น  ก็เหมือนกับประตูบ้านไม่ว่าเธอจะเดินทางจากถนนสายไหนถ้าเธอไม่ได้ผ่านประตูนั้น  เธอก็เข้าไปในบ้านไม่ได้ใช่ไหม?  เพราะฉะนั้น เราเริ่มต้นจากจุดนี้เลยเพราะว่าเราโชคดีมากกว่าคนอื่น

ถาม: การประทับจิตมีมากกว่าหนึ่งแบบใช่ไหม?

ตอบ: ไม่ใช่ๆ ภายนอกมีแบบเดียวแต่ภายในมีหลายแบบขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ยกตัวอย่างเช่น  ในเวลาที่มีการประทับจิตผู้ที่เป็นอาจารย์หรือตัวแทนของอาจารย์จะให้คำแนะนำเหมือนๆ กัน  แต่การประทับจิตไม่ได้มาจากคำแนะนำเหล่านี้  การประทับจิตมาจากภายในจากการตื่นขึ้นของธรรมชาติของเธอเอง  แต่ถึงกระนั้นระดับชั้นก็ยังมีความแตกต่างกัน  เพราะฉะนั้น คนสองคนที่นั่งอยู่ในที่เดียวกันหรือนั่งติดกันก็อาจจะมีระดับชั้นต่างกันอย่างมากมายได้  ดังนั้น ผู้ที่เป็นอาจารย์จะสอนแต่ละคนแตกต่างกัน  โดยสอนจากภายในและมีแต่เพียงบุคคลนั้นเท่านั้นที่ทราบ  เขาจะรู้อยู่ภายในว่าอาจารย์สอนอะไรเขาและประสบการณ์ของเขาจะต่างไปจากภรรยาของเขา หรือลูก สามี พี่ชาย ฯลฯ  เพราะฉะนั้น ถ้าเธออยากจะเรียกว่าเป็นการประทับจิตหลายแบบต่างกันก็ได้ถ้าเธอต้องการ  แต่ฉันจะใช้คำว่า 'มันเป็นการเรียนรู้ที่ต่อเนื่องไปของแต่ละคนที่แตกต่างกัน'

ถาม: ท่านอาจารย์ชิงไห่มีบางเวลาที่ฉันปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะไม่มีตัวตนอยู่ กรุณาออกความเห็นในเรื่องนี้ด้วยถ้าท่านมีความเห็นอะไร

ตอบ: โอ ฉันก็เป็นแบบนั้น (อาจารย์หัวเราะ) ฉันก็อยากจะไม่มีตัวตนฉันจะได้ไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องเป็น "อาจารย์" ผู้ยิ่งใหญ่อะไรต่างๆ พวกนี้  แต่เนื่องจากเราเป็นของเราแบบนี้เราก็อยู่ต่อไป  อยู่และดูซิว่าจะเกิดอะไรขึ้น  ในเวลาเดียวกันเราก็ได้รับการรู้แจ้งไปด้วยเพื่อเราจะได้อยู่ในระดับที่มีตัวตนและระดับที่ไม่มีตัวตนไปพร้อมๆ กัน  แต่ระดับที่ไม่มีตัวตนนี้ไม่ได้หมายความว่าเป็นความว่างเปล่านะ ไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรเลยแต่เป็นชีวิตที่พร้อมมูลเต็มไปด้วยความสุกใส รุ่งโรจน์ ความสุข และพลังแห่งการสร้างสรรค์  เราจะมีความสุขกับชีวิตแบบนั้นมากกว่าชีวิตที่มีความเป็นอยู่ซึ่งเราเรียกว่าชีวิตมนุษย์นี้  แต่เราอาจจะมีได้ทั้ง 2 อย่างในเวลาเดียวกันเป็นสิ่งที่วิเศษมาก วิเศษจริงๆ

ถาม: ลูกๆ ของฉันมีความสำคัญต่อฉันมาก หลังจากประทับจิตแล้วฉันยังคงรักเขาอยู่ได้หรือเปล่า? และไม่ใช่เพียงแค่อยู่ร่วมกับเขาเฉยๆ เท่านั้น จะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นบ้างในแง่นี้?

ตอบ: โอ พระเจ้าช่วย (คนหัวเราะ) เธอกลายเป็นเด็กไปเสียแล้วลูกศิษย์ของฉันเขาทิ้งลูกๆ กันหรือ? เขาจัดการกับลูกๆ อย่างไรกัน? เธอจัดการกับลูกๆ อย่างไรหลังจากประทับจิต? เธอรักเขาได้หรือเปล่า? (ผู้ฟัง: รักเขามากยิ่งขึ้นอีก) เขาตอบว่าเขารักลูกมากกว่าแต่ก่อนอีก  เพราะฉะนั้นเอก็จะปลอดภัยแน่! โอเคไหม? เก็บรักษาลูกๆ ของเธอไว้ไม่ต้องกังวล แน่ไม่อยากได้หรอก (อาจารย์หัวเราะและผู้ฟังปรบมือ)

ถาม: ในโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าเพื่อนทางจิตวิญญาณ (soulmate) หรือเปล่า?  ถ้ามีจะมีความหมายสำคัญทางจิตวิญญาณอย่างไรสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้?

ตอบ: เพื่อนทางจิตวิญญาณคือบุคคลซึ่งเมื่อเธอพบ  เธอก็รู้สึกมีแรงดึงดูดเข้าหากันและกัน  และเธอทั้ง 2 คนจะช่วยเสริมชีวิตของกันและกัน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหนทางของการบำเพ็ญ  นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่าเพื่อนทางจิตวิญญาณ  แต่ในโลกซึ่งมีแต่หนึ่งไม่มีสองนี้มันไม่มีวิญญาณหรือไม่มีเพื่อนอะไรหรอก  เป็นเพียงแต่คำพูดของทางโลกเท่านั้น  เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่เธอรู้สึกว่าเป็นบุคคลที่น่าสนใจมากสำหรับเธอ  และสามารถช่วยเหลือเธอได้มากในกิจกรรมชีวิตประจำวันรวมทั้งด้านการบำเพ็ญ  ผู้นั้นก็คือเพื่อนทางจิตวิญญาณของเธอ...ในขณะที่เธอยังอยู่ที่นี่ถ้าเธอต้องการเพื่อนอยู่ เข้าใจไหม?

อาจารย์ที่แท้จริงจะปลุกตัวตนภายในที่แท้จริงของเธอให้ตื่นขึ้น
ถาม: เราจะสามารถรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นอาจารย์แท้หรืออาจารย์เทียม?
ตอบ: โอ เรื่องนี้ฉันไม่รู้ ฉันยังไม่เคยพบอาจารย์เทียมฉันพบแต่อาจารย์ที่แท้จริง  แท้หรือเทียมขึ้นอยู่กับตัวเธอ มีอยู่หลายวิธีที่จะรู้ว่าเป็นอาจารย์ที่แท้จริง  เมื่อผู้ที่ได้ชื่อว่าอาจารย์ยึดติดอยู่กับเพียงบางส่วนของสัจธรรมและละทิ้งส่วนอื่นๆ ที่เหลือ  และสอนลูกศิษย์เฉพาะส่วนนั้นเท่านั้นแบบนี้เราเรียกว่าอาจารย์เทียม  แต่จริงๆ แล้วชื่อนี้ไม่ถูกต้องน่าจะเป็น "อาจารย์บางส่วน" มากกว่า หรือ "อาจารย์ไม่เต็มเวลา"(อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) แต่ไม่ใช่เทียม  และเมื่อผู้ใดสอนสัจธรรมทั้งหมดที่มีอยู่ภายในตัวของเธอ  และปลุกสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวของเธอให้ตื่นขึ้นนี่แหละคืออาจารย์ที่แท้จริง 

ธรรมชาติที่แท้จริงของเธอคืออะไร? อาจารย์ที่แท้จริงภายในตัวเธอคืออะไร ก็คือพระเจ้า เป็นจิตศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอาศัยอยู่ภายในโบสถ์ของเธอ ในวัดของเธอ (หมายถึงร่างกาย) และเมื่อพระเจ้านั้นแสดงตนออกมา  เราจะสามารถได้ยินคำสอนของท่านโดยอาศัยดนตรีแห่งสวรรค์  เราสามารถเห็นท่านด้วยภาพโดยการเห็นแสงสว่างอันเจิดจ้า  บางครั้งเหมือนดวงอาทิตย์เป็นพันๆ ดวง นั่นแหละคือธรรมชาติที่แท้จริงของเรา  เมื่อมันถูกปลุกให้ตื่นขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าอาจารย์คนไหนสามารถปลุกปัญญาแห่งสวรรค์  แรงสั่นสะเทือนแห่งสวรรค์และแสงแห่งสวรรค์ซึ่งอยู่ภายในตัวเธอ  ซึ่งเป็นธรรมชาติที่แท้จริงของเธอเป็นอาจารย์ของเธอเอง  อาจารย์ผู้นั้นก็คืออาจารย์ที่แท้จริงเราจะต้องรู้เรื่องนี้ด้วยตัวเราเอง

ถาม: เกี่ยวกับข้อปฏิบัติห้าข้อ (ศีลห้า) ซึ่งจะต้องกระทำจึงจะได้รับการประทับจิตนั้น หากเราไม่ปฏิบัติจะเกิดอะไรขึ้น?
ตอบ: ถ้าเธอไม่ได้ปฏิบัติตามนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเธอไม่ได้ปฏิบัติฉันจะทำอะไรได้ ก็ลองพยายามดูใหม่ โอเค? ถ้าเธอคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับตัวเธอ ดีสำหรับผู้อื่นและเป็นเหมือนเกราะป้องกันความบริสุทธิ์ของจิตวิญญาณของเรา  เราก็ปฏิบัติไปตามนั้น โอเค และอย่าทำให้ความบริสุทธิ์ของเธอซึ่งเพิ่งจะเติบโตขึ้นมาได้รับความเสียหาย  แต่ถ้าเธอไม่ปฏิบัติก็ไม่มีใครมาประณามเธอหรือทำอะไรเธอ  ยกเว้นแต่จิตสำนึกของตัวเธอเอง  เพราะฉะนั้นก็ลองพยายามดำเนินชีวิตให้ไปถึงจุดนั้นให้ได้  และถ้าเธอพลาดก็ลุกขึ้นและพยายามใหม่
ถาม: วิธีที่ง่ายและปลอดภัยที่สุดที่จะไปสู่การตระหนักรู้ในตนเอง และการตระหนักรู้ในพระเจ้าคือวิธีไหน?
ตอบ: วิธีนี้แหละ เขาไม่ได้เขียนไว้หรือ? "รู้แจ้งฉับพลัน"  "ธรรมวิถีกวนอิม"  นี่แหละคือวิธีที่ดีที่สุด ง่ายที่สุด และเร็วที่สุด เธอจะรู้แจ้งได้ทันทีโดยไม่ต้องเตรียมตัว ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ไม่มีข้อแม้ ในวันนี้หลังการบรรยายนี้เลย โอเค?  และถ้าเธอไม่ได้รู้แจ้งทันทีก็ยินดีรับประกันเอาเงินคืนได้ (คนหัวเราะและปรบมือ) โอ แต่เดี๋ยวก่อน จริงๆ แล้วเราก็ไมมีการรับประกันคืนเงินหรอก  เพราะเราไม่คิดเงินเลยแม้แต่เพนนีเดียว (คนหัวเราะและปรบมือ)
ถาม: เราจะป้องกันตัวเราจากความรุนแรงของธรรมชาติ และความรุนแรงของมนุษย์ได้อย่างไร?
ตอบ: เราไม่จำเป็นต้องป้องกันตัวเราเลย เรามีอะไรที่น่าปกป้องนัก? ก่อนเธอจะเกิดมาเธอมีอะไร? หลังจากเธอตายไปแล้ว เธอจะเอาอะไรไปได้บ้าง? มีอะไรที่มีค่าเหลือเกินที่เราควรจะต้องปกป้องไว้หรือ? โยนทุกอย่างทิ้งไปให้หมด ปล่อยให้มันเป็นไปตามเรื่องจะมีอะไรเกิดขึ้นมันก็ต้องเกิด  ถ้าร่างกายของเธอตายไปเน่าเปื่อยไป  เธอก็ยังมีอีกหลายร่างหลายพันล้านร่างไม่ต้องกังวลถึงสิ่งใดทั้งสิ้น  ถ้าของสิ่งใดควรจะต้องเป็นของเธอๆ จะไม่สามารถกำจัดมันด้วยซ้ำ  ถ้าหญิงสาวคนนั้นควรจะต้องเป็นคู่หมั้นของเธอก็ไม่มีใครฉวยเธอเอาไปได้  ถ้างานนั้นจะต้องเป็นของเธอเป็นประกาศิตจากสวรรค์ก็ไม่มีใครมาแทนที่เธอได้  อย่าไปกังวลทำตัวตามสบายให้เรารู้แจ้งดีกว่า (คนปรบมือ)  ความกลัวต่างๆ เหล่านี้ทำให้เราต้องอยู่ห่างจากชีวิตที่มีความสุขและชีวิตในปัจจุบัน  ดังนั้นจึงมีความรู้สึกผิดผิด ความขัดแย้ง การแสร้งทำทั้งหลายผุดขึ้นมาจากความกลัวของตัวตนนี้ ของตัวอัตตานี้  มันจะบอกว่าฉันมีสิ่งนี้ ฉันมีสิ่งนั้น ฉันเสียหน้าไม่ได้ ฉันทำสิ่งนั้นไม่ได้เพราะฉันอยู่ในตำแหน่งนี้  ฉันด่าคนไม่ได้เพราะว่าฉันเป็นอาจารย์  ฉันควรจะต้องทำตัวให้สง่างามพูดนุ่มๆ อ่อนโยน ฯลฯ  ขอให้เหวี่ยงทุกสิ่งทุกอย่างทิ้งไปและทำตัวให้อยู่ในปัจจุบัน  จำเป็นจะต้องทำอะไรตอนนั้นก็ทำอย่างเต็มที่  โดยมีความเชื่อมั่นในพระเจ้า มีความเชื่อในแผนการของจักรวาล เข้าใจไหม? (ผู้ฟัง: เข้าใจ)
ถาม: ศาสนาคริสต์สอนเราว่าเราทุกคนเป็นบาป  ถ้าเรารู้แจ้งแล้วเราจะยังเป็นคนบาปอยู่หรือไม่? ถ้ายังเป็นอยู่มันจะมีวันสิ้นสุดไหมการเป็นคนบาปของเรานี้น่ะ?
ตอบ: ใช่ เราเป็นคนบาปเพราะว่าเราเชื่อว่าเราเป็นอย่างนั้น เพราะเราไม่มีวิธียกตัวเราเองขึ้นมาเหนือระดับของความบาป เหนือโคลนตม ถ้าเธออยู่ในโคลนแน่นอน เธอก็ต้องดูสกปรกไม่ใช่หรือ? ถ้าเธอขึ้นมาโคลนจะทำอะไรเธอได้ ไม่ว่าโคลนจะยังคงอยู่ที่เดิมหรือไม่ก็ตาม เข้าใจไหม? เพราะฉะนั้นเอต้องขึ้นมา ต้องรู้แจ้ง (คนปรบมือ)
ถาม: มนุษย์ที่รู้แจ้งแล้วและอยู่ในสังคมที่มีความขัดแย้ง จะสามารถช่วยขจัดความขัดแย้งในสังคมได้อย่างไรกัน?
ตอบ: เป็นเรื่องที่ยากมากเราทำได้เพียงแค่ขจัดความขัดแย้งภายในตัวเราออกไป  ถ้าทุกคนทำเช่นนั้นก็จะไม่มีความขัดแย้งที่ต้องขจัด ดังนั้น แม้ว่าพระเยซูจะยิ่งใหญ่มาก พระพุทธเจ้าก็ทรงยิ่งใหญ่มาก  แต่ท่านเหล่านั้นก็ยังไม่สามารถขจัดความขัดแย้งในประเทศของท่านได้เลย  และบางครั้งภัยพิบัติก็ส่งผลกระทบต่อชีวิตของท่านด้วยซ้ำ เพราะว่าคนส่วนใหญ่ในโลกยังไม่อยู่ในความสงบสุข ยังไม่รู้แจ้ง  ดังนั้น การรู้แจ้งจึงเป็นสิ่งเดียวที่จะใช้สำหรับความป่วยไข้ทุกชนิดของโลกนี้ สำหรับสงครามและความขัดแย้ง ไม่มีอะไรที่จะเป็นนอกเหนือจากนี้
ธรรมชาติที่แท้จริงไม่ได้อยู่กับสิ่งใด ฝุ่นไม่มีทางจะเกาะมันได้
ถาม: ฉันได้ยินหลายคนกล่าวว่าเมื่อท่านรู้แจ้งแล้ว ท่านควรจะต้องโกนผมและไม่แต่งหน้า (คนหัวเราะ) ท่านคิดอย่างไรกับคำกล่าวหรือคำวิจารณ์นี้?

ตอบ: พวกเธอคิดอย่างไรล่ะ ถูกต้องไหม? (ผู้ฟัง:ไม่ถูก) ไม่ถูก พวกเขาบอกว่าไม่ถูก (คนหัวเราะและปรบมือ) ฉันจะให้เธอได้เกรด A (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) แจ๋วมาก เยี่ยมมาก ฉันชอบ เป็นสิ่งที่งดงามมากพวกเธอยังมีใจเปิดกว้างมาก รู้แจ้งมาก อย่างน้อยก็มากระดับหนึ่ง ถ้าความสนใจของเธอยังยึดติดอยู่กับสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ ไม่ว่ามันจะมีหรือไม่มีก็ตามเธอก็ขัดขวางตัวเธอเอง จริงไหม? ธรรมชาติของเธอไม่ได้ยึดอยู่กับสิ่งใด ไม่มีฝุ่นที่ไหนจะมาจับธรรมชาติของเธอได้ โอเค?  ไม่มีเครื่องสำอางอะไรจะมาบดบังธรรมชาติแห่งพุทธะของเธอได้ ไม่มีลิปสติกที่ไหนจะมาทำให้แสงแห่งสวรรค์พร่ามัวได้  ถ้าเธอมีตาเธอจะเห็นว่าตอนนี้ฉันมีแสงเปล่งออกมา  แม้ว่าฉันจะเอาถ่านทั้งกล่องมาทาหน้าของฉันทำให้ตัวฉันดำไป ฉันยังคงขาวและสว่างเจิดจ้า (คนปรบมือ)

เพราะฉะนั้นถ้าเธอโกนหัวของเธอๆ จะรู้แจ้งอย่างนั้นหรือ เป็นอย่างนั้นหรือ แล้วทำไมเธอไม่ทำล่ะมันง่ายจะตายไป (คนหัวเราะ)  เธอก็ทำแบบนั้นให้หมดทุกคนเลย สตีฟ ผมของเธอยาวเกินไปสำหรับการรู้แจ้งแล้ว (คนหัวเราะและปรบมือ)  พระเจ้าไม่สนหรอกว่าผมของเธอจะยาวหรือสั้น เหลวไหล (คนหัวเราะ) มิฉะนั้นแล้ว พวกนางงามจักรวาลทั้งหลายก็คงจะรู้แจ้งไม่ได้สิ อย่างนั้นหรือ? (อาจารย์หัวเราะ) ถ้าเราพูดแบบนั้นไป พวกร้านตัดผมทั้งหลาย ร้านเสริมสวยทั้งหลายก็ต้องปิดกิจการแน่ เราก็จะทำให้เกิดภาวะว่างงานมากยิ่งขึ้นไปใหญ่ (คนหัวเราะ) โอๆ ถ้าฉันเทศน์สอนแบบนั้นคุณคลินตันคงไม่มีความสุขแน่ (คนหัวเราะ) เขาคงไม่อนุญาตให้ฉันเข้ามาเทศน์สอนในอเมริกาแน่

ถาม: อัตตาเป็นพลังที่แข็งแรงมาก เราจะชนะอัตตาได้อย่างไร?
ตอบ: โดยการรู้แจ้ง อัตตาคือ การเอาความสนใจมายึดติดกับตัวตนที่เล็กๆ เช่น "โอ! ฉันเป็นหมอ ฉันเป็นนักวิทยาศาสตร์ ฉันเป็นครู ฉันเป็นคนโน้นคนนี้ ซึ่งมีตำแหน่งสูงๆ" นั่นแหละคืออัตตา แต่เมื่อเรารู้จักตัวตนที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น อัตตาก็จะหลบหายไปข้างใน เพราะว่าเราไม่ได้เป็นแค่หมอ เราเป็นพระเจ้าหรืออย่างน้อยก็เป็นลูกๆ ของพระเจ้า เราเป็นพุทธะ โอเค? นี่แหละคือวิธีเดียวที่จะหลอมละลายอัตตาโดยใช้กรอบของตัวตนที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น
ถาม: แหล่งต้นตอของโลกนี้คืออะไร
ตอบ: อืม (อาจารย์หัวเราะ) มันต้องใช้เวลาที่จะวิจัยเรื่องนี้ จริงไหม? ทำไมเธอไม่ใช้ชีวิตของวันนี้ ให้เรารู้แจ้งแล้วเราก็จะเห็นด้วยตัวเราเอง เพราะถ้าฉันบอกเธอจะต้องใช้เวลานานมาก  เธอก็รู้ว่าโลกของเรานี้ถ้าพูดตามหลักภูมิศาสตร์ก็มีอายุเป็นหมื่นๆ ล้านปีแล้ว ถ้าเธออยากจะวิจัยเรื่องนี้ฉันคงไม่มีเวลาบรรยาย ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ? แต่ความจริงที่เกี่ยวกับการดำรงอยู่ของโลกนั้นอยู่ภายในตัวเรา  เรามีห้องสมุดอยู่ภายในถ้าเราขึ้นไปถึงระดับที่ 2 เธอก็จะดูมันได้  แล้วเธอก็จะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่เพียงแค่โลกนี้เท่านั้น แต่จะรู้เกี่ยวกับโลกอื่นๆ มากมายในจักรวาล
ถาม: ท่านอาจารย์ชิงไห่ ถ้าใครได้รับการประทับจิตจากท่านแล้ว ก็จะต้องเป็นลูกศิษย์ของท่านตลอดไปหรือไม่? งานของลูกศิษย์คืออะไร?
ตอบ: งานของลูกศิษย์ของเราก็คือการมาเป็นอาจารย์ (คนหัวเราะ) เพราะฉะนั้น เธอไม่จำเป็นต้องเป็นลูกศิษย์ของฉันด้วยซ้ำ เธอเองก็เป็นอาจารย์อยู่แล้วเพียงแต่เธอไม่รู้ ดังนั้น ฉันจึงบอกวิธีให้เธอจำตนเองได้อีกครั้งหนึ่งเท่านั้นแหละ จริงๆ แล้วไม่มีลูกศิษย์ คำนี้เป็นเพียงชื่อเรียกซึ่งเราใช้เรียกตัวเราในโลกแห่งวัตถุนี้
ถาม: ขอให้ท่านกรุณาอธิบายให้ฉันฟังว่าจิตใจคืออะไร?
ตอบ: จิตใจไม่ใช่อะไรเลย เป็นเพียงความคิดต่างๆ และข้อมูลที่เรารวบรวมไว้ในชีวิตประจำวันของเรา เมื่อเราติดต่อสัมพันธ์กับสิ่งอื่นๆ และเราเรียกสิ่งนั้นว่า "ตัวตน" หรือ "จิตใจ" แล้วเราก็เริ่มยึดติดกับสิ่งนั้นและพูดว่า "โอ! ฉันเป็นแบบนั้น ฉันแปรงฟันวันละ 3 หน นั่นแหละตัวฉัน" ฯลฯ แต่สิ่งต่างๆ เหล่านี้คืออะไรกัน  เป็นเพียงข้อมูลที่รวบรวมไว้เท่านั้น ก่อนที่เธอจะเกิดมาเธอไม่เคยแปรงฟันของเธอๆ ไม่มีฟัน (คนหัวเราะ) นั่นคือตัวอย่าง เธอเข้าใจไหม?  เพราะฉะนั้น จิตใจนี้ไม่มีอะไรเลย และเราคงจะไม่ฉลาดเลยถ้าจะมัวแต่ฟังสิ่งที่เรียกว่าจิตใจนี้ มันเป็นเพียงนิสัยที่รวบรวมไว้เป็นข้อมูลจากคนอื่นๆ จากสังคม และจากความสัมพันธ์ระหว่างกันและกันทำให้เราคิดว่าเราเป็นแบบนั้น "โอ ฉันต้องกินนี่ ฉันต้องดื่มกาแฟเพราะว่านั่นคือตัวฉัน เป็นวิธีการของชีวิตของฉัน นี่แหละตัวฉัน" แต่ตัวฉันนั้นคือใคร? ใครดื่มกาแฟก่อนที่เธอจะเกิดมา? เมื่อไม่กี่ร้อยปีก่อนนี้ ยังไม่มีกาแฟเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้จึงเชื่อถือไม่ได้เป็นสิ่งไร้สาระมาก มันไม่ใช่ตัวเธอเอง แต่นี่แหละคือสิ่งที่พวกเราส่วนใหญ่เรียกว่า ตัวฉัน" นี่แหละคือจิตใจ
ถาม: เมื่อท่านรู้แจ้งแล้ว ท่านอาจจะสูญเสียการสำนึกถึงการรู้แจ้งของท่านได้หรือไม่?
ตอบ: โอ ได้ เป็นไปได้ ใช่ เมื่อตอนเธอนอนหลับ บางครั้งเมื่อเธอนั่งสมาธิแล้วเธอก็นอนหลับและแสงก็มา การรู้แจ้งก็มาแต่เธอก็ไม่รู้เรื่อง ไม่ได้รับรู้มันแต่ตอนที่เธอไม่ได้นอนหลับเธอก็จะรู้ โอเค?
ถาม: เราจะหยิบยื่นสันติภาพให้แก่ผู้ที่เคยเป็นศัตรูของเราได้โดยเร็วอย่างไร?
ตอบ: ก็กอดเขา จูบเขา ให้ลูกอมแก่เขา (คนหัวเราะและปรบมือ) นี่แหละคือสิ่งที่ฉันทำเมื่อเช้านี้ เพราะบางคนไม่สามารถจะรู้แจ้งได้ด้วยคำพูด หรือการอธิบาย หรือแม้แต่การประทับจิต บางคนเพียงแต่ต้องการความรักโดยตรง ทั้งทางด้านร่างกาย ความคิด รวมทั้งอารมณ์ด้วย
ถาม: ฉันจะหนีจากเนื้อหนังของฉัน และหมดความต้องการเรื่องเพศตรงข้ามได้อย่างไร
ตอบ: โอ อย่าหนีมันไป (คนหัวเราะ) มิฉะนั้นแล้ว เราก็คงไม่มีลูกกันอีกต่อไป พยายามอดใจไว้มีคู่เพียงคนเดียวเท่านั้น โอเค? ถ้าเธอมีกัลยาณมิตรซึ่งเธอพบว่าดีต่อตัวเธอ ความรักทั้ง 3 มิติ คือ ร่างกาย อารมณ์ และความคิดก็เป็นสิ่งที่ดี จากนั้นความต้องการทางเนื้อหนังจะค่อยๆ ลดความรุนแรงในตัวเธอลงไป  หลังจากที่เราควบคุมสัมพันธภาพอันมั่นคงในชีวิตสมรสได้แล้ว เธอเข้าใจไหม? เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น หลังจากนั้นมันจะค่อยๆ ตายลงไป มันจะหมดเสน่ห์ลงเพียงแต่อดใจให้เย็นๆ ไว้  เพราะฉะนั้น มีคู่เพียงคนเดียวแค่นั้นก็พอแล้ว (คนปรบมือ)
ถาม: เราจะช่วยเหลือคนที่กำลังป่วยหนักอย่างดีที่สุดได้อย่างไร?
ตอบ: บางครั้งเราก็มีปัญหาได้ บางครั้งรถอาจจะไหม้ บางครั้งยางแตก บางครั้งตัวถังมีรอยขูดอะไรแบบนี้ เธอทำอย่างไรกับรถของเธอล่ะ ก็พยายามซ่อมแซมมันไปร่างกายก็เช่นเดียวกัน  และถ้าหากรถนั้นซ่อมไม่ได้แล้วมันอาจจะต้องใช้เงินในการซ่อมแพงกว่าที่จะซื้อคันใหม่ ถ้าอย่างนั้นก็ซื้อคันใหม่ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกหรือ?  ร่างกายของเราก็เช่นเดียวกันอะไรที่เธอสามารถจัดการกับรถได้ รถคันนี้ หมายถึงร่างกายนี้ก็ทำไป ถ้าทำไม่ได้ก็ปล่อยมันไปและพระเจ้าก็จะให้รถคันใหม่แก่เธอ  ส่วนใหญ่เอาแต่สนใจรถคันนี้กันมากเหลือเกิน และเขาก็เกิดมีการฆ่ากันเพื่อให้รอดชีวิตก็เพราะรถคันนี้ ทำสิ่งต่างๆ มากมายซึ่งค้านกับจิตสำนึกของเราก็เพราะรถคันนี้ ดังนั้น เราจึงต้องตระหนักให้ดีว่ามันเป็นเพียงแค่เครื่องมือชิ้นหนึ่ง ก็เหมือนกับรถที่เธอซื้อนั่นแหละ
ถาม: ถ้าบุคคลหนึ่งมีความปรารถนาที่จะได้รับการหลุดพ้นหรือออกไปพ้นจากโลกทั้งสามนี้ ความปรารถุนาแบบนี้ตากต่างจากความปรารถนาทั่วไปหรือไม่?
ตอบ: ถูกต้องมันแตกต่าง เพราะเมื่อมีความปรารถนานี้เพียงอย่างเดียวความปรารถนาอื่นๆ ทั้งหมดก็ตายไป  มิฉะนั้นแล้ว เราก็จะมีความต้องการหลายอยางเกินไป เข้าใจไหม?  แล้วเราก็จะมีปัญหาเพราะเราจะถูกดึงจากทิศทางต่างๆ คนละทิศ  ในขณะที่ถ้าเรามีความปรารถนาที่จะมุ่งขึ้นไปสูงๆ เพียงอย่างเดียว  เราก็จะถูกดึงขึ้นและเราก็จะมีความสุข เราจะได้ไปถึงธรรมชาติอันสูงส่งของเรา
ถาม: ความรักทำให้มัวเมาหรือไม่? ถ้าเป็นเช่นนั้นเราควรจะต้องงดเว้นจากมันหรือไม่ตามศีลข้อที่ 5?
ตอบ: โอ ไม่ๆๆ! ความมัวเมานี้หมายถึงยาเสพติด แอลกอฮอล์และสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เธอเสพติดทำให้เธอกลายเป็นทาส  และยังทำให้สายตาของเธอพร่ามัว ทำลายเซลล์สมองของเธอ ทำลายความสามารถในการคิด การเห็น และการกระทำที่แจ่มชัด พวกนี้คือยาเสพติดเป็นสิ่งที่ทำให้มัวเมา
ถาม: เราจะได้พลังงานจากการนั่งสมาธิโดยวิธีไหน?
ตอบ: วิธีซึ่งไม่ต้องออกแรง พลังงานจากการนั่งสมาธิมีอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว โดยอาศัยพลังที่เราได้รับเมื่อเราได้รับการประทับจิตจากอาจารย์ท่านหนึ่ง พลังนั้นก็ตื่นขึ้น ดังนั้น เรานั่งสมาธิด้วยวิธีการที่เราเรียกว่าธรรมวิถีกวนอิม ซึ่งไม่ใช่เป็นวิธีการอะไรเลย เราได้รับพลังงานโดยตรงโดยไม่ต้องทำอะไรเลย เป็นการกระทำซึ่งไม่ต้องออกแรง นี่แหละคือวิธีที่ดีที่สุด เป็นวิธีตามธรรมชาติ เพาะว่าเราได้รับในสิ่งที่เรามีอยู่ เราไม่ได้ยืมใครมา เราไม่ต้องพยายาม เราไม่ได้ขโมย เราไม่ได้บังคับให้มันเกิดขึ้นแต่สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นก็เพราะมันมีอยู่แล้ว
ถาม: การรู้แจ้งมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า พุทธะแบบเซ็น ใช่หรือไม่?
ตอบ: ใช่ ถ้าเธอต้องการชื่อนี้มากเหลือเกิน
ถาม: มีโอกาสเป็นไปได้ไหมที่มนุษย์ซึ่งรู้แจ้งเพียงไม่กี่คนบนโลกนี้ จะสามารถส่งผลกระทบทำให้คนจำนวนมากที่หลับอยู่หรือหลงทางไปได้ตื่นขึ้น?
ตอบ: ได้ๆ พวกเขาจะทำให้เกิดผลกระทบบางอย่าง ถูกต้อง แต่แน่นอนสิ่งที่ดีที่สุดก็คือคนส่วนใหญ่สามารถตื่นขึ้นมาได้
การรู้แจ้งฉับพลันภายหลังการประทับจิต
ถาม: โปรดกรุณาพูดถึงเรื่องกรรมหน่อย เราสลายหนี้กรรมของเราที่มีอยู่ก่อนได้อย่างไร และเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการรู้แจ้งอย่างไร?

ตอบ: จะสลายหนี้ที่มีอยู่อย่างไรใช่ไหม? กรรมเป็นคำสันสกฤตซึ่งหมายถึงกฏที่ว่า "หว่านพืชอะไร ก็จะได้ผลอย่างนั้น" ซึ่งเป็นกฏของจักรวาลในระดับล่าง เมื่ออาจารย์ประทับจิตให้แก่เธอ ท่านก็ดึงเธอขึ้นมา ดังนั้น กรรมที่อยู่ข้างล่างก็จะถูกเผาไหม้ไปโดยไม่มีผลต่อตัวเธอ  แต่ยังให้เธอมีกรรมเหลืออยู่นิดหน่อยเพื่อให้เธอดำเนินชีวิตต่อไปได้และชีวิตก็จะราบรื่น  และได้รับการหล่อลื่นจากพลังของอาจารย์เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ภายหลังการประทับจิตเธอก็ไม่มีกรรมสะสมอีกต่อไป เธอจึงไม่ต้องกลับมากเกิดใหม่  ก็เป็นเรื่องง่ายมากเราสามารถจะสร้างกรรมหรือสามารถยืมกรรมได้จากสรรพสัตว์อื่นๆ จำนวนมาก เพื่อจะได้ลงมาได้ ดังนั้น การประทับจิตจึงเป็นการทำลายกรรมทั้งหมดในอดีต จึงไม่มีโอกาสที่จะกลับมาได้ใหม่ในอนาคต

ถาม: คำว่า "รู้แจ้งฉับพลัน" หลังการประทับจิตนั้น ท่านหมายความว่าอย่างไร?
ตอบ: ฉันหมายถึงการรู้แจ้งแบบ "ฉับพลัน" "ทันที" เหมือนกับแบบนี้ โอเค? (ท่านอาจารย์ดีดนิ้ว)  ถ้าฉันแสดงให้เธอเห็นสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าของเธอแล้ว เธอจะสามารถหยิบมันออกมาได้ทันทีหรือเปล่า? (ผู้ฟัง: ได้) เป็นแบบนี้แหละ เพราะว่าเธอมีมันอยู่ภายในตัวเธอ ฉันเพียงแต่ชี้ให้เธอรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน เธอก็เอามันออกมาได้
ถาม: ท่านอาจารย์ทุกวันนี้มีคนเป็นจำนวนพันๆ ล้าน ซึ่งจะผ่านชีวิตนี้ไปโดยไม่ได้รับการประทับจิตจากท่าน หมายความว่าคนเหล่านี้จะไม่สามารถรู้แจ้งในชาตินี้ด้วยวิธีการอื่นเลยหรือ?

ตอบ: ได้ ทำได้ เขาทำได้ แต่ทำได้ในระดับที่แตกต่างกัน เข้าใจไหม? บางครั้งเมื่อสวดอธิษฐานอย่างตั้งใจ เขาก็อาจจะได้รับการรู้แจ้งแวบหนึ่งแต่มันริบหรี่หน่อย และบางครั้งก็หายไปได้ แล้วเขาก็อาจจะไม่รู้อย่างชัดเจนว่าสวิตซ์อยู่ไหน เธอสามารถเปิดมันเมื่อไรก็ได้ที่เธอต้องการ และเธอจะอยู่ภายในกรอบของแสง แต่การรู้แจ้งจากวิธีการอื่นๆ อาจจะไม่ถาวรเสมอไป และบางครั้งก็อันตรายเพราะเขาไม่รู้วิธีการจัดการกับพลังงานซึ่งค้นพบใหม่ เพราะฉะนั้นบางคนจึงมีปัญหาทางสมอง และมีอะไรแปลกๆ อีกหลายอย่าง หรือมัวแต่เพลินอยู่กับอิทธิปาฏิหารย์ซึ่งเป็นพลังระดับล่างๆ ก็เลยกลายเป็นนักอิทธิปาฏิหารย์ คนรักษาโรค หรืออะไรอย่างอื่นโดยไม่สามารถไปถึงระดับจิตขั้นสูง เพราะว่าหากไม่ได้รับการนำทางจากอาจารย์เราก็ไม่รู้ว่าเรากำลังมุ่งหน้าไปไหน แล้วเราก็ล้มลุกคลุกคลานและเล่นอยู่กับสิ่งต่างๆ มากมายและบางครั้งก็อันตราย

เพราะว่าหนทางแห่งหารรู้แจ้งเพราะว่าหนทางแห่งการรู้แจ้งนั้นเต็มไปด้วยเล่ห์กลและหลุมพราง ซึ่งเราควรต้องหลีกเลี่ยง แต่เมื่อได้รับการนำทางอย่างมีประสบการณ์มันก็ง่ายกว่า เร็วกว่า ปลอดภัยกว่า แต่เราจะทำอะไรได้ล่ะ? โลกก็เป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นมันถึงยังเป็นโลกนี้อยู่  ถ้าคนในโลกรู้แจ้งกันหมดเราก็ไม่เรียกว่า "โลก" อีกต่อไป  เราจะเรียกว่า "สวรรค์" เข้าใจไหม?  และบรรยากาศรอบตัวเราจะต่างไปจากเดิม ทุกๆ สิ่งจะต่างไป ถ้าเป็นแบบนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องทำงานเพื่อหาอาหาร เราไม่จำเป็นต้องอยากได้อะไรเลย ทุกสิ่งทุกอย่างจะมีอยู่เหมือนในสวรรค์ เพราะผลบุญของเราจะแตกต่างออกไปหลายเท่าทวีคูณ  เท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้มีเพียงไม่กี่ล้านคนเท่านั้นที่รู้แจ้ง ผลของมันไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมประชากรทั่วโลก เข้าใจไหม?

ดังนั้น เราจึงยังมีภัยพิบัติ ยังมีสงคราม ถึงแม้ว่าจะน้อยกว่าแต่ก่อนก็ตาม การเมืองก็ลดความเข้มข้นลง โอกาสที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 4 ที่ 5 ก็ห่างไปจากปัจจุบันแล้ว  เพราะในศตวรรษนี้คนส่วนใหญ่มีการตระหนักรู้สูงส่งขึ้น เนื่องจากสื่อมวลชน ระบบการกระจายข่าวเกี่ยวกับข่าวสารการรู้แจ้งของอาจารย์ไปทั่วโลก  และเนื่องจากคนจำนวนมากเข้ามาร่วมในกลุ่มของนักปราชญ์ผู้รู้แจ้ง เพราะฉะนั้นโลกเราจึงดีขึ้น

ถาม: พระเยซูไม่ได้กล่าวถึงเฉพาะสิ่งดีๆ เช่น สันติภาพความรัก ชีวิตนิรันดรเท่านั้น  พระองค์ยังกล่าวถึงสิ่งที่น่ากลัวเกี่ยวกับการลงโทษชั่วนิรันดร์ด้วย ท่านเชื่อว่าพระเจ้าจะลงโทษใครสักคนไปชั่วนิรันดร์หรือไม่?
ตอบ: ไม่ ตัวเขานั่นแหละลงโทษตัวเอง ถ้าเขาปฏิเสธแสงสว่างเขาก็ต้องอยู่ในความมืด และตราบใดที่เขายังปฏิเสธอยู่เขาก็จะยังคงอยู่ในความมืด เขาอาจจะอยู่ไปตลอดนิรันดร์ก็ได้ถ้าเขาปฏิเสธแสงสว่างไปตลอดนิรันดร  เพราะฉะนั้นจึงขึ้นอยู่กับแต่ละคน (คนปรบมือ)
ถาม: ในฐานะที่เป็นมนุษย์บนโลกเรามีหน้าที่ที่ต้องกระทำเช่น เรื่องอาหาร เสื้อผ้า ให้มีหลังคาคุ้มหัวของเรา และมีมากพอที่จะจ่ายให้กรมสรรพากร (คนหัวเราะ) เราจะหลุดออกจากสิ่งเหล่านี้ และเริ่มต้นฟูมฟักความต้องการทางจิตวิญญาณของเราได้อย่างไร?

ตอบ: เธอก็ยังต้องรักษาหลังคาไว้เหนือหัวของเธออย่าเอาหลังคาออกไป (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ)  เพียงแต่ให้เธอรู้แจ้งขึ้นไม่ต้องกังวลหรอก! ฉันอาศัยอยู่ในเต๊นท์ ฉันก็ยังเรียบร้อยดี  บางครั้งเต็นท์ถูกพัดหายไปไม่มีหลังคาอยู่ ฉันก็ยังโอเค  เราเคยมีสถานที่นั่งสมาธิซึ่งกว้างใหญ่มาก สามารถรองรับคนได้ประมาณ 7,000 คน  แต่เมื่อปีที่แล้วมีบางคนพูดอะไรบางอย่างออกมาสถานที่นั้นก็เลยถูกรื้อลงมา  ก็โอเคเราก็ปล่อยให้มันถูกรื้อไป เราไม่คัดค้าน เราไม่บ่น เราไม่อธิบายเรื่องที่เราถูกกล่าวหาโดยไม่มีมูล เราไม่กังวลเลย  จากนั้น เราก็วางแผนที่จะเอาเสื้อกันฝนมาเวลาที่ฝนตกและเอาร่มมาเวลาแดดออก เพียงเพื่อจะได้นั่งตรงนั้น นั่งสมาธิไปเหมือนเดิมทุกอย่าง  แต่เมื่อเรารู้แจ้งทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเรียบร้อยไปด้วย  พระเยซูสัญญาไว้ว่า "จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าก่อนสิ่งอื่นใดทั้งหมด แล้วสิ่งอื่นๆ ก็จะตามมาสู่เราเอง"  ฉันก็สัญญากับเธออย่างเดียวกัน (คนปรบมือ)

ถาม: จริงหรือไม่ที่หากผู้หญิงไม่มีลูกของตนเองเธอจะไม่มีชีวิตที่สมบูรณ์?
ตอบ: เขาต้องการได้คำตอบไร้สาระหรืออะไรกัน? พวกเธอเห็นด้วยหรือเปล่า? (ผู้ฟัง:ไม่เห็นด้วย) พวกเขาบอกว่า "ไม่เห็นด้วย" โอเค! ถ้าพระเจ้าไม่ได้บัญชาให้เธอต้องทนทุกข์ทรมานอันเกิดจากการคลอดลูก เธอก็ควรจะบอบคุณในพระพรของท่าน (คนปรบมือ) จริงไหม? เรามีเด็กๆ มากพอแล้วโลกนี้
ถาม: จิตใจของฉันยากที่จะสงบลงเพื่อจะนั่งสมาธิได้ มันเหมือนกับลิงซึ่งอยากจะวิ่งเล่นแต่ไม่ยอมนั่งเงียบๆ  การนั่งสมาธิตามแบบของท่านจะช่วยให้จิตใจสงบลงและตระหนักรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงได้อย่างไร?

ตอบ: ฉันเพียงแต่ทำให้จิตใจหลับไป (คนหัวเราะ) โดยใช้แสงและเสียง ดนตรีจะช่วยกล่อมให้เขาหลับ แสงจะช่วยให้เขาสบาย  แล้วเขาก็จะหลับไปอย่างรวดเร็วเหลือเพียงแต่วิญญาณเท่านั้นที่ตื่นอยู่ อย่างไรก็ดี ถ้าเธอยังไม่ต้องการที่จะมาร่วมกับเราก็พยายามนั่งสมาธิตามวิธีของเธอต่อไป และเธอก็จะเคยชินกับมันมากขึ้นทีละน้อย แต่ปัญหาก็คือถ้าเธอนั่งอยู่ในสมาธิใช้ความพยายามสุดความสามารถ เพ่งลมหายใจหรือจักระหัวใจ หรือจักระอะไรก็ตามทั่วไปหมด  แล้วเอก็ไม่ได้อะไรตอบแทนเลย แน่นอนจิตใจก็ต้องรู้สึกเบื่อหน่าย  แล้วมันก็จะพูดว่า "เฮ้ นี่เธอทำอะไรอยู่น่ะ? เธอจับฉันมานั่งที่นี่เพื่ออะไร? ฉันอยากจะดูหนังมันสนุกกว่านี้ตั้งเยอะ ฉันอยากจะไปดื่มน้ำชาและพูดคุยกับเพื่อนๆ ดีกว่ามานั่งแบบนี้"  เธอเข้าใจที่ฉันพูดไหม?

ฉันมีเพื่อนบำเพ็ญคนหนึ่งเธออายุค่อนข้างมากแล้วประมาณ 60 โอ ไม่ใช่ 50 กว่าๆ ก่อนที่เธอจะมาเจอฉันเธอมีอาจารย์คนอื่นมากมาย อาจารย์เหล่านั้นสอนธรรมวิถีให้แก่เธอหลายแบบหลายวิธี นั่งพิจารณาลมหายใจ นั่งอยู่ในเซนวันละ 15 ชั่วโมงและอะไรอย่างอื่นอีกมาก  ทานอาหารเพียงมื้อเดียวและเธอก็บอกว่าเธอก็นั่งและนั่ง  จนในที่สุดเธอก็ไม่สามารถนั่งต่อไปได้ เธอไม่ได้รับอะไรเลยเธอจึงทนไม่ได้  แต่หลังจากที่เธอได้รับการรู้แจ้งแล้วเธอก็บอกว่า "โอ บางครั้งเธอนั่งนานถึง 4 ชั่วโมง" แล้วเธอก็มีความสุขมากเป็นความสุขที่ล้นเหลือ  และเพราะว่าเธอมีความสุข ครอบครัวทั้งครอบครัวของเธอซึ่งมีสมาชิกอยู่ 8 คนก็เลยพลอยสุขไปด้วยทั้งหมด พวกเขามาเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟัง ทั้งๆ ที่คนเหล่านี้ไม่ได้รับการประทับจิตด้วยซ้ำ พวกเขาบอกว่างานของฉันเป็นประโยชน์มากขนาดไหน พวกเขาให้กำลังใจฉันให้ทำต่อไปทั้งๆ ที่พวกเขาก็ไม่ได้รับการประทับจิต

ถาม: ทำไมการเป็นมังสวิรัติจึงสำคัญมากน้อยต่อการรู้แจ้ง?
ตอบ: มันสำคัญต่อตัวเธอต่างหาก เธออาจจะได้รับการรู้แจ้งโดยไม่จำเป็นต้องเป็นมังสวิรัติก็ได้  เพราะฉันไม่ได้กำหนดให้เธอต้องเป็นมังสวิรัติก่อนการประทับจิต แต่ต้องเป็นหลังจากประทับจิตเท่านั้น เธอสามารถรู้แจ้งเหมือนๆ กันโดยอาศัยพลังพรของผู้ที่เป็นอาจารย์  แต่เราต้องรักษาทัศนคติในการมีความรักต่อสรรพสัตว์ทั้งมวล เพราะว่าพวกเขาก็คือตัวเราเอง  ถ้าเธอกินสมาชิกของร่างกายของเธอไปหมด หลังจากนั้นเธอก็จะรู้ชัดว่าเธอไม่มีอะไรเหลือ เข้าใจไหม? นอกจากนี้ เราก็ไม่ควรจะอยู่ในรสชาดทางวัตถุ แต่ควรจะพ้นออกมาอยู่ในความสุขแห่งการรวดชีวิตให้แก่พวกเขา (คนปรบมือ)
ถาม: ฉันเชื่อว่าฉันมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากยิ่งขึ้น ถ้าฉันสามารถลบความคิดเกี่ยวกับพระเจ้าว่าเป็นบุคคลหนึ่ง ธรรมวิถีกวนอิมจะช่วยในแง่นี้ไหม?
ตอบ: ได้ๆ ธรรมวิถีนี้มีไว้ก็เพื่อสิ่งนี้แหละ  เราจะลบการแบ่งแยกออกไป ลบความมีตัวตนออกไปอย่างสิ้นเชิง จากนั้นเราก็ไม่ต้องทำอะไรแต่พระเจ้าจะทรงทำโดยผ่านทางตัวเรา
ถาม: ฉันไม่เชื่อว่าสติปัญญาจะดำรงอยู่เฉพาะในโลกนี้เท่านั้น ท่านเชื่อหรือไม่?
ตอบ: ใช่ ถูกต้อง ไม่ได้อยู่เฉพาะที่นี่แต่อยู่ในโลกทุกโลก อาจมีระดับมากหรือน้อยต่างกันไปซึ่งอยู่กับสถานที่ ขึ้นอยู่กับสถานที่นั้น มีโลกอื่นๆ บางแห่งซึ่งฉลาดกว่าพวกเรา แล้วก็มีบางแห่งซึ่งฉลาดน้อยกว่าพวกเรา
ถาม: ฉันจะรู้ถึงภารกิจของฉันในชีวิตนี้ได้อย่างไร?
ตอบ: โอ ฉันขอแนะนำให้เธอได้รู้แจ้งเสียก่อน แล้วเธอก็จะเห็นชัดเจนขึ้น
ถาม: ท่านทำงานร่วมกับพี่น้องสีขาว หรือพี่น้องแห่งจักรวาล?
ตอบ: ใช่ ฉันยังทำงานร่วมกับพี่น้องสีดำด้วย (คนหัวเราะและปรบมือ)  เราไม่มีการแบ่งแยก แน่นอนเขาหมายถึงพี่น้องสีขาวซึ่งเป็นชื่อเรียกสำหรับผู้ที่รู้แจ้งแล้วซึ่งช่วยเหลือจักรวาลทั้งมวล ตะกี้นี้ฉันพูดเล่นนะ ที่นั่นไม่มีขาวไม่มีดำหรอก (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ)
ถาม: เมื่อบุคคลหนึ่งกลายเป็นอาจารย์แล้วเขาจะยังมีความกลัว ความสงสัย หรือความโกรธหรือไม่? เราเรียกพระเยซูว่าเป็นอาจารย์ท่านหนึ่ง  อย่างไรก็ดีตามที่กล่าวในคัมภีร์ไบเบิล พระเยซูก็มีความหวาดกลัวในคืนก่อนที่ท่านจะถูกตรึงกางเขนและก่อนที่ท่านจะสิ้นใจ ท่านก็ร้องว่า "ทำไมพระเจ้าจึงทอดทิ้งฉันเล่า? กรุณาอธิบายด้วย หากพระเยซูยังมีความกลัว มีความสงสัย แล้วเราจะไม่มีความกลัวและความสงสัยได้อย่างไร?

ตอบ: ใช่ พวกท่านก็อาจจะมีความกลัวและความสงสัย  แต่ความกลัวและความสงสัยนั้นไม่ได้หยั่งรากลึกเหมือนพวกเรา เธอเข้าใจไหม?  ถ้าพระเยซูไม่มีความกลัวที่จะถุกตรึงกางเขนเลยการเสียสละของท่านก็คงไม่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้  ท่านมีความกลัวแต่ท่านก็ยอมรับมัน เข้าใจไหม?  ส่วนพวกเรามีความกลัวแล้วเราก็วิ่งหนี เราพยายามจะโทษคนอื่นหรือพยายามหนี  เราพยายามจะเอากางเขนไปให้ผู้อื่น  นี่แหละคือความแตกต่าง  เราอาจจะมีความกลัว เราอาจจะมีอารมณ์แต่เราสามารถดึงกลับมาเมื่อไหร่ก็ได้  หรือเราอาจจะใช้ความกลัวหรืออารมณ์ของเราเพื่อเป็นประโยชน์อื่นๆ

หลังจากรู้แจ้งแล้ว ความรู้สึกและอารมณ์ทั้งหลายก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม  เพราะเราถูกสร้างขึ้นมาให้มีสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เพื่อที่จะใช้มันในการเข้าใจพี่น้องชายหญิงของเรา  ถ้าเธอไม่มีความรู้สึก ไม่มีอารมณ์ เธอจะเข้าใจมนุษย์ด้วยกันได้อย่างไร? เธอจะช่วยพวกเขาได้อย่างไร เข้าใจไหม? แต่ความกลัวของผู้ที่เป็นอาจารย์นั้นจะต่างไป  ความกลัวของอาจารย์บางครั้งได้รับผลกระทบมาจากความกลัวของลูกศิษย์ ท่านจะรับความกลัวมาจากลูกศิษย์เพื่อให้ลูกศิษย์ไม่กลัว  แต่ผุ้ที่เป็นอาจารย์ก็ต้องรับความกลัวนั้นไว้ระดับหนึ่ง  แต่ความกลัวนั้นตื้นๆ ไม่หยั่งรากลึกเป็นเพียงแค่ภาพหลอน  ผู้ที่เป็นอาจารย์นั้นในแง่หนึ่งมีความกลัว แต่ในอีกแง่หนึ่งไม่มีความกลัวอะไรเลย เธอเข้าใจที่ฉันพูดไหม? ท่านรู้ว่าท่านต้องมีความกลัวแต่ท่านไม่ได้กลัวความกลัวนั้น (คนปรบมือ)

ถาม: จริงๆ แล้วกวนอิมหมายความว่าอย่างไร? กรุณาอธิบายด้วย
ตอบ: ในกลุ่มของเรากวนอิมหมายถึง การสังเกตคำพูดภายใน คำสอนภายใน ดนตรีภายใน ดนตรีสวรรค์
ถาม: ความรักนั้นสามารถเป็นแบบไม่มีข้อแม้ได้จริงๆ หรือ? ถ้าพระเจ้ารักผู้ที่ไม่ทำบาปและยังรักและให้อภัยผู้ที่ทำบาป แล้วทำไมเราจึงต้องมานั่งเสียเวลาในชีวิตของเราเพื่อพยายามหลีกเลี่ยงบาป?
ตอบ: ก็เพราะว่ามันทำร้ายตัวเราเองไม่ใช่ทำร้ายพระเจ้า  เมื่อใดก็ตามที่เราทำสิ่งซึ่งเรารู้ว่าบาปไม่ถูกต้องเราก็ทำร้ายตัวเราเอง  จิตสำนึกของเราจะด่าเราทำให้เราลำบาก เพราะฉะนั้นเราจึงพยายามหลีกเลี่ยงมัน  พระเจ้ารักทุกคนเหมือนๆ กัน  ดังนั้น พระอาทิตย์จึงสาดส่องลงมาบนทุกสิ่งทุกอย่าง ฝนไม่เกลียดคนจน คนเจ็บป่วยหรือคนบาป  แต่เป็นตัวเราที่รับผิดชอบต่อความรู้สึกแบ่งแยกระหว่างเรากับพระเจ้าถ้าเราทำอะไรซึ่งไม่ถูกต้อง ดังนั้น เราจึงควรหลีกเลี่ยงมัน นอกจากนี้ยังเป็นหน้าที่ของเราด้วยเมื่อเราอาศัยอยู่ในโลกนี้ เรามีความสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน  เราจึงต้องรักษาสังคมให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย โอเค?
ถาม: สิ่งซึ่งอาศัยอยู่ในโลกอื่นหรือพวกที่เดินทางมาในจานบินนั้น  พวกเขามีชะตาชีวิตแบบเดียวกับมนุษย์เราหรือไม่ มีความอ่อนแอต่อความทุกข์ทรมานเหมือนกัน มีความต้องการจะรู้แจ้งเหมือนกันหรือไม่?
ตอบ: ใช่ ก็เหมือนกันบ้าง เหมือนกันในระดับหนึ่ง แต่น้อยกว่าเราน้อยกว่าพวกเราที่เป็นชาวโลก เพราะว่าพวกเขามีความก้าวหน้ามากกว่า เขาอยู่ใกล้พระบิดามากกว่า เขามีแสงมากกว่า มีปัญญามากกว่า
ถาม: เมื่อได้รับการประทับจิตแล้ว เราจำเป็นต้องเลิกนับถือศาสนาของเราหรือไม่?
ตอบ: ไม่ๆๆ กรุณาอย่าเลิก เราบอกแล้วว่าในการประทับจิตนั้น เธอไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนอาชีพ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนวิถีชีวิต ไม่ต้องเปลี่ยนศาสนา ไม่มีปัญหา ไม่ต้องเปลี่ยนอะไร ขอให้ทานมังสวิรัติเท่านั้นก็พอ
ถาม: เราจะได้พบกับสัตว์เลี้ยงของเราและเพื่อนๆ ที่เป็นสัตว์ในสวรรค์หลังจากการเดินทางของชีวิตนี้สิ้นสุดลงหรือมื?
ตอบ: ได้ถ้าพวกเธอต้องการพวกเขา (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) ถ้าเธอต้องการพวกเขาและถ้าเธอรู้แจ้งเธอก็สามารถเอาพวกเขาไปได้  แต่ถ้าเธอไม่รู้แจ้งเธอก็ไม่มีกำลังที่จะนำเขาไป เธอไม่มีพลัง เธอไม่สามารถแม้กระทั่งจะนำตัวของเธอเองไปยังที่ๆ ต้องการแล้วจะเอาสัตว์เลี้ยงไปได้อย่างไร
ถาม: วัตถุประสงค์ของโรคระบาด เช่น มาลาเรีย เอดส์ ฯลฯ คืออะไร? มนุษย์เรากำลังขัดขวางกระบวนการทางธรรมชาติโดยการพยายามหาวิธีรักษาโรคเหล่านี้หรือไม่?
ตอบ: เมื่อเธอค้นพบวิธีรักษาโรคนี้บางโรคก็จะมีโรคชนิดอื่นเกิดขึ้นมาเองอีก  แต่เมื่อมนุษย์ตระหนักว่าเขาควรจะยอมตามพระประสงค์ของพระเจ้า ยอมตามพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ซึ่งอยู่ภายในตัวเรา  และต่อเมื่อมนุษย์ตระหนักว่าภายในตัวเขามีพลังอันยิ่งใหญ่ซึ่งรักษาโรคได้ทุกโรค และตระหนักว่าเขาควรจะพึ่งพลังนี้แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นโรคทั้งหลายจึงจะหายไป สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นคำเตือนว่าเราควรจะหันกลับมาหาพระเจ้า
ถาม: การรู้แจ้งเพื่อไปถึงระดับสุงสุด หรือการตระหนักรู้ในพระเจ้านั้นจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน?
ตอบ: ขึ้นอยู่กับตัวเอว่าเธอขยันแค่ไหน เธอต้องการมันมากแค่ไหน และยังขึ้นอยู่กับผู้ที่เป็นอาจารย์ว่าอาจารย์ผู้นั้นมีพลังเพียงพอที่จะนำเธอผ่านระดับต่างๆ ของจิต และพอที่จะนำเธอไปในที่ๆ เธอต้องการได้หรือไม่?
ถาม: ระดับของสมาธิมีกี่ชนิด?
ตอบ: ว้าว! มีเยอะแยะมากมาย ระดับของจิตมีมากมาย ดังนั้น ระดับของสมาธิก็มีมากมาย แต่สมาธิที่ท้ายสุดก็คือสมาธิซึ่งมิใช่สมาธิ หมายความว่า เธอทำงานของเธอในโลกต่อไปเหมือนคนธรรมดา แต่ในเวลาเดียวกันเธอก็อยู่ในสมาธิตลอดเวลาและไม่ส่งกลิ่นออกมา (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ)  ไม่มีกลิ่นอะไรออกมาที่เอจะสามารถดมได้ว่าบุคคลนั้นอยู่ในสมาธินั่นแหละคือสมาธิระดับสูงสุด
ถาม: เราสามารถจะแยกศาสนาและวิทยาศาสตร์ออกจากกันและเชื่อในทั้ง 2 อย่างได้หรือไม่? ฉันหมายความว่า ด้วยการทำแบบนี้ฉันจะสามารถเชื่อในพระเจ้าและเชื่อในวิวัฒนาการพร้อมกันไปด้วยหรือไม่?
ตอบ: แน่นอนๆๆ  ทฤษฏีวัฒนาการสนับสนุนความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณของมนุษยชาติ มันเป็นเรื่องเดียวกัน วิยาศาสตร์และทฤษฎีทางศาสนาคล้ายคลึงกันมาก  สิ่งเดียวที่แตกต่างก็คือ บางครั้งวิทยาศาสตร์สามารถก้าวไปถึงระดับหนึ่งแล้วก็หยุดที่นั่น  แต่ศาสนานั้นไปได้ไกลกว่าและกว้างกว่า (คนปรบมือ)